Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    เพียงแค่เราไม่เข้าใจกัน

    ฝนตกจนได้  มีนามองออกไปนอกหน้าต่างรถโดยสารประจำทาง  เมฆดำทะมึนเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นม่านฝนสีเทา  หนา  หนัก  ปกคลุมสองข้างทางเสียจนมองไม่เห็นอะไร


    บนรถโดยสารระหว่างอำเภอเที่ยวสุดท้ายที่เธอนั่งอยู่  ตอนนี้มีผู้โดยสารเหลือเพียงสามคน  มีนาเห็นท่าซุบซิบกันของคนขับกับกระเป๋ารถแล้วก็พอจะเดาได้  ว่าเดี๋ยวมันต้องปล่อยเธอลงกลางทางแน่  แม้จะยังวิ่งมาไม่ถึงครึ่งทางก็เถอะ


    แล้วก็จริงดังคาด  เมื่อรถจอดให้ผู้โดยสารอีกสองคนลงก้าวลงไป  ครู่เดียวกระเป๋าสาวใหญ่วัยคราวน้าก็เดินเข้ามาบอกห้วนๆ

    "เดี๋ยวจะจอดให้ลงที่ศาลาข้างหน้านี่ละนะ  รถหมดระยะแล้ว"

    "อ้าว  ได้ไงล่ะป้า"  มีนาเถียงทันควัน  ทั้งที่ใจเสีย  "หนูจ่ายเงินไปถึงสุดสายแล้วนะ"

    อีกฝ่ายชักสีหน้า ก่อนจะยื่นเงินคืนให้อย่างกระแทกกระทั้น  โดยไม่มีคำขอโทษ

    "เงินน่ะคืนให้  ยังไม่ได้บอกซักคำว่าจะไม่คืน"


    มีนากลืนน้ำลายลงคอ  ลองอีหรอบนี้  ก็ไร้ประโยชน์ที่จะไปเรียกร้องหาความเป็นธรรม  ว่ามันเป็นหน้าที่ที่คนขับจะต้องพาผู้โดยสารไปให้ถึงจุดหมาย  ไม่ใช่มาปล่อยลงกลางทางเอาดื้อๆ เมื่อเห็นว่าขับไปก็ไม่คุ้ม

    มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เสียด้วยสิ  หากว่าเป็นรถเที่ยวสุดท้าย  โดยที่ก็ไม่มีผู้โดยสารคนไหนกล้าต่อกรด้วย  นอกจากก้มหน้าก้มตารับกรรมไป  มีนานึกเคืองตัวเองอยู่เหมือนกันที่มัวแต่โอเอ้เดินเล่นอยู่ในตัวเมือง  จนกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เหลือแต่รถเที่ยวสุดท้าย


    เธอไม่ได้กลับบ้านเกิดบ่อยนัก  ตลอดเวลาที่เข้าไปเรียนและทำงานในกรุงเทพ  ชีวิตพนักงานบัญชีของบริษัทเล็กๆ ไม่ได้มีเวลาว่างพอจะหยุดไปไหนนานๆ  อีกอย่างคนรักที่อยู่ด้วยกันมานานของเธอก็เบียดบังเวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์ไปจนหมด  จนเมื่อมันจบลงนั่นแหละ  มีนาจึงเซ็งเสียจนไม่อยากอยู่อย่างซังกะตายในคอนโดแคบๆ ที่แม้แต่แมวก็คงอึดอัดที่จะมาดิ้นตาย

    โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นที่ๆ มีแต่ความทรงจำระหว่างเธอกับเขา  ที่เธอไม่อยากจะเห็นอีกต่อไป

    และเธอจะไม่ยอมทนเขาอย่างที่ผ่านๆ มาอีกแล้ว..



    รถจอดให้เธอลงที่ศาลารอรถเก่าๆ หลังคามุงสังกะสี  ด้านหลังเป็นหูกวางต้นสูง  ใบหนา  ใต้ต้นมีตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ทรุดโทรมจนไม่น่าใช้การได้อยู่ตู้หนึ่ง  เธอจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าอีกไม่ไกลก็ถึงทางแยกเข้าตัวอำเภอ  อันเป็นที่ๆ บ้านเธอตั้งอยู่  เพียงแต่ไม่แน่ใจเพราะไม่ได้กลับมาเสียหลายปี

    ก็ยังนับว่าเป็นความกรุณาที่จอดให้ในที่ที่มีโทรศัพท์  ในเขตไกลปืนเที่ยงอย่างนี้  มีนาคิดอย่างเหนื่อยหน่าย  เพราะโทรศัพท์มือถือมักจะแทบใช้การไม่ได้  เนื่องจากสัญญาณที่แย่เต็มที  

    ใกล้กับศาลาเป็นถนนลูกรังสายเล็กๆ ที่คงทอดเข้าหมู่บ้านใดหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป  คงจะลึกน่าดู  เพราะไม่มีตลาดหรือแม้แต่ร้านค้าอยู่ปากทางแม้แต่ร้านเดียว  มีนาลองกดโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพาย  ก่อนจะบ่นพึมเมื่อเห็นว่าบัดนี้มันไม่มีขีดสัญญาณเอาเสียเฉยๆ  แล้วจะโทร.ให้คนที่บ้านออกมารับได้อย่างไรละนี่


    เธอมองไฟท้ายของรถโดยสารที่ตีวงเลี้ยวกลับทางเดิม  ก่อนจะค่อยๆ หายไปในม่านน้ำฝนสีเทาสลัว  เพียงครู่เดียวมันก็ลับตา  เหลือเพียงเธอคนเดียวที่ยืนคว้างอยู่ในศาลาแห่งนั้น

    ไม่มีทางเลือก มีนาวางกระเป๋าผ้าใบใหญ่ที่หนักอึ้งลงบนพื้นศาลา  ก่อนจะก้มตัวหลบเม็ดฝนที่ลอดผ่านใบหูกวางลงมา  วิ่งเข้าไปในตู้โทรศัพท์โทรมๆ ตู้นั้น  มองดูมันอย่างไม่ศรัทธาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะควานหาเหรียญในกระเป๋าออกมาหยอด

    เงียบสนิท.. อย่างที่พอจะเดาได้อยู่แล้ว

    ให้มันได้อย่างนี้สิ  ติดฝนอยู่กับตู้โทรศัพท์เสียๆ ในทำเลที่เกือบจะเรียกได้ว่ากลางทุ่งนา  ในเวลาใกล้จะพลบค่ำเสียด้วย  มีนาทุบตู้โทรศัพท์แรงๆ ก่อนจะปิดดังโครม  ไม่มีทางอื่นนอกจากภาวนาให้มีรถผ่านมาซักคัน  ภาวนาให้คนขับจอดรับเมื่อเธอโบก  และภาวนาให้คนขับไม่พาเธอไปฆ่าหมกพงหญ้าแถวนี้เสียก่อน


    คนคิดนั่งลงบนแผ่นไม้แบนๆ ที่ใช้แทนเก้าอี้โดยไม่มีพนักอย่างอ่อนแรง  ยังดีที่มีเสาไม้ของศาลาอยู่ข้างๆ เธอจึงไม่ลังเลที่จะเอนพิงลง  แม้ว่ามันจะชื้นด้วยละอองฝน  เหม่อมองฝนเม็ดที่ตกกระทบพื้นดินแดงตรงหน้าด้วยความรู้สึกว่างเปล่า

    เหงา..จู่ๆ คำนี้ก็ผุดขึ้นมาในความรู้สึก  มีนาสะบัดศีรษะแรงๆ ราวกับจะสลัดให้มันหลุดออกไป  ทำไมเธอต้องคิดถึงเขา  ทำไมเธอต้องนึกถึงแต่ผู้ชายที่เอาแต่ใจตัวเองคนนั้น  นี่ขนาดหนีมาไกลถึงเพียงนี้  ก็ยังหนีไม่พ้นรูปเงาของเขาอยู่นั่นเอง


    ตรัย.. ป่านนี้เขาจะเป็นยังไงบ้างนะ  จะนึกถึงเธออยู่ทุกลมหายใจ  อย่างที่เธอนึกถึงเขาไหม..


    หรือว่าฉันจะอยู่ไม่ได้โดยไม่มีเขา.. มีนาถามตัวเอง  แล้วก็รีบตอบปฏิเสธโดยเร็ว  ก่อนที่ความรู้สึกอื่นนอกเหนือไปจากความเกลียดชังจะเต็มตื้นขึ้นมา  แล้วเธอก็จะโผกลับไปหาเขา  ไม่ต่างจากที่เคย


    ความเย็นของอากาศทำให้เธอชักง่วง  คงเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการนั่งหลับๆ ตื่นๆ ในรถทัวร์กว่าสิบชั่วโมง  แถมเดินเล่นต่ออีกค่อนวันด้วยนั่นแหละ  มีนาไม่อยากจะคิดว่าเป็นเพราะความตึงเครียดและกระสับกระส่ายในส่วนลึก  ความไม่มั่นใจเมื่อต้องอยู่ห่างเขา  และความไม่แน่ใจในอนาคตข้างหน้าของตัวเอง

    ฉันเหนื่อย  เหนื่อยเหลือเกิน..


    มีนาพยายามตัดความคิดทุกอย่างออกไปจนสำเร็จ  ความล้าทำให้เธอลองหลับตาเล่นๆ คิดเพียงว่าลองฟังเสียงฝนดูซักพักก็ดีเหมือนกัน  ถ้ามีรถผ่านมาเธอก็ได้ยินเสียงเองนั่นแหละน่ะ  คนคิดๆ พลางเปิดปากหาว  หลับตาลงโดยไม่ได้คิดว่าจะหลับไปจริงๆ


    หากจู่ๆ เสียงโทรศัพท์ที่กรีดก้องขึ้นก็ทำให้เธอสะดุ้งขึ้นทั้งตัว  มีนาลืมตากว้าง  แปลกใจนิดหน่อยที่เห็นว่าฝนรอบตัวดูจะขาดเม็ดไปแล้ว  ฟ้าโปร่ง คลุมด้วยเมฆขาวเป็นหย่อมๆ  สะท้อนแสงแดดยามเย็นเป็นสีเหลืองหม่นมัว อย่างที่เรียกกันว่า  แดดผีตากผ้าอ้อม

    ครู่ใหญ่  กว่าสมองที่มึนงงของเธอจะยอมรับรู้ว่าเสียงนั้นดังมาจากตู้โทรศัพท์โกโรโกโสหลังศาลานี่เอง  มีนาผุดลุกขึ้นอย่างงงๆ ลังเลที่จะก้าวเข้าไปรับ  แม้ใจหนึ่งจะบอกตัวเองว่า  โชคดีจะตาย  มันก็แปลว่าโทรศัพท์นี่่ใช้การได้แล้วน่ะสิ

    หากเธอก็ยังกล้าๆ กลัวๆ อยู่นั่นเอง  กระทั่งเสียงนั้นเงียบหายไปนั่นแหละ  มีนาจึงเพิ่งขยับตัว  สาวเท้าเข้าไปใกล้ตู้โทรศัพท์เจ้ากรรมตู้นั้น


    แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกครั้ง  เมื่อเสียงกริ่งที่เงียบไปแล้วนั้นกลับดังขึ้นใหม่  มีนาเพ่งมองมันอยู่อึดใจหนึ่ง  กว่าจะเอื้อมมือเข้าไปยกหูฟังขึ้น  กรอกเสียงลงไปอย่างไม่มั่นใจนัก


    "ฮัลโหล"  

    "ฮัลโหล"  เสียงปลายสายตอบกลับมา  ฟังดูอู้อี้และมีเสียงซ่าๆ แทรกอย่างไรพิกล  แต่มีนาก็พอฟังออกว่าเป็นเสียงผู้ชายวัยหนุ่ม

    "นั่นใครพูดคะ?"  เธอถามโดยอัติโนมัติ

    "ฮัลโหลครับ?  นั่นใครครับ?"  อีกเสียงหนึ่งถามแทรกมาพอดี  และเธอก็ขมวดคิ้วนิดๆ

    "คุณโทร.มาจากไหนคะ  รู้เบอร์ตู้นี้ได้ยังไง  เป็นเจ้าหน้าที่องค์การเหรอคะ"  เธอถามเป็นชุดโดยไม่ตอบคำถามเขา

    "อ้าว"  เสียงอู้ๆ นั้นฟังดูประหลาดใจ

    "คุณสิครับโทรมา  รถผมเสีย  ผมนั่งรอรถเมล์อยู่  อยู่ดีๆ โทรศัพท์ในตู้นี่มันก็ดัง  ผมตกใจแทบตาย"

    "นี่คุณจะบ้าเหรอ"  มีนาแหวกลับ  ทั้งที่ใจไม่ดี  "คุณนั่นแหละโทรมา  ฉันนั่งรอรถอยู่  แถมตู้นี้มันก็เสียด้วย  คุณโทร.มาได้ไง"

    "ครับ  ตู้นี่มันเสีย"  เขากลับคล้อยตามโดยดี  "เมื่อกี๊ผมลองโทร  เงียบสนิทเลย"

    "นี่ไม่ตลกนะ"  มีนาพยายามควบคุมตัวเอง  ไม่ให้ทั้งความรู้สึกโกรธและกลัวพลุ่งพล่านขึ้นมามากกว่านี้  เพราะถึงอย่างไรโทรศัพท์สายนี้ก็เป็นความหวังสุดท้ายของเธอ  ในเมื่อแสงแดดผีตากผ้าอ้อมรอบตัวเริ่มอ่อนแสงลงทุกที  และไม่มีวี่แววว่าจะมีรถผ่านมาอีกเลย


    สงสัยจะบ้า  หรือไม่ก็พวกกวนเมือง  เธอคิดอย่างฉุนๆ  หากก็ต้องกล้ำกลืนความรู้สึกนั้นลงไป  

    "คุณอยู่ที่ไหน  ใช้มือถือโทร.หรือโทร.ที่ไหนคะ"  เธอตั้งสติถามอีกที  คิดว่าจะใช้เสียงอ่อนเสียงหวานที่สุด  เผื่อฝ่ายนั้นจะล้มเลิกความคิดจะก่อกวน  และยอมช่วยเธอโดยดี  อย่างน้อยช่วยโทรไปบอกให้คนที่บ้านเธอออกมารับเธอก็พอแล้ว

    "โธ่คุณ"  เขาทำเสียงอ่อนใจ  "ผมบอกแล้วไงว่าผมนั่งอยู่ดีๆ โทรศัพท์มันก็ดังขึ้นมาเอง  ส่วนมือถือผมน่ะแบตหมด  หรือถึงมีแบต  แถวนี้ก็คงไม่มีสัญญาณหรอก"  

    "คุณอยู่ที่ไหน"  มีนาถามอย่างซังกะตาย

    "ศาลารอรถ"  เขาบอกชื่อจังหวัดและถนน  ที่ทำให้เธอต้องประหลาดใจจนเกือบจะร้องออกมา  เพราะมันคือจังหวัดและถนนสายเดียวกับที่เธอยืนอยู่ตอนนี้  

    "ฉันก็อยู่ที่ศาลา  ริมถนน.."  เธอละล่ำละลักบอกชื่อถนน  อำเภอและจังหวัด  "ข้างศาลามีทางลูกรังเข้าหมู่บ้าน..ละมั้ง  แล้วก็มีต้นหูกวางใหญ่  คุณพอรู้จักมั้ยคะ"

    "เอ..ไม่รู้จักละครับ  ผมไม่ใช่คนที่นี่  เพิ่งเคยมาครั้งแรก"  เสียงเขารวบรัดอย่างไรพิกล  "แต่ศาลาที่ผมอยู่นี่ไม่มีถนนลูกรังนะ  เห็นแต่บึงน้ำอยู่ใกล้ๆ นี่  แล้วก็ไม่มีต้นหูกวาง  มีแต่ต้นมะขามเทศ"


    มีนาถอนใจอย่างโล่งอก  นึกแช่งชักหักกระดูกตัวเองที่อุตส่าห์คิดไปได้ว่าเขาเป็นผี  สิงอยู่ในตู้โทรศัพท์นี้แล้วโทรมาหลอกเธอ  ค่อยยังชั่วหน่อยที่อีกฝ่ายบอกว่าศาลาที่เขารอรถอยู่ไม่ใช่ที่เดียวกับเธอ

    คงดูหนังผีมากไปน่ะ.. เธอบอกตัวเอง


    "แล้วรถคุณเป็นอะไร  ซ่อมไม่ได้หรือคะ"  เธอถามอย่างร้อนรน  เขาน่าจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเธอนี่แหละ  ถ้าเขาซ่อมรถได้  เธอก็น่าจะติดรถเขาไปได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรนัก  

    "เหมือนหม้อน้ำจะแห้ง  ผมรีบออกมา  ไม่ได้เช็ครถเลย"

    แล้วขับมาไกลมากหรือไงกัน  ถึงขนาดหม้อน้ำแห้งนี่น่ะ  มีนานึกสงสัย  แล้วก็ตกใจที่เขาตอบกลับมาทันที

    "ขับมาจากกรุงเทพแน่ะครับ"  เสียงเขาอู้อี้  "ใกล้จะถึงอยู่แล้วเชียว  ไม่น่ามาแห้งตอนนี้เล้ย"  

    "น้ำแห้ง"  มีนาทวนคำ  "คุณเอาน้ำในบึงที่คุณว่าอยู่ใกล้ๆ เติมไม่ได้หรือคะ"

    "โอ้โห  คุณ"  ฝ่ายนั้นหัวเราะก๊าก  "พูดเหมือน..เอ้อ..แฟนผมเลย  รายนั้นจะให้เอาโค้กเติม  จะบ้าเหรอคุณ"


    "ฉันไม่ได้บ้า  แล้วทำไมล่ะ  ทำไม่ได้หรือไง"  เธอทำเสียงตวัด  ไม่ชอบใจเสียงหัวเราะเหมือนจะเย้ยๆ ของเขาเท่าไหร่หรอก  ทำไมผู้ชายจะต้องทำเหมือนดูถูกผู้หญิงด้วยนะ  ในเรื่องเครื่องยนต์กลไกนี่น่ะ  ตรัยก็เหมือนกัน  กระแนะกระแหนเธออยู่ได้ทุกวัน  ทั้งที่เธอไม่เคยไปเยาะเย้ยเขาซักคำ  ที่เขาแยกไม่ออกว่าน้ำยาซักแห้งกับน้ำยาปรับผ้านุ่มมันต่างกันยังไง

    "ก็ทำไม่ได้น่ะสิ"  เสียงเขาอ่อนลงนิดหน่อย  "เอาล่ะๆ ผมขอโทษ  ผมเคยทะเลาะกับแฟนจะเป็นจะตายก็เพราะเรื่องรถนี่แหละ  คุณอย่าถือผมเลยนะ  ผมไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่องคุณ"

    "แฟนคุณมาด้วยเหรอคะ"  มีนาถาม  ถ้าหากว่ามีผู้หญิงมาด้วยก็ดี  เธอจะได้อุ่นใจมากขึ้น

    "ไม่ได้มา"  เสียงปลายสายอู้อี้  "คุณล่ะ  มาคนเดียวเหรอ"

    "ค่ะ"  เสียงเธอหงอยลงไปอีก  หากก็แข็งใจอ้อนวอน  "คุณช่วยโทร.ไปที่บ้านฉันหน่อยได้ไหมคะ  ให้พ่อฉันออกมารับ  แล้วฉันจะให้พ่อเรียกช่างมาดูรถให้คุณด้วย"

    "นี่คุณ"  เสียงเขามีรอยขันขึ้นมาอีก  "แค่หม้อน้ำแห้ง  ไม่ต้องเรียกช่างหรอกครับ  ขอน้ำกลั่นขวดเดียวพอ"  ดูเขาพยายามกลั้นหัวเราะ  ทั้งที่เธอไม่เห็นมันจะมีอะไรน่าขำสักนิด  

    "แต่ผมโทร.ให้ไม่ได้จริงๆ บอกแล้วไงว่าตู้มันเสีย  อยู่ๆ มันก็ดังขึ้นมาเอง"  เขายืนยัน

    "คุณคะ  ฉันขอร้องล่ะ"  เสียงเธอเครือเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาทันที  "อย่าแกล้งกันเลยค่ะ  ฉันเหนื่อย  แล้วก็อยากกลับบ้านเต็มที"

    "ผมไม่ได้แกล้ง"  เสียงปลายสายดูไม่สบายใจเช่นกัน  "แต่มันเสียจริงๆ นี่ผมยังไม่สงสัยเลยนะว่าคุณโทรมาหาผมได้ยังไง  ในเมื่อคุณก็บอกว่าตู้ที่คุณใช้อยู่มันก็เสีย"

    "ก็ฉันไม่ได้โทร"  เธอแทบจะกรีดร้อง  "ไม่ได้โทรได้ยินมั้ย"


    "ได้ยินครับ  แล้วผมเองก็ไม่ได้โทรเหมือนกัน"  เขากลับใจเย็นได้อย่างไม่น่าเชื่อ  "ผมจะบอกอยู่นี่ไงว่าอาจจะเป็นเพราะสายมันพันกัน  เพราะฝนตกหรือฟ้าลงหรืออะไรก็ช่างเหอะ  มันอาจจะทำให้สายโทรศัพท์รวนก็ได้นี่นา"

    "เป็นไปได้หรือคะ"  เธอกะพริบตา  บอกไม่ถูกว่าทำไมจึงรู้สึกอบอุ่นกับเสียงปลอบโยนของเขานัก

    "ได้สิครับ"  เขายืนยันเสียงหนักแน่น  "ไม่ต้องกลัวหรอกคุณ  หรือถ้ากลัวก็คุยกับผมไปเรื่อยๆ ก็ได้  ในตู้มีไฟสว่างใช่มั้ยล่ะ  อย่าออกไปนั่งข้างนอกเลย  มันมืด"



    (มีต่อค่ะ)


    แก้ไขเมื่อ 30 ก.ค. 51 02:43:50

    จากคุณ : โยษิตา - [ 30 ก.ค. 51 01:49:32 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom