 |
นี่รึ....คนเมือง
นับตั้งแต่ขึ้นมาอยู่ กรุงเทพฯ ก็ได้สัมผัส ถึงความแตกต่าง ระหว่างชนบท บ้านเรา กับ เมืองกรุงเทพฯ ศรีวิไล ไม่คิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในกรุงได้ ทั้งที่ทุกอย่าง คิดเป็น วินาที แม้แต่ลมหายใจก็หายใจคิดเป็นวินาที จะรีบไปไหนกันหนักหนา ตอนแรก คนเราก็มักบอกว่า ทำงานและใช้ชีวิตแข่งกับเวลา
แต่ ปัจจุบันนี้ ไม่ใช่แล้ว เวลาต่างหากที่ต้องวิ่งตามเรา ว่าก็ว่าไป เดี๋ยวนี้เวลา ก็เอาไม่อยู่แล้ว ต่อไป ถ้าคนที่จะเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ต้องซ้อมจากที่บ้านมาก่อนเลย คล้ายๆกับ นักกีฬาไปแข่งซีเกมส์ โดยต้องเริ่มหัด วิ่งให้ทัน เวลา หัดวิ่งเเถวๆคันนา จับเวลาขณะวิ่ง น่าจะประมาณ 4x100 ก็น่าจะไหว เวลาเข้ามาในกรุง จะได้ วิ่งตามรถเมล์ทัน วิ่งไปก่อนเลย รับรองว่าได้ขึ้นแน่ๆ เพราะ รถเมล์กรุงเทพฯ เนี้ย ชอบจอดเลยป้าย ไม่รู้ทำไมหนักหนา สงสัยตอนเป็น ลูกค้าคงต้องโดนแกล้ง บ่อยๆแน่เลย พอได้เป็นพลขับ เลยมาลงกับ ลูกค้า
เมื่อเรียนรู้ที่จะวิ่งแล้ว ก็ต้องเรียนรู้ที่จะตื่น ต้องตื่นก่อนไก่ย้ำชัดๆ เพราะว่าหากตื่นพร้อมไก่ขัน หรือ หลังไก่ขันแล้ว จะพบกับฝันร้ายที่จะเกิดตอนรุ่งเช้า คือ เราจะกลายเป็น ปลาซาดีนในรถเมล์ทันที โดยไม่ต้องมีการบรรจุโดยเครื่องจักรอันทันสมัยแต่อย่างใด เวลากำลังดี ที่น่าจะเดินทาง คือ ช่วง เวลา05.00 -07.00 น. ช่วงเวลาดังกล่าวเหมาะสำหรับเดินทางมากๆ คนน้อยๆ ถนนว่างๆ อืม รู้สึกว่าเมืองกรุงเทพฯ เหมือนจะร้างๆ แต่ก็อีกนั้นแหละ ใครเล่า จะตื่นอย่างนั้นได้ทุกวัน ต้องมี พลาดบ้างละ อันนี้ก็ถือว่าเป้น กรรมของเวรไป
เพราะสิ่งที่เราจะพบคือ สาระพัดกลิ่นน้ำหอมในตอนเช้า หากรถเมล์ คันนั้นมีสาวๆเยอะก็ดีหน่อย เพราะจะกลิ่นหอมมากๆทั้ง อืมกลิ่นกุหลาบ อืมกลิ่นมะลิ อืมกลิ่นนของ อาร์มมันนี่ ดิออ ชาเนล ฯลฯ แต่หากมากเกินไปก็จะเป็นฉุนก็ได้ จนจะ......... แต่ก็น่ะถ้าโชคร้ายหน่อย บังเอิญว่ารถเมล์คันนั้นมีแต่ผู้ชาย เราจะพบกับจุดจบของกลิ่น มีทั้งเปรี้ยวนิดๆ เปรี้ยวหน่อยๆ บางทีโชคร้ายมากๆก็เปรี้ยว ขนาดไร้ขีดจำกัด ความเปรี้ยว อันนี้ถ้าใคร ใช้บริการรถเมล์ ร้อนจะเข้าใจเลยว่า ไร้คำบรรยายจริงๆ(ขออภัยด้วยสำหรับใครที่ไม่มีกลิ่นดังกล่าว อย่าอิจฉา เพราะเป็นความสามารถเฉพาะบุคคล)
อันที่จริงกลิ่นอะไร แม้ว่าจะเลวร้ายขนาดไหน ก็ทนได้แต่ก็ไม่เลวร้ายเท่า เมื่อคนที่นั่ง แล้วเห็นคนแก่ หรือคนท้องและเด็กน้อย ขึ้นรถเมล์มา แต่นิ่งเฉยไม่ลุกขึ้นให้นั่งหรือแม้แต่ยืนมองเมื่อคนขึ้นตามหลังมาถือของเยอะแยะ แต่ไม่สนใจ ไม่ช่วยถือของ เพราะคิดอยู่ในใจว่าไม่ใช่เรื่องของเรา อันนี้เราว่า เหม็นยิ่งกว่ากลิ่นกลายและมันจะติดทนไปเป็นสันดรเลยก็ว่าได้ เมื่อเราเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯเมืองที่เจริญแล้ว ทางด้านวัตถุ แต่จงพึงสังวรและเตือนตนอยู่เสมอว่าเรามาจากที่ไหน คนชนบท คนต่างจังหวัดไม่แล้งน้ำใจ อย่าฝั่งรากลึกถึงความเห็นแก่ตัวไว้ในจิตใจ เพราะนั้นจะทำให้เรารู้สึกแย่เมื่อเราเป็นคนโดนกระทำจากสังคม ถึงตอนนั้นเราอาจจะซึ่งถึงจิตใจว่า นี่หรือเพื่อนมนุษย์ก็เป็นได้
น้ำใจซื้อไม่ได้ด้วยวัตถุ แต่เราสามารถสร้างได้และเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ถึงไม่ได้แม้แต่คำชื่นชม แต่หัวใจเราจะพองโตทุกครั้งที่เราได้ช่วยเหลือ หรือไถ่ถาม ว่าต้องการความช่วยเหลือไหม อย่าแร้งน้ำใจเยี่ยงดินที่แห้งแร้ง เพราะนั้นเปรียบได้ว่าเราเองที่เป็นคน ไร้คุณค่าในตัว
จากคุณ :
สันหลังของชาติ
- [
5 ส.ค. 51 17:19:10
]
|
|
|
|
|