Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    วิ่งไปหากรรม

    วิ่งไปหากรรม

    ราส์ส กิโลหก

                             
    ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด  เมื่อประมาณ พ.ศ. 2512  ได้เดินทางเข้ามาเรียนต่อชั้น ม.ศ 4 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งย่านถนนศรีอยุธยา พญาไท กรุงเทพฯ  โดยพักอาศัยที่บ้านของน้าชายซึ่งแกปลูกทิ้งเอาไว้ไม่มีคนอยู่  บนที่ดินประมาณ 200 ตารางวา  เป็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ .อยู่ที่ย่านถนนรามอินทรา ก.ม.6 เป็นที่ดินสวัสดิการของกองทัพบก ชื่อหมู่บ้านนายทหารจระเข้บัว  เป็นโครงการที่กองทัพบกดำเนินการจัดสรรเพื่อให้แก่กำลังพลได้เช่าซื้อ น้าผมเป็นทหารจึงได้ซื้อเอาไว้ 2 แปลง.

                           
    เรียกกันว่าหมู่บ้านฯ แต่ไม่มีการสร้างบ้านขายนะครับ  เป็นการจัดสรรที่ดินเปล่าๆ เขาจัดที่ดินเป็นล๊อคๆแบ่งถนนให้เข้าถึงทุกแปลง แต่ละแปลงเนื้อที่ 100 ตารางวากว้าง 20 เมตร ยาว 20 เมตร ทั้งโครงการมีประมาณ เกือบ 200 แปลงถนนภายในกว้าง 8 เมตรลาดยางมะตอย.

                                       
    ที่น่าสังเกตคือ ข้างๆริมถนนจะเป็นลำคลองทั้งหมด ก็คงเดาได้ไม่ยากเพราะพรรคพวกเล่นขุดดินข้างๆมาทำถนนประหยัดค่าที่ดินที่จะใช้ถมทำถนนไปหลาย.บาท

                                       
    บ้านที่ปลูกสร้างอยู่ในที่ดินจัดสรรแปลงนี้   นับหลังได้ ผมว่าไม่เกิน 10 หลัง  จากที่ดินทั้งโครงการ 200 แปลงคิดดูว่าบรรยากาศจะเปลี่ยวขนาดไหน ที่สำคัญมีแต่คลองเต็มไปหมด  มีถนนที่ไหนก็มีคลองคู่กันไปทั้งสองฝั่งของถนน. น้ำในคลองมีตลอดปีไม่แห้ง  เพียงแต่จะมีมากหรือน้อยตามฤดูกาล

                                       
    ถนนรามอินทราสมัยนั้นนับจากหลักสี่ไปทางมีนบุรี สองข้างทางยังมีการทำนาอยู่  บริเวณที่มีบ้านหนาแน่นเป็นชุมชน ก็คือ ก.ม.4  และ ก.ม.8 ถนนมีสภาพเป็นลูกรังทั้งสาย  มีรถเมล์เขียวสาย 26 วิ่งระหว่าง มีนบุรี-สะพานขาว เวลานั่งรถเมล์ไปเรียนหนังสือหัวแดงเป็นฝรั่งเพราะฝุ่นลูกรัง

                                     
    สมัยนั้นไม่มีรถแอร์มีแต่ประเภท 2 ประตูยี่สิบหน้าต่าง นึกภาพดูรถเมล์วิ่งตะบึงไปบนถนนลูกรังด้วยความเร็ว จะมีฝุ่นเป็นกลุ่มใหญ่ตามติดอยู่ที่ท้ายรถ  แลดูเหมือนท้ายเครื่องบินไอพ่น  พอรถเมล์จอดรับผู้โดยสาร ฝุ่นกลุ่มใหญ่ก็จะเข้ามากระแทกที่ท้ายรถและซอกแซกเข้าไปตามหน้าต่าง  .ก็จะเป็นอย่างนี้ตลอดจนถึงหลักสี่..

                       
    บ้านที่ผมอาศัยอยู่ บริเวณรอบๆบ้าน  น้าเขาถมดินเฉพาะที่ตั้งตัวบ้าน เพราะถ้าถมทั้งหมด 200 ตารางวาสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว อีกอย่างที่ดินยังไม่ใช้ประโยชน์อะไร  ถ้าถมหมดทั้งแปลงเหมือนเอาเงินไปทิ้งแช่ไว้ บ้านหลังนี้จึงดูเหมือนเป็นเกาะมีน้ำล้อมรอบ แต่จะมีทางเดินจากบ้านออกมาบรรจบถนนกว้างซักเมตรเดียว ถ้าจะจินตนาการก็เหมือนเป็นบ้านกลางน้ำ นั่นแหละ..

                           
    ที่ดินโดรงการนี้  มีรูปร่างเหมือนคอขวด คือปากขวดติดกับถนนรามอินทรา ส่วนตัวขวดที่ยาวออกไปทางด้านหลังคือตัวแปลงที่ดิน ที่แบ่งเป็น ล๊อคๆเหมือนตาหมากรุก   เดิมคงเป็นที่ตาบอดแต่ขอซื้อที่ดินติดถนนรามอินทราเป็นบางส่วนเพื่อใช้เป็นทางเข้า ออก

                                 
    ตรงปากซอย มีที่ดินของชาวบ้านคนหนึ่ง ชื่อ นายใจ เมียชื่อ นางหวาน มีลูก 2 คนเป็นผู้ชายทั้งคู่ คนโตชื่อเจ้าแดงอายุประมาณ 12 ปี คนเล็กชื่อเจ้าเปี๊ยก  อายุ 10 ปี ครอบครัวนี้มีอาชีพทำนา  บ้านก็สร้างอยู่ในที่ดินนั่นแหละเป็นบ้านชั้นเดียวหลังคามุงจาก ก็บรรยากาศแบบชนบททั่วๆไป..หน้าทำนาก็มีต้นข้าว มีน้ำขังในนา  ตอนหน้าเกี่ยวข้าวผมยังไปตัดซังข้าว เอามาทำปี่เป่าเล่น..

                       
    ตอนเช้าๆเวลาไปเรียนหนังสือผมต้อง ผ่านบ้านน้าใจซึ่งตั้งอยู่ปากซอย   ตอนเย็นกลับจากโรงเรียนก่อนเข้าบ้าน   ผมชอบ จะนั่งคุยเล่นกับ ลูกชายแกคือ เจ้าแดง และเจ้าเปี๊ยก จนใกล้ค่ำถึงจะเดินเข้าบ้าน   สองคนนี้จับปลาเก่ง ตอนหน้าฝนกลางคืนจะเอาตะเกียงกับฉมวกไปส่องปลาในบริเวณที่ดินจัดสรร เพราะมีคลองมากมายอยู่ข้างถนน ช่วงหน้าฝนน้ำเต็มคลองก็มีปลามาก  โดยเฉพาะคืนที่ฝนตกพรำๆ

                             
    บางทีวันไหนนึกสนุกผมจะออกไปส่องปลาด้วย ได้ปลามาพวกเขาก็แบ่งให้ผมเอามาทำกิน ผมอยู่คนเดียวได้ปลามาก็ทำเป็นกับข้าวได้หลายมื้อ  

                             
    วันหนึ่งลงจากรถเมล์ หลังจากโรงเรียนเลิก  ที่บ้านน้าใจมีคนจับกลุ่มอยู่ริมคลองข้างบ้าน ผมเดินแวะเข้าไปดู เจ้าเปี๊ยกเจอหน้าผมมันบอกว่า   เค้าช๊อตปลากัน  หมายถึงเอาสายไฟด้านหนึ่งเสียบกับไฟบ้าน  ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งต่อเข้ากับขดลวดมีรูปร่างเหมือนตะแกรงสำหรับลวกเส้นก๋วยเตี๋ยว ตรงด้ามขดลวดมีไม้พาสติคยาวๆสำหรับถือและเป็นฉนวนกันไฟดูด.

                             
    เวลาจับปลาจะเอาตรงขดลวดจุ่มไปในน้ำโดยมือถือที่ด้ามพาสติคไว้  แหย่ลงน้ำตรงไหนจะมีปลาตัวเล็กตัวน้อยกระโดดกันยุบยับซักพักก็หงายท้องเห็นท้องปลาขาวๆเต็มไปหมด  ถ้าโดนปลาตัวใหญ่จะดิ้นตูมตามน้ำแตกกระจายไม่นานก็นอนนิ่งให้คนเข้าไปจับสบายๆ   ไม่เฉพาะแต่ปลาทั้งงู ทั้งกบเขียดหรือตัวอะไรที่อยู่ในรัศมีของกระแสไฟ เกิดอาการชักดิ้นชักงอกันถ้วนหน้า..

                           
    ผมดูแล้วน่าตื่นเต้น เพลินดีตามประสาเด็กสมัยนั้น ผมไม่เคยคิดเป็นเรื่องบาปบุญคุณโทษอะไร  กลับเห็นเป็นเรื่องสนุก ซะมากกว่า

                             
    วันหนึ่งที่โรงเรียนมีงาน ตอนบ่าย  และประกาศให้นักเรียนกลับบ้านได้ คือตอนช่วงบ่ายไม่มีการเรียน ภาพการช๊อตปลายังติดอยู่ในหัว  ผมแวะที่สะพานควายหาซื้อสายไฟยาวประมาณ 10 เมตร เพื่อหวังจะเอามาช๊อตปลาที่บ้านบ้าง เพราะรอบๆบ้านมีแต่น้ำ  ปลาคงแยะ จริงแล้วไม่ได้อยากได้ปลาเอามาทำอะไรหรอก  แต่ต้องการความสนุกมากกว่า

                           
    ลงจากรถเมล์แวะบ้านเจ้าเปี๊ยก  จะชวนไปช๊อตปลาด้วยกันที่บ้านผม  เจอแต่น้าหวานแม่ของเขาบอกว่า พ่อกับลูกๆไปวิดปลากันที่ท้ายหมู่บ้าน(หมายถึงท้ายแปลงที่ดินจัดสรร คือเลยบ้านผมไปอีกไกล)  ผมเลยกะว่าจะทำคนเดียว  จึงเดินกลับบ้าน จวนจะถึงทางแยกบ้านอยู่แล้ว  ตาเหลือบไปมองเห็นเจ้าเปี๊ยกมาเดินมาจากท้ายหมู่บ้าน มองเห็นไกลๆ  เลยยืนรอมันตรงทางแยกจะเข้าบ้านผม..

                         
    พอเดินมาถึงตัว บอกมันว่าผมจะช๊อตปลาที่บ้าน ไปด้วยกัน มั๊ย !

                     
    มันทำท่าตกใจบอก ไม่กล้า มันกลัว  ผมคะยั้นคะยอจนมันยอมไปด้วย ....

                           
    ไปถึงบ้านผมก็จัดการทำแบบที่เห็นมาเมื่อคราวก่อน ปอกสายไฟ พันกับขดลวดกลมซึ่งมัดติดกับ  ด้ามไม้พาสติคยาว 2 เมตรปอกสายไฟอีกด้านหนึ่ง  เอาไปเสียบที่รูปลั๊กไฟในบ้าน  ต่อสายมาเตรียมช๊อตปลาตรงบริเวณหน้าบ้านเป็นถนนดินที่ใช้เข้า-ออก ตัวบ้าน  

                           
    แหย่ขดลวดลงไปในน้ำครั้งแรก ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น ผมจึงลองเปลี่ยนเอาสายไฟเสียบรูของปลั๊กอีกรูที่อยู่ข้างๆกัน คราวนี้ได้เรื่องแหย่ลงไปในน้ำ ปลาเล็กปลาน้อยกระโดดตัวลอยเหนือน้ำกันเป็นแถว แล้วก็สลบหรือตายไม่รู้ ลอยกันเป็นแพ สักพักก็จมลงไปในน้ำ..

                           
    สนุกกันใหญ่ จนไปโดนปลาใหญ่เข้าตัวหนึ่ง ขนาดท่อนแขน มันโดนผมแหย่เข้าไปแต่ไม่ตาย กระโดดหนีไปได้  ผมก็แหย่ตามไม่ยอมปล่อย..

                         
    เหมือนเป็นการลงโทษ มันว่ายหนีมาทางที่ผมยืนอยู่ริมตลิ่ง ผมก็เอาด้ามพลาสติคกวาดตามเข้ามา..

                         
    พอปลายด้ามคือลวดวงกลมเข้ามาใกล้ที่ผมยืนอยู่..

                           
    มันเหมือนมีอะไรรุมเข้ามาที่ตัวผม ทำให้ล้มทั้งยืน ผมพูดอะไรไม่ออก มือทั้งสองข้างเหมือน ชักกระตุกแบบบังคับไม่ได้ ..แต่ยังไม่หมดสติยังรับรู้อาการ  แต่ไม่สามารถทำอะไรได้..คิดว่าคงตายแน่ๆ..

                     
    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าใด  มารู้สึกตัวอีกครั้งเหมือนหลุดจากกาวที่ละเลงอยู่รอบตัว   สะบัดตัวสะดุ้งขึ้นมานั่งแบบ งงๆ..ประสาทชาไปหมด ทำอะไรไม่ถูก    จนได้ยินเสียงเจ้าเปี๊ยก มาตะโกนเรียกชื่ออยู่ใกล้ๆ..

                           
    มันเรียกชื่อผม และเขย่าตัวแรงๆ มันคงตกใจไม่แพ้ผมเหมือนกัน..  

                           
    ได้ความว่า เจ้าเปี๊ยกมันช่วยผมไว้โดยการกระโดดขึ้นไปในบ้านกระชากสายไฟออกจากปลั๊กได้ทัน ทั้งที่กลัวจนตัวสั่น..
                           
    พอสติกลับคืนมาสำรวจดูตัวเอง ตั้งแต่หัวลงมาถึงปลายเท้าเต็มไปด้วยขี้โคลน เหมือนตกลงไปในปลักควาย

                           
                           
    หลังจากนั้นหลายวัน..

                           
    เจ้าเปี๊ยกบอกผมว่า ครั้งแรกมันไม่ตั้งใจจะเดินกลับมาบ้านหรอก แต่ไม่รู้มีอะไร มาดลใจจึงเดินกลับมาบ้านและมาเจอผมกลางทาง

                         
    มันยังบอกอีกว่า ตอนที่ผมโดนไฟช๊อตล้มลงไป ผมมีสภาพเหมือนปลาที่โดนช๊อตไม่มีผิด คือตัวงอเข้างอออก แล้วตัวก็ชักกระตุกอยู่บนดินริมตลิ่งที่มีน้ำอยู่ด้วย ทำให้บริเวณนั้นเป็นเหมือนปลั๊กควายเล็กๆ เนื่องจากตัวผมลงไปชักดิ้นชักงออยู่ตรงนี้.!!

                           
    และคำสุดท้ายของเจ้าเปี๊ยกทำเอาผมเสียววูบไปถึงไขสันหลังคือ...

                                    “ตอนแรก ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก  กะว่าจะวิ่งไปตามพ่อ มาช่วย”

     
     

    จากคุณ : สวนดอก - [ 7 ส.ค. 51 18:43:07 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom