กวีพลเหลือบตาขึ้นดู นึกหมั่นเขี้ยวคนชอบยียวนเต็มแก่ จัดการชงกาแฟร้อนแก้วหนึ่ง ถือเดินไปส่งให้หล่อน แล้วก็พลอยนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆ มองดูหล่อนเช็ดผมเพลิน
ลมเย็นชื้นไอฝนโชยมาวูบหนึ่ง พัดเอากลิ่นแชมพูและสบู่จางๆ มาต้องจมูก...
ปีลันธน์เงยหน้าขึ้นสบตาเขา ยิ้มให้ แล้วก็เอื้อมมือมาหมายจะยกถ้วยกาแฟ แต่ชายหนุ่มดึงหลบเสียก่อน
ทะเลาะกันมาอีกล่ะสิ คำพูดนั้นกึ่งถามกึ่งคาดเดา อย่างคนที่รู้ทุกอย่างดีอยู่แล้ว
ปิลันธน์ชะงักไปนิดหนึ่ง แต่แล้วก็ไหวไหล่ ไม่ตอบคำ
ทั้งปี... ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาว คราวนี้ปีบเอาแต่ใจหรือไอ้กานต์งี่เง่า?
พอเห็นอีกฝ่ายไม่เอ่ยอะไร นอกจากนั่งเช็ดผมง่วนเหมือนเป็นงานสลักสำคัญเสียเต็มประดา ชายหนุ่มก็พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ คล้ายจะปราศจากความรู้สึกใดๆ
คบกันมาตั้งนาน นิดๆ หน่อยๆ ก็ยอมกันหน่อยเถอะน่า ไอ้กานต์มันรักปีบออกจะตายไป แล้วที่หนีมานี่บอกมันหรือยัง? เดี๋ยวมันก็ได้ตามหาให้วุ่นไปหรอก ทะเลาะกันยังไงก็น่าจะคุยกันให้รู้เรื่อง ไม่น่าหนีมาอย่างนี้เลย...
กวีพลชะงักคำพูดยาวเหยียดของตัวเอง เมื่อเห็นคนตรงหน้าหยุดเช็ดผม วางศอกทั้งสองข้างลงบนโต๊ะแล้วนั่งเท้าคางมองหน้าเขาตาแป๋ว
มองอะไร?
มองตาแก่ขี้บ่นน่ะสิ ไม่เจอกันแป๊บเดียว กวีขี้บ่นขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
เราบ่นที่ไหน ที่พูดก็เพราะหวังดีหรอกนะ เลิกกันขึ้นมาจริงๆ ก็ขี้เกียจจะปลอบใจ เขาพูด แล้วก็ขมวดคิ้วเข้าหากันนิดหนึ่งเมื่อเห็นปีลันธน์ไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย หล่อนนั่งมองโต๊ะเฉย แล้วหยิบดอกไม้เล็กๆ ดอกหนึ่งในจำนวนที่หล่นอยู่บนโต๊ะขึ้นมา ไม่เพียงแต่บนโต๊ะเท่านั้น ตามเก้าอี้และบนพื้นระเบียงนอกชายคา ดอกไม้ชนิดเดียวกับที่อยู่ในมือหญิงสาวตอนนี้ก็หล่นทิ้งอยู่เกลื่อนกล่น
นี่ดอกอะไร? กวี
กวีพลมองดอกไม้สีขาวดอกเล็กในมือคนตรงหน้านิ่งอยู่นิดหนึ่ง แล้วตอบเสียงเบา
กาสะลอง...
เหรอ? ปีลันธน์ว่า หมุนดอกไม้ในมือเล่น
ดอกไม้นั้นกลีบเล็กนิดเดียว มีเกสรสีเหลืองๆ เขียวๆ อยู่ภายใน ก้านเรียวบอบบางแต่ยาวเกือบเท่านิ้วชี้ ต้นกาสะลองสูงเกือบถึงชั้นสองของบ้านยืนต้นอยู่ใกล้ๆ ระเบียงนั่นเอง มันออกดอกเป็นช่อพวง พอลมพัดมาวูบหนึ่งหรือโดนฝนแรงๆ เข้า ดอกกาสะลองก็สละพวงร่วงลงพื้น สนามหญ้าใต้ต้นกาสะลองจึงขาวพร่างไปด้วยดอกไม้เล็กๆ นี้ และบางส่วนก็พลอยร่วงปลิวเข้ามาถึงระเบียงร้าน
หญิงสาวยกดอกไม้เล็กจิ๋วขึ้นแตะปลายจมูก สูดกลิ่นหอมอ่อนจางของมันแล้วยิ้มอย่างพอใจ
หอมนะ หอมเหมือนดอกปีบเลย หล่อนว่า
มันชื่อดอกกาสะลอง กวีพลย้ำ
ปีลันธน์ยิ้มนิดหนึ่งเหมือนรับรู้ หล่อนเหลียวมองเข้าไปในร้าน จ้องดูภาพสีน้ำสองสามภาพที่เรียงรายอยู่บนผนังแล้วก็ถามเบาๆ
กวีชอบดอกกาสะลองเหรอ? เห็นวาดไว้ตั้งหลายรูป
ชายหนุ่มมองตามสายตาหล่อน ภาพวาดสีน้ำบนเฟรมผ้าใบล้วนแ่ต่เป็นภาพดอกกาสะลองสีขาวนวลตาในลักษณะต่างๆ กัน บางภาพดอกกาสะลองเป็นช่อพวงรวมกลุ่มกันอยู่กลางกลุ่มใบสีเขียวเข้ม บางภาพก็เป็นพวงกาสะลองที่ห้อยระย้าแกว่งไกวตามแรงลม และบางภาพก็มีกาสะลองอยู่โดดเดี่ยวเพียงดอกเดียวเท่านั้น แต่ทุกภาำพก็คงมีแต่กาสะลอง กาสะลอง และกาสะลอง...
อืม เขารับคำสั้นๆ
แล้วนั่นปลูกไว้ด้วยเหรอ? นึกว่าถนัดแต่วาดอย่างเดียวเสียอีก ปีลันธน์บุ้ยใบ้ไปที่ต้นไม้ในกระถางเกือบสิบใบรอบๆ ร้าน
ชายหนุ่มพยักหน้า
สรุปว่าชอบต้นและดอกกาสะลองมาก? ไหนบอกหน่อยซิ ชอบมันที่ตรงไหน? ตรงที่มันเป็นสีขาว ตรงที่มันดอกเล็กน่าเอ็นดู หรือว่าตรงที่มันหอม หล่อนถาม ฉวยแก้วกาแฟจากมือชายหนุ่มมาจิบช้าๆ มองหน้าเขาอย่างต้องการคำตอบ
กวีพลยิ้มบางๆ สายตาอ่อนโยนเบนไปจับที่กาสะลองต้นสูงริมระเบียง กาสะลองมีลำต้นไม่ใหญ่โตเทอะทะ แต่ผอมบางและสูงชะลูด ต่อเมื่อสูงจนได้ระดับหนึ่งแล้วจึงแผ่กิ่งก้านเรียวเล็กอยู่ใต้ร่มใบเขียวสด รับกับดอกสีขาวนวลที่ออกแซมใบอยู่เป็นช่อพวง
กาสะลองเป็นต้นไม้ฟอร์มสวยน่ะซี ไม่เห็นหรือ? กิ่งก้านมันน่าดูออก
กวีนี่เป็นศิลปินเต็มขั้นจริงๆ หล่อนว่า มองอะไรก็เป็นศิลปะไปหมด...มองผู้หญิงอย่างนี้บ้างไหม?
เขาเสหัวเราะ
ถามจริงๆ ทำไมไม่มีแฟนเสียที? ปีลันธน์คาดคั้น
เมื่อกี้คุยเรื่องของปีบอยู่นะ ไหงมาย้อนถามเราเสียได้
ก็ตอบมาสิ ทำไมถึงไม่มีแฟน ไม่เคยนึกชอบใครเลยหรือ?
เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กดังแว่วมาจากหน้าร้าน แล้วลูกค้ากลุ่มแรกของวันก็ก้าวเข้าประตูมา กวีพลรู้สึกเหมือนนั่นเป็นระฆังช่วยชีวิต เขาผุดลุกขึ้นทันที หันหลังจะกลับเข้าไปข้างใน แต่ปีลันธน์ยุดข้อมือไว้ ไม่ยอมให้ไป
ตอบคำถามเรามาเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นก็ไม่ต้องไป หญิงสาวแสร้งทำเสียงเขียว
ชายหนุ่มเจ้าของร้านนิ่งคิดนิดหนึ่ง จ้องหน้าหล่อนแล้วตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนผละไป
ยังหาผู้หญิงที่สวยเหมือนกาสะลองไม่ได้น่ะซี
ไผน่ะ อ้ายกวี แฟนกา?
กวีพลชะงักมือที่กำลังจดรายการเครื่องดื่มตามที่ลูกค้าสั่ง เมื่อเสียงสาวน้อยในชุดนักศึกษาหนึ่งในกลุ่มนั้นถามขึ้นด้วยสำเนียงท้องถิ่น นักศึกษาสาวกลุ่มนี้เป็นลูกค้าประจำที่แวะเวียนมาที่ร้านบ่อยเสียจนจำชื่อและหน้าได้ทุกคน
บ่าใจ้ ชายหนุ่มตอบด้วยสำเนียงท้องถิ่นเช่นเดียวกัน
แน่ะ บ่าใจ้แน่กา? เด็กสาวอีกคนหรี่ตามองอย่างจับพิรุธ
บอกว่าบ่าใจ้ ก็บ่ใจ้ก่ะ อ่ะ จะสั่งอะหยัง ว่ามา เขาตัดบท ด้วยการแกล้งทำหงุดหงิด
ฮั่นแน่ มีพิรุธ แฟนอ้ายกวีแน่ๆ อีกคนพลอยผสมโรง
เด็กสาวเหล่านี้สนิทสนมกับเขาเสียจนหยอกล้อกันได้เป็นเรื่องเป็นราว และชายหนุ่มก็ไม่เคยถือโกรธ เขาอาจจะเป็นคนอย่างนั้นเอง
เพื่อนกัน...ตั้งแต่สมัยเรียน เขาพยายามแก้ความเข้าใจผิด
เด็กสาวสามคนพยักหน้่าหงึกหงัก
บ่าใจ้แฟนกา เสียดาย เปิ้นงามเน่อ ยะหยังบ่จีบ อ้ายกวีจะได้มีแฟนเสียที คนแก่นแก้วที่สุดในกลุ่มเอ่ยเบาๆ
ชายหนุ่มโคลงศีรษะแช่มช้า ไม่ตอบคำ
สงสัยบ่ใช่สเปค อีกคนหันไปพูดกับเพื่อนคล้ายคาดคะเน อ้ายกวีท่าจะบ่ชอบคนงามๆ
คนงามๆ สวยๆ ก็ชอบเหมือนกันนั่นแหล่ะ
อ้าว แล้วหยังบ่จีบปี้สาวคนงาม
กวีพลชายหางตาไปทางหญิงสาวที่ถูกกล่าวถึงแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยเบาเหมือนรำพึงกับตัวเอง
ก็เพราะว่า...เขาเป็นผู้หญิงฟอร์มจัดน่ะซี
************************จบตอนที่ 1***********************
ขอบคุณ credit รูปจาก google ค่ะ
อีกไม่เกิน 3 วันมาต่อให้ค่ะ
(เฮ้อ...อกหักเพราะหลงรักพระเอกนิยายนี่มันโหดร้ายจริงๆ T^T)
แก้ไขเมื่อ 07 ส.ค. 51 20:56:34
แก้ไขเมื่อ 07 ส.ค. 51 20:54:00
แก้ไขเมื่อ 07 ส.ค. 51 20:50:09