...
แต่จนแล้วจนรอด กวีพลก็ตามหาปีลันธน์ไม่พบเลยแม้แต่แห่งเดียว ไม่ว่าจะบ้านเพื่อนคนไหนที่เขาและปีลันธน์รู้จัก ภายในมหาวิทยาลัย สถานีขนส่ง สถานีรถไฟ หรือแม้แต่สนามบิน เขาก็หาหล่อนไม่พบ หล่อนคงกลับกรุงเทพฯ ไปเสียแล้ว
สามทุ่มแล้วเมื่อกวีพลกลับเข้ามาที่ร้าน กานต์และแฟนสาวไม่อยู่แล้ว เพื่อนคงกลับไปในทันทีที่เจ้าของร้านออกไป รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ทำร้ายเพื่อนโดยไม่ยอมฟังอีร้าค่าอีรมใดๆ แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะไปคิดถึงเรื่องอื่นหรอก...นอกจากปีลันธน์คนเดียวเท่านั้น
ไฟในร้านมืดสนิท ต้นกาสะลองยืนต้นตะคุ่มอยู่โดดเดี่ยวริมระเบียง มีเพียงสีขาวๆ จากดอกไม้ที่ร่วงอยู่ใ้ต้ต้นเท่านั้นที่มองเห็นสว่างเรืองอยู่ในความมืด
กวีพลก้าวยาวๆ เข้าไปหยุดอยู่ภายใต้ซุ้มไม้้ ก้มลงหยิบดอกกาสะลองบนพื้นขึ้นมาถือไว้ดอกหนึ่ง จรดปลายจมูกลงบนกลีบเล็กๆ สีขาวนวลอย่างแผ่วเบา ได้กลิ่นหอมอ่อนจาง คล้ายกลิ่นเรือนผมของใครบางคนที่เขาคิดถึง
กลับค่ำจัง ไปถึงไหนมาเหรอ?
ถ้อยคำถามไถ่ดังขึ้นในความเงียบ ต้นเสียงมาจากระเบียงร้านนอกชายคา กวีพลสะดุ้งสุดตัวแล้วหันขวับไป เขาคงไม่ตกใจมากขนาดนี้ หากว่าเสียงนั้นจะไม่ใช่เสียงของคนที่เขาตามหา
ปีลันธน์นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ไม้ตัวที่อยู่ติดระเบียงด้านนอก กระเป๋าเดินทางวางอยู่ข้างตัว หล่อนกอดอกมองหน้าเขา ดวงตากลมโตคู่นั้นมองเห็นวาวๆ ในความมืด
ปีบ กวีพลอุทาน รีบสาวเท้าเข้าไปหา ชายหนุ่มหยุดชิดติดราวระเบียง รอยยิ้มอย่างยินดีคลี่เต็มใบหน้าอ่อนโยน
ปีบไปไหนมา? ทำไมอยู่ๆ ก็หายไปไม่บอกเราเลย
ปีลันธน์ไหวไหล่ ก็ไม่ได้ไปไหน อยู่ในเรือนไม้ของกวีโน่นไง
กวีพลจ้องหล่อนตะลึง เขามัวแต่เป็นห่วงและกังวลอยู่แต่ว่าหล่อนจะกลับไป จึงไม่ได้ค้นหาในบ้านให้ทั่วเสียก่อน
โธ่... ชายหนุ่มครางอ่อย รู้สึกตัวเองโง่ไปถนัด ก็เราเห็นกระเป๋าเสื้อผ้าของปีบหายไป ก็นึกว่า...
นึกว่าอะไร?
นึกว่าปีบหนีเรากลับกรุงเทพฯ ไปเสียแล้ว
ปีลันธน์ถอนใจใหญ่ ทีแรกก็คิดอยู่เหมือนกันนั่นแหล่ะ แต่...จำไม่ได้เหรอ? เราบอกกวีชัดแล้วนี่ว่าเรามาที่นี่ทำไม?
กวีพลขมวดคิ้วงุนงง พยายามนึกทบทวนถึงวันแรกที่หล่อนมาถึง
ว่าแ่ต่กวีเถอะ รีบร้อนออกไปทำไม? หล่อนถามแทรกขึ้น เอียงคอมองเขา
ก็ไปตามหาปีบน่ะสิ เปิดเข้าห้องไปไม่เห็น รู้ไหม? เราใจหายหมดเลย คิดเป็นห่วงไปสารพัด กลัวปีบจะเดินออกไปที่ปากทางคนเดียว
ฮึ ปีลันธน์ทำเสียงขึ้นจมูกเหมือนเยาะ กวีจะเป็นห่วงเราทำไม เมื่อวานนี้ยังไล่ให้เรากลับไปหากานต์ กวีว่าเราแรงๆ หาว่าเราทำอะไรประชดคนอื่น
กวีพลยิ้มเลี่ยนๆ ปีบไม่เข้าใจสิ่งที่เราทำหรอก
ใช่สิ เพราะเราไม่เข้าใจ งั้นกวีบอกเราหน่อยได้ไหมล่ะ ว่าเราไม่เข้าใจอะไร?
กวีพลได้แต่อ้ำอึ้ง เขาคงขลาดกลัวเกินไป ไม่รู้หรอกว่ากลัวอะไร แต่เขาก็กลัวมาตลอด นับตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน แม้กระทั่งตอนนี้ที่โอกาสอันงามมาอยู่ตรงหน้า...เขาก็ยังกลัว
ปีลันธน์เห็นอาการอึกอักลังเลของเขาแล้วก็คงรู้สึกรำคาญ หล่อนรออยู่เพียงชั่วอึดใจ แต่เมื่อกวีพลยังเฉย จึงหมุนตัวกลับทำท่าจะเดินหนี แต่แล้วมือทั้งสองข้างก็ถูกรวบไว้โดยคนที่ยืนอยู่นอกราวระเบียง กวีพลออกดึงหล่อนให้หันกลับมาเผชิญหน้า
วันนี้ไอ้กานต์มาที่นี่... ชายหนุ่มเอ่ยเบา ไปคนละเรื่องกับใจคิด ทำไมปีบไม่บอกเราสักคำว่าปีบเลิกกับไอ้กานต์แล้ว
บอกทำไม? มีประโยชน์อะไรในการที่กวีได้รับรู้เรื่องนี้
หล่อนถามมา คิ้วเรียวเลิกขึ้นข้างหนึ่ง สีหน้าคนถามเรียบเฉย แต่รอยยิ้มเยาะๆ ในแววตาทำให้ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าเขากำลังถูกต้อนให้จนมุม
กานต์บอกเราว่าปีบเป็นฝ่ายบอกเลิกมัน เพราะ...ปีบไม่ได้รักมัน ไม่เคยรักมัน เขาเห็นหล่อนนิ่ง จึงยิงคำถามต่อไป แล้วทำไมตอนนั้น? ปีบถึงคบกับมันล่ะ
มีผู้ชายคนหนึ่งบอกว่าถ้าเขาเป็นผู้หญิง เขาจะคบกับกานต์ เราเชื่อเขาก็เลยทำตาม
กวีพลมองหน้าหล่อนคล้ายจะค้นหาอะไรบางอย่างเบื้องหลังคำพูดนั้น หล่อนทำเพราะประชดเขาหรือ?
แล้วปีบทำตามที่เขาพูดทำไม?
ก็คนพูดเขาพูดแบบนั้นเพราะอะไรล่ะ?
คำถามนั้นห้วน และแววตาที่แหงนเงยขึ้นมามองเขาก็มีประกายท้าทายเหมือนเด็กดื้อเวลาอยากจะเอาให้ได้อย่างใจ ชายหนุ่มถอนใจเฮือก แววตาอย่างนี้ใช่ไหม? ที่ทำให้หล่อนได้หัวใจเขาไปหมดทั้งดวง
ปีลันธน์จ้องหน้าเขา คิ้วขมวดเข้าหากันยุ่ง ในที่สุดก็ดึงมือออกจากการเกาะกุม กระแทกเสียงหนักแล้วทำท่าจะคว้ากระเป๋าเดินหนี
ถ้าไม่พูด ก็ไม่ต้องพูดตลอดไป คราวนี้เราจะกลับจริงๆ!!
โธ่ ปีบไม่รู้จริงๆ ล่ะหรือว่าเรารู้สึกยังไง? กวีพลยุดตัวหล่อนไว้แล้วเอ่ยถาม ไม่ถามเปล่า มืออีกข้างยังเอื้อมมาโอบรอบเอวหล่อนแล้วดึงเข้ามาจนชิด มีเพียงราวระเบียงสูงระดับเอวเท่านั้นที่กั้นทั้งสองคนไว้จากกัน
ไม่รู้ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น หล่อนปฏิเสธพร้อมกับขืนตัวเบาๆ
คราวนี้กวีพลกระหวัดร่างหล่อนแน่นขึ้นอีก ก้มลงกระซิบติดใบหู เรารักปีบมาตลอด ไม่ได้รักอย่างเพื่อน แต่รักอย่างผู้ชายคนหนึ่งจะรักผู้หญิงคนหนึ่งได้ ปีบไม่รู้หรอกหรือ?
ปีลันธน์หยุดดิ้นในทันที กวีพลรู้สึกเหมือนหล่อนมีอาการนิ่งอั้น แล้วร่างนั้นก็ซบหน้าลงกับไหล่เขา ตอบเสียงแผ่วมา
ถ้ากวีไม่พูดเราจะรู้ได้ยังไง?
แล้วปีบล่ะ รักเราบ้างไหม?
ไม่มีคำตอบจากร่างในวงแขน แต่กวีพลรู้สึกได้ว่าหล่อนกอดเขาตอบแนบแน่น
ปีบใจร้าย ชายหนุ่มพึมพำเบาๆ อยู่ชิดเปลือกตาหล่อน ทำไมไม่บอกให้เรารู้สักคำ?
ใครกันแน่ที่ใจร้าย? กวีนั่นแหล่ะใจร้าย ปล่อยให้เราไปเป็นแฟนคนอื่นอยู่ได้ยังไงตั้งเป็นปี ไม่รู้หรือไงว่าคนเขาเสียใจ หญิงสาวถอนสะอื้น
แล้วรู้ไหมว่าเราก็เสียใจ...ต้องอดทนเป็นไอ้บ้าอยู่ได้ตั้งนาน เลิกกับไอ้กานต์แล้วทำไมไม่บอกเราบ้าง
เราอยากรู้ ว่ากวีคิดยังไง? เคยคิดจะพยายามทำอะไรเพื่อเราบ้างไหม? แต่จริงๆ แล้วกวีก็ไม่เคย ไม่คิดจะพยายาม กวีไม่ได้จริงจังอะไรกับเราหรอก ปีลันธน์ว่า หางเีสียงตัดพ้อ
โธ่ ปีบ... กวีพลถอนริมฝีปากออกมาจากหน้าผากของคนตรงหน้า เราทรมานแค่ไหน ปีบไม่รู้หรอก แต่ที่ำำไม่กล้าทำอะไรลงไปเพราะเราไม่รู้ว่าปีบคิดยังไง กลัวว่าถ้าพูดไป ปีบอาจจะเกลียดเราไปเลยก็ได้
คนขี้ขลาด ปีลันธน์ว่าแล้วย่นจมูกให้ แล้วตอนนี้ล่ะ ยังกลัวอยู่ไหม?
ถึงตายก็ไม่กลัว กวีพลกระซิบตอบ กดริมฝีปากลงไปหนักๆ บนพวงแก้มซ้ายขวาอย่างกระหาย และอ้อยอิ่งเนิ่นนานบนกลีบปากของปีลันธน์จนหญิงสาวสะท้าน กลิ่นหอมจางของกาสะลองลอยมา ปะปนกับกรุ่นกลิ่นไอของคนในอ้อมกอด
เมื่อถอนริมฝีปากออก เขาก็รวบหญิงสาวมากระชับแน่นกับอก เฝ้าฝังจมูกลงบนเรือนผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนกลัวหล่อนจะหลุดลอยหายไปอีก
กวี ปีลันธน์กระซิบเรียก
หืม?
รักเรามากไหม?
มากสิ
มากแค่ไหน?
อยากรู้จริงหรือ? ปีบอาจนึกไม่ถึงเลยก็ได้
หล่อนหัวเราะรื่น ดวงหน้านั้นแหงนเงยขึ้นมาสบตา ก็ลองบอกมาก่อนสิ ใครจะรู้...
ชายหนุ่มยิ้มนิดหนึ่ง ลมเย็นโชยไอน้ำค้าง กลิ่นกาสะลองหอมหวนอยู่ในบรรยากาศ
ปีบเคยถามเราใช่ไหม? ว่าทำไมชอบต้นกาสะลอง?
อืม
จะบอกให้ก็ได้ ที่เราปลูกต้นกาสะลองไว้เต็มบ้าน วาดรูปดอกกาสะลองทั้งวันอย่างกับคนบ้า ก็เพราะว่า...
แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดอะไรออกไป นิ้วเรียวยาวของปีลันธน์ก็แตะลงบนริมฝีปากเป็นการหยุดคำพูดของเขาลงเพียงเท่านั้น ดวงหน้าของหล่อนสว่างอยู่ในความมืด รอยยิ้มประหลาดปรากฏขึ้นพร้อมประกายตาวิบวับ หล่อนเอ่ยช้าแต่แจ่มชัด
ก็เพราะว่า...ดอกกาสะลอง ก็คือ ดอกปีบ ใช่ไหมล่ะ?
กวีพลอ้าปากค้าง แต่พอสบตา เขาก็รู้ว่าเขาหลงกลหล่อนเข้าอีกแล้ว
ปีบรู้นี่นา...แล้วทำไมตอนนั้นทำท่าเหมือนไม่รู้?
ไม่ทันได้ถามให้หายข้องใจ ปีลันธน์ก็ตวัดแขนขึ้นโอบรอบคอเขาไว้ เขย่งตัวขึ้นเพื่อให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน ดวงตาคู่สวยที่มองสบมามีประกายคล้ายยั่ว หล่อนออกแรงนิดหนึ่งเพื่อโน้มใบหน้าเขาลงไปหา กระซิบเบาๆ ด้วยหางเสียงสั่นพริ้วชิดริมฝีปากเขานี่เองว่า
ก็เพราะเราเป็นผู้หญิงฟอร์มจัด แล้วก็สวยเหมือนกาสะลองน่ะซี!
********************************จบ********************************
แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 51 02:03:45
แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 51 01:54:01
แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 51 01:46:26