สมัยเด็กๆ คุณเคยฝันอะไรกันบ้างครับ
.เอ่อ.....ผมไม่ได้หมายถึงฝันแบบตีเป็นตัวเลขนะครับ
( ...แต่ถ้าฝันอย่างงั้นจริงๆก็อย่าลืมบอกกันด้วยเน้อ)
ผมหมายถึงไอ้ฝันที่ว่า...
เมื่อโตขึ้น.... อยากจะเป็นไอ้นู่น อยากจะทำไอ้นี่
แล้วตอนนี้ คุณเป็นอย่างที่ฝันได้หรือยัง
หรือว่า ลืมไปแล้ว ...
...หรือว่า พับไว้ก่อนวันหลังค่อยฝันต่อ (วันไหนไม่รู้)
......หรือว่า มันก็ไอ้แค่ความฝันของเด็กๆ มันจะเป็นไปได้ไงฟะ
ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม ทั้งหมดล้วนแต่เป็น ข้ออ้าง ทั้งสิ้น
ความฝันของคุณยังคงตกค้างอยู่ในซอกหลืบไหนซักแห่งในหน่วยความจำนับล้านๆอสงไขยไบท์ภายในใจคุณ
ทว่าวันเวลาแห่งชีวิตผู้ใหญ่ของคุณค่อยๆเปลี่ยนแปลงความฝันเหล่านั้น ให้กลายเป็นความฝันสีจางๆ เหมือนสีของรุ้งที่ค่อยๆจางเหือดหายยามแสงตะวันฉายมา
ผมไม่เถียงหรอกว่า ภาระหน้าที่การงานอันหนักอึ้งของคุณ ทำให้ไม่มีเวลามาใส่ใจตามล่าหาฝันเท่าไหร่นัก (ยกเว้นคนโชคดีที่ได้ทำงานตรงกับที่ตัวเองฝัน) พอมีเวลาหน่อยก็ขอพักผ่อนอย่างเต็มที่ เรื่องความฝัน ก็ช่างหัวมันไปก่อน
ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะว่า ความฝันของคุณนั้นใหญ่เกินไป มันจึงไกลเกินที่จะคว้า และล้าเกินจะที่ไขว่
ทั้งนี้ทั้งนั้นผมขออณุญาตยกความตอนหนึ่ง จากหนังสือ ฝันเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ของคุณหนุ่มเมืองจันทร์ มาให้ได้อ่านกัน
.ตอนเริ่มเล่น ผมคิดจะหาความสุขจากชัยชนะ
ตั้งเป้าหมายว่าจะเอาชนะคู่แข่งให้ได้ แต่ถ้าวันไหนโดนยิงนำไปก่อน 2-3 ลูก
ผมจะเริ่มคิดใหม่
....หาความสุขกับประตูแรกของทีมเราให้ได้
ถ้ายังยิงไม่ได้สักที
ความฝันของผมจะลดระดับลง
....เหลือแค่เลี้ยงหลบกองหลังคนนี้ให้ได้.....
ครับเพียงแค่ฝันง่ายๆแค่นี้ คนเราก็จะมีความสุขได้ทุกเมื่อที่ได้...ฝันไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก
อ้อคุณหนุ่มเมืองจันทร์เค้ายังฝากมาบอกหน่อยว่า อย่าพักให้นานนัก เดี๋ยวจะขี้เกียจกันซะก่อน
.......ฝันแบบกระดึ๊บๆ เดี๋ยวซักวันก็ถึง
...........แถมถ้าเกิดสะดุดล้มกลางคัน ก็ไม่เจ็บตัว
..................
ผมเคยฝันอยากจะเป็นนักเขียน
..........แต่กว่าจะมารู้ตัวเองเข้าจริงๆก็อีตอนกำลังนั่งโจ้คอมที่ห้องภาคตึกวิดวะเนี่ยแหละ
... และหลังจากนั้นไม่นาน ก็สำเหนียกขึ้นมาว่าพรุ่งนี้ต้องส่ง Lab report แล้วนี่หว่า
เพื่อนผมเคยถามว่า ถ้าเอ็งอยากเป็นนักเขียนจริงๆแล้วเอ็งเจือกมาเรียนวิศวกรทำป๊ะอะไร
ผมเกาหัวแล้วตอบไปอย่างหน้าตายว่า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ
... รู้แต่ว่าเป็นนักเขียนอะ แดกแกลบชัวร์ๆ
..ผมรู้ว่ามีคนอีกหลายคนที่คิดแบบเดียวกับผม
บางที ความฝัน ก็สวนทางกับ สภาวะปากท้อง
อันนี้ผมขอยืนยันเลยว่าจริง
ผมเคยบ้าถึงขนาด หยุดทำงานไปพักหนึ่ง(หรือจะเรียกว่าลาออกก็คงไม่ผิด)
ไปนั่งเขียนหนังสืออย่างเป็นกิจจะลักษณะ
เขียนไปพลาง ลองส่งสำนักพิมพ์ไปพลาง
........ตั้งตารอมานานสองนาน ..... ไม่มีสำนักพิมพ์ไหนตอบกลับมาเลยครับ
(มีตอบกลับเหมือนกัน แต่รีเควสท์ให้เขียนแนวรักกุ๊กกิ๊ก ซึ่งผมไม่ค่อยจะถนัดนัก)
เจอแบบนี้ไป ผมก็ท้อเหมือนกันครับ ...แต่ก็ยังทนเขียนต่อไป
......เขียนไปได้ซักพัก ก็เริ่มดวงตาเห็นธรรม
ค้นพบสัจธรรมข้อหนึ่งว่า
........ความฝันนั้น.... แดรกม่ายล่ายย
แม้กระนั้น... ถึงความฝันจะกินไม่ได้...........แต่ผมก็ทิ้งไม่ลงเหมือนกัน
ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือ ค่อยๆสอดแทรกความฝันไว้ในความจริง
ผมใช้เวลาว่าง ในการทำงาน เอ้ย หลังจากทำงาน .... เขียนอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อย
มีสาระมั่ง ไร้สาระมั่ง
แล้วก็เอาไปโพสท์ในเน็ต
.........ซึ่งก็มีกระแสตอบรับกลับมาพอดู
...ที่ชมก็มี ที่ด่าก็เยอะ
......แต่นั่นก็ทำให้พอจะทำให้ผมตระหนักได้ว่า งานเขียนของผม ยังเป็นที่สนใจของสังคม
(..........แม้จะเป็นกลุ่มน้อยๆ ก็ยังดี)
แค่นี้ผมก็พอใจแล้วสำหรับ ก้าวเล็กๆสู่การเป็นนักเขียน
ฝันทีละน้อย แล้วค่อยๆไล่ตามไป .......ไม่เหนื่อยดีครับ
(อาจจะเหนื่อยหน่อยตอนแรกๆ หลังจากทำงานมาทั้งวัน แทนที่จะได้พัก ต้องมาไล่ล่าความฝันกันอีก .............แต่ทำไปซักพักจะชินเองครับ เพราะหากเราได้ทำอะไรที่ชอบ นั่นมันก็คือการพักผ่อนไปในตัวแหละครับ)
แต่ฝันแบบนี้เค้าห้ามพักนานครับ ....... มันจะขี้เกียจ
.....................................
...............อ้อ พล่ามมาตั้งนานเกือบจะลืมไป
ตอบคำถามข้างบนผมได้ยังครับ??
อ้าว ลืมๆ .......เลื่อนไปดูๆ
....
..........เอ้าให้เวลาคิด
....
..........
.....ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก
......
...............
.................
.................
...ถ้าตอบได้แล้ว ผมขอเปลี่ยนคำถามใหม่ครับ
ณ ตอนนี้ คุณฝันอะไรกันบ้างครับ
จากคุณ :
ซงย้ง
- [
13 ส.ค. 51 12:54:32
]