Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ลุงบุญ...

    ลุงบุญ.....  

    ราส์ส กิโลหก

                                 
    ในยุค พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัน เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย  พ.ศ. 2531 ถึง 2534  ในช่วงนั้น มีการเจริญเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นยุคทองทางเศรษฐกิจ และที่ผมได้สัมผัสตรงๆคือผืนแผ่นดินเกิดการตื่นตัวในการซื้อขายอย่างมากมาย  ที่ดินกลายเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง ราคาที่ดินพุ่งพรวดจนคาดคะเนไม่ได้ ราคาซื้อขายปั่นป่วนเพราะความต้องการของตลาด

                               
    ชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวบ้านเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด  จากดินกลายเป็นดาวแบบไม่น่าเชื่อ

                     
    ประมาณ ปี พ.ศ. 2532....

                                 
    ในช่วงนั้นผมนั่งทำงาน ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานช่าง ประจำสำนักงานที่ดินจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคกลาง ซึ่งจังหวัดนี้คนจะรู้จักในนาม “นมดี กระหรี่ดัง” ถ้าพูดคำนี้ออกไปร้อง อ๋อ ! กันทุกคน

                                 
    ชายคนหนึ่งอายุเกือบ 50 ปี รูปร่างผอมสูงตัวดำเป็นเหนียง แต่งตัวแบบชาวนาทั่วๆไป ในมือถือโฉนดที่ดินแผ่นใหญ่ม้วนกลมๆ มองดูเก่ากระดาษสีเหลืองอ๋อย..

                               
    แกเดินเข้ามาในที่ทำงาน   และหยุดอยู่ด้านหน้าเคาเตอร์ ยืนมองซ้ายมองขวาอย่าง งงๆ เจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ด้านหน้า ร้องถามว่า จะมาทำอะไร ?   แกตอบว่าต้องการมาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องที่ดิน..

                               
    เจ้าหน้าเชิญแกมาที่โต๊ะผม...  

                               
    “  สวัสดี ลุง  ! เชิญนั่งครับ มีอะไรหรือ  ครับ?”  ผมทักกับแก พร้อมเชิญให้นั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน..

                                 
    แกรับไหว้ผม  พร้อมหย่อนตัวนั่งบนเก้า อี้  พอแกพูดออกมา โฮ้โห้ ! กลิ่นเหล้าขาวหึ่ง จนผมแทบจะสำลัก..

                               
    “ผมมาขอถามเกี่ยวกับการรังวัดสอบเขตที่ดินของผมหน่อยครับ ?” แกพยายามยื่นหน้ามาพูดกับผม เหมือนกลัวจะไม่ได้ยินที่แกพูด..

                               
    ผมถอยเก้าอี้ออกมาให้พ้นรัศมีกลิ่นละมุดเน่า “ ถามได้เลยครับ !  ผมรอฟังอยู่ลุง !  ” ผมบอกกับแกแบบแหยงๆกลัวจะเมากลิ่นเหล้าที่ออกจากปากแก..

                               
    ขอสรุปเลยดีกว่า  ลุงบุญแกเป็นเจ้าของโฉนดที่ดินเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ และมีนายทุน สนใจจะซื้อ  แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องให้เจ้าหน้าที่ไปทำการรังวัดสอบเขต ให้เรียบร้อยเสียก่อน  แกจึงมาติดต่อเจ้าหน้าเพื่อยื่นคำร้องให้ออกไปดำเนินการให้ตามระเบียบ.
                               
                               
    ผมถามแกเล่นๆว่า ขายไปไร่เท่าไหร่ ?

                                 
                               
    แกตอบแบบอารมณ์ดี เหมือนโลกใบนี้เป็นของแกคนเดียว “ พวกนายหน้าเสนอมา ไร่ละ 1 ล้านบาทครับ ! รวมทั้งหมด 50 ล้านนิดๆ ”

                     
    ผมดีใจไปกับแกด้วยเงินขนาดนี้ใช้ไปทั้งชาติก็ไม่มีหมด.

                                 
    ลุงบุญ ไปๆมาๆเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการรังวัดสอบเขตโฉนดของแก และทุกครั้งที่มาติดต่อแกจะแวะมาคุยกับผมทุกครั้ง จนคุยกันถูกคอ..

                               
    จนการรังวัดเสร็จสิ้น หลักเขตที่ดินและรูปแผนที่เนื้อที่ จัดการเรียบร้อย ครบถ้วนขบวนการของการรังวัดสอบเขตที่ดิน  ตรงตามความประสงค์ของผู้ซื้อ    ทั้งสองฝ่ายจึงนัดทำการโอนกรรมสิทธิ์ซื้อขายกัน ณ สำนักงานที่ดินจังหวัด
                               
                               
    วันที่โอนซื้อขายที่ดิน ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมาพร้อมกันที่สำนักงานที่ดินจังหวัดฯ ผู้ซื้อเป็นอาเสี่ยมาจากกรุงเทพฯ มาพร้อมทนายความถือกระเป๋าเอกสารเดินตามหลังเสี่ยต้อยๆ  

                               
    ส่วนทางฝ่ายผู้ขายคือลุงบุญก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตา  แต่เห็นแล้วผมตกใจเพราะกองเชียร์มากันเกือบ 20 คนทั้งก่อนหน้านั้นเวลามาติดต่อเกี่ยวกับเรื่องสอบเขตที่ดิน   ลุงบุญจะมาคนเดียวตลอด

                             
     ฝ่ายลุงบุญนั้น นอกจากลูกเมียแล้ว ยังประกอบด้วย นายหน้า,ญาติเก่า,ญาติใหม่,คนอยากเป็นญาติ, เพื่อนบ้านที่รู้ข่าว และเจ้าหน้าที่ของธนาคารที่ลุงบุญติดต่อให้มารับเงินฝาก..และที่สำคัญบุคคลที่ไม่อาจมองข้ามคือเจ้าหนี้ของลุงบุญ มาร่วมด้วยอีกเป็น สิบเหมือนกัน..

                             
    จากชาวนา จนๆมีหนี้สินรอบตัว กลายเป็นเศรษฐีไปในทันที หลังจากการโอนโฉนดที่ดินเรียบร้อย  เงินหลายสิบล้านเข้ามาอยู่ในมือเหมือนฝัน..

                             
    ทั้งที่  ที่ดินแปลงนี้เมื่อก่อนไร่ละ ไม่ถึงแสน  ไปเคี่ยวเข็ญขายกับใครก็ไม่มีใครซื้อเพราะไม่รู้จะซื้อไปทำไม ?  พอถึงยุคนายกฯชาติชายเป็นยุคฟองสบู่เฟื่องฟู   มีโรงงานต่างๆเกิดขึ้นมากมาย  นายทุนต่างชาติขนเงินมาลงทุนในประเทศจำนวนมาก  ความต้องการซื้อที่ดินเพื่อทำโรงงานก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ชาวบ้านที่มีที่ดินทำเลดี ขายที่ดินร่ำรวยกันจน กลายเป็นเศรษฐีใหม่ ในพริบตา..

                           
    ที่ดินของลุงบุญถูกซื้อเอาไปเพื่อก่อสร้างโรงงาน เป็นโรงงานเกี่ยวกับอาหารสัตว์ ผมเคยผ่านไปแถวๆนั้นหลังจากลุงบุญโอนขายไปไม่นาน   ก็เห็นโรงงานกำลังก่อสร้าง   จากที่ดินทำนาแท้ๆ กลายเป็นชุมนุมชนขึ้นมา เป็นโรงงานขนาดใหญ่พอสมควร  ได้ข้อมูลว่าจะจ้างแรงงานหลายร้อยคนที่เดียว..

                 
    จนวันหนึ่ง ลุงบุญแวะมาหาผมที่ทำงาน คนเราพอมีเงินราศีก็จับจนไม่เหลือเค้าลุงบุญคนเดิม กลายเป็นเสี่ยบุญ ผมหวีเรียบแป้ เครื่องแต่งกายยี่ห้อดีราคาแพง โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์ประจำตัว นาฬิกาเรือนทองใหม่เอี่ยม สายสร้อยทองหนักเป็นสิบบาทดูเหมือน โซ่ มากกว่าเป็นสร้อยสรวมคอ.

                         
    แกหิ้วเหล้าแบล๊คเลเบิ้ล ขนาด 1 ลิตรเอาติดมือมาฝาก  นั่งคุยกันได้ความว่าแกเอาเงินไปลงทุนวิ่งรถสิบล้อที่ใช้สำหรับขนส่งดิน หิน และลูกรัง.ซึ่งในขณะนั้นธุรกิจแบบนี้กำลังบูมสุดๆ  ตามประสาคนมีเงินนับสิบล้านแกออกรถสิบล้อทีเดียว 10 คัน ทั้งๆที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจด้านนี้ น่าจะประเภทเห็นช้างขี้ก็ขี้ตามช้าง.

                       
     ผมก็ฟังแกเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ ซื้อนั่นซื้อนี่ โดยเฉพาะซื้อบ้านราคาหลายล้านบาทให้ลูกชายมั่ง ลูกสาวมั่ง ยังอดคิดในใจว่าทำไมไม่ไปหาซื้อที่ดินเปล่าๆไว้บ้าง  แต่ไม่กล้าแนะนำมากเดี๋ยวเกิดแกไม่พอใจเอาเหล้ากลับคืน..

                     
    ลักษณะแบบนี้ไม่ใช่มีแต่ลุงบุญคนเดียว  เจ้าของที่ดินรายอื่นๆถ้าเห็นว่าที่ดินมีราคาก็จะขายกันหมด  บางหมู่บ้าน ขายที่ดินกับแทบหมดหมู่บ้าน ร้านค้าทองในตลาดขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะพวกเศรษฐีใหม่ชอบใส่ทองอวดกัน  

                     
    ที่ยอดนิยมสุดๆอีกอย่างคือรถสิบล้อ บ้านไหนพอขายที่ดินได้มีเงินจะไปออกรถสิบล้อทันที  ชาวบ้านทุกคนมีความคิดว่า  ถ้าใครมีรถสิบล้อจะหาเงินได้ง่าย  เนื่องจากงานถมดินเป็นธุรกิจที่เฟื่องมากๆ ในยุคนั้นโรงงานเกิดขึ้นใหม่เหมือนดอกเห็ด  งานถมดินจึงมีไม่ขาดสาย  ได้เงินง่ายได้เงินเร็ว เศรษฐีใหม่จึงนิยมกัน   อ้อ ! แล้วเป็นการอวดศักดากัน ถ้าบ้านไหนไม่มีรถสิบล้อถือว่ายังไม่มีระดับ..คิดกันไป ด๊ายๆๆๆ..!!!.


               
    ต่อมาผมถูกย้ายไปรับราชการที่จังหวัดอื่น นานเกือบ 10 ปีจึงได้ย้ายกลับมาที่จังหวัดเดิมที่เคยอยู่  วันหนึ่งเจ้านายให้ไปพบผู้จัดการโรงงานอาหารสัตว์แห่งหนึ่ง เพื่อติดต่อเกี่ยวกับการบริจาคสิ่งของในงานวันปีใหม่ของจังหวัด

                     
    คนขับรถพาไปที่โรงงานเป้าหมาย ปรากฏเป็นโรงงานที่ซื้อที่ดินจากลุงบุญไปนั่นเอง  ผมจำได้เพราะก่อนโรงงานสร้างเสร็จ ผมผ่านไปบ่อยๆ

                     
    รถเลี้ยวเพื่อเข้าสู่ตัวโรงงาน ด้านหน้ามีป้อมยามและไม้กั้นรถเข้าออก  ยามหรือ ร.ป.ภ. วิ่งออกมาจากป้อม เดินเข้ามาตะเบ๊ะ...ด้านที่ผมนั่งอยู่  ผมไขกระจกลง   ยามถามผมว่าจะเข้าไปพบใคร.?.

               
    ผมบอกว่าจะมาพบผู้จัดการ ได้โทรนัดกันล่วงหน้าแล้ว ...

                     
    ยามไปยอมเดินไปไหน แกก้มจ้องหน้าผมเขม็ง ! “ใช่...คุณ........หรือเปล่าครับ ? ” น้ำเสียงแกพูดอย่างดีใจสุดๆๆ

               
    แกถอดหมวกออก และยกมือไหว้ผม..  

               
    “ลุงบุญ !”  ผมร้องเสียงดัง  ลุงบุญ จริงๆ ด้วย เป็นยังไง ? มายังไง ? กันนี่..!!..

             
                   
    หลังจากเสร็จธุระกับผู้จัดการโรงงาน  ตอนที่จะกลับออกจากโรงงาน ลุงบุญมาดักรอผมที่หน้าโรงงาน แกบอกว่าออกเวรแล้วอยากคุยกับผมหน่อย เราจึงไปหาที่นั่งคุยกันที่ร้านอาหารหน้าโรงงาน

                 
    ก็ตาม ทำ –มะ –เนียม  นอกจากอาหารแล้วก็เบียร์เย็นๆตามมา..

               
     สภาพลุงบุญ  แปรสภาพจากเสี่ยบุญที่ผมเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อเกือบ 10 ปีอย่างสิ้นเชิง..กลายเป็นลุงบุญที่ผมเห็นครั้งแรก คือผอมดำแต่ที่เพิ่มขึ้นมาคือความแก่ชรา หน้าตายับย่นจนแก่เกินอายุ ที่ เกือบ 60 ปี แต่มันเหมือนอายุซัก เกือบ 80 มั๊ง !

             
    แกเล่าว่าช่วงที่มีเงินฮึกเหิมมาก  เพราะเงินได้มาง่ายๆจึงไม่ค่อยรู้คุณค่าของเงิน ใครชวนทำอะไรก็เอาด้วย ใครชวนซื้ออะไรก็ซื้อ เพราะมีแต่คนยกย่องเยินยอ จนหลงตัวเอง ใครๆก็เรียกเสี่ยบุญ จนตัวลอย..

           
    รถสิบล้อที่ซื้อด้วยเงินสดที่เดียว 10 คัน เอาไปวิ่งบรรทุกดินเห็นว่าได้เงินดี จึงเอาเงินไปดาวน์ออกมาอีก 20 คัน กะว่าจะไปรับงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ เป็นงานถมทรายสร้างสนามบิน ..

           
    ลูกเมียไม่ยอมทำงานใช้แต่เงิน เดี๋ยวซื้อรถ เดี๋ยวซื้อบ้าน ทองหยองซื้อใส่กันเต็มตัว ที่สำคัญเล่นการพนันกัน เล่นหวยกันตัวหนักๆ ..และที่มารบกวนประจำคือพวกมาขอกู้เงิน..ขัดก็ไม่ได้ญาติตัวเองบ้าง ญาติเมียบ้าง มั่วไปหมด..

         
    พอฟองสบู่แตก เศรษฐกิจ ตกต่ำ บริษัทที่จ้างไปถมดินล้มละลาย   เงินหลายล้านเก็บไม่ได้ไม่รู้จะไปเก็บกับใคร ? หนี้สินถูกเบี้ยวหมด ตอนนั้นแกบอกว่าถ้าทำใจไม่ได้ก็ต้องตามฆ่าลูกหนี้เป็นแน่..!!

         
    เพราะไม่ทำงานกันไม่มีรายได้มาจับจ่าย    รถสิบล้อที่ซื้อมาทีหลังไม่มีเงินส่งค่างวดก็ถูกยึดไป บ้านหลังใหญ่และสิบล้อที่ซื้อด้วยเงินสด ก็ทยอยขาย จนไม่นานก็เกลี้ยงเหลือแต่ตัว..ที่ดินซักกระแบะมือก็ไม่มี..

       
    “ลูกเมียไปไหนหมดล่ะ ลุง ?” ผมอดถามถึงครอบครัวแกไม่ได้..

       
    แกคว้าแก้วเบียร์ ยกขึ้นซดที่เดียวหมดแก้ว ก่อนตอบแบบเซ็งๆๆ

     
    “เมียผมตายไปหลายปีแล้ว มันตรอมใจ ส่วนลูกไม่ต้องพูดถึง มันขายบ้านหนีไปหมดแล้ว ครับ ตอนนี้ผมอยู่คนเดียวไม่มีใคร  !”

     
    “ลุงมาทำงานอยู่นี่ได้ไง ?”

      “ ผมไม่มีทางไป ก็บากหน้าไปหาผู้จัดการขอทำงานเลี้ยงตัวกันตาย  แกจำได้ว่าผมเป็นเจ้าของที่ตั้งเดิม จึงเมตตาให้มาทำงานเป็น ยามนี่แหละ ” ดวงตาแกแดงก่ำแต่ไม่มีน้ำตาออกมา..

     เราคุยกันจนเกือบมืด ผมเกรงใจคนขับรถ จึงขอลาแกกลับ ถามแกว่าบ้านอยู่ไหนจะขับรถไปส่ง..

    “ บ้านผมอยู่นี่ ไง?”

    แกพูดด้วยความเมาแล้วชี้มือไปที่โรงงานฯ

    “กระต๊อบผมตั้งอยู่หลังโรงงาน ผมกินอยู่ที่นี่แหละ !  ที่ดินของผมไง !!”  

    แกเดินเซๆจากผม ไปยังโรงงานเพื่อกลับ ที่พัก...อ้อ ! ที่ดินของแก...

    ลุงบุญ   เสี่ยบุญ    กลายเป็น อ้ายบุญของคนหลายคน....//

     
     

    จากคุณ : สวนดอก - [ 15 ส.ค. 51 12:02:51 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom