บทที่ 1-3 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6833585/W6833585.html
บทที่ 4-6 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6837939/W6837939.html
บทที่ 7 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6847435/W6847435.html
บทที่ 8 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6879659/W6879659.html
เชิงอรรถท้ายเล่ม http://my.dek-d.com//story/viewlongc.php?id=423352&chapter=12
บทที่ 9 (ครึ่งแรก)
เมื่อได้ทราบแล้วว่าเหอเสียปลอดภัยดี พิงถิงก็คิดที่จะจากไป
ความจริง...นางควรจะจากไปเสียนานแล้ว การจะไปจากวังแม่ทัพใหญ่ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก เพราะหญิงสาวเคยลองขออนุญาตฉูเป่ยเจี๋ยออกไปเดินเล่นมาก่อน โดยในสองครั้งแรกที่ออกไป ข้างหลังจะมีคนลอบสะกดรอยตามอยู่แต่ไกล แต่ 1-2 ครั้งล่าสุดนี้ ฉูเป่ยเจี๋ยได้ปล่อยให้นางออกจากวังไปอย่างวางใจโดยไม่ส่งคนสะกดรอยตามอีก
นางไม่มีค่าเดินทาง แต่กำไลที่ฉูเป่ยเจี๋ยมอบให้ 2-3 วงนั้นก็พอให้ใช้จ่ายได้แล้ว
ส่วนเรื่องเส้นทาง...ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
หญิงสาวคิดเตรียมการทั้งหมดเอาไว้แล้วอย่างรอบคอบ แต่กลับตัดสินใจไม่ได้เสียที
เดือนสิบ...ย่างเข้าปลายสารท ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองมากขึ้นทุกวัน...อีกไม่นานก็จะพลิ้วร่วงหวนกลับลงสู่พื้นเคียงคู่ราก
เมื่อต้องจาก นางกลับไม่อาจตัดใจ
ฉูเป่ยเจี๋ยเคยชินกับการสั่งให้นางดีดพิณขับร้องให้ฟังทุกวัน ทุกครั้งชายหนุ่มจะหลับตาลงนิ่งฟังเงียบๆ มือปรบเข้าหากันโดยไร้เสียง ใบหน้าเผยรอยยิ้มรื่นรมย์
รอยยิ้มนั้นได้ประทับลงในห้วงสมองของพิงถิง...คือรอยยิ้มอันหวานล้ำ
หญิงสาวเองก็เคยชินกับการดีดพิณขับร้องให้ชายหนุ่มฟังเช่นกัน วันใดที่ฉูเป่ยเจี๋ยไม่เรียกให้นางดีดพิณ นางก็จะทราบทันทีว่าต้องเกิดเรื่องใดขึ้นสักเรื่อง หากไม่ใช่เพราะในวังหลวงเกิดเรื่องทะเลาะเบาะแว้งที่ทำให้หงุดหงิด ก็เป็นแม่ทัพเฝ้าด่านชายแดนกระทำเรื่องใดที่ไม่สมควรอีกแล้ว
แน่นอนว่ามีบางครั้งเหมือนกันที่เป็นเพราะเหตุผลอื่น...ดังเช่นเมื่อวานซืน ฉูเป่ยเจี๋ยก็ไม่อนุญาตให้นางดีดพิณ
เมื่อคืนเจ้าไออีกแล้วสินะ ? ไม่ต้องมาปิดบัง วังก็ใหญ่แค่นี้ เรื่องที่เกิดขึ้นในวังมีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ? แล้วใช่ว่าไม่มีปัญญาเชิญหมอมาตรวจสักหน่อย เจ้าจะปิดบังข้าไปทำไม ? สีหน้าของชายหนุ่มเย็นชาตลอดเวลาที่กล่าวตำหนิหญิงสาว
พิงถิงไม่ได้ทราบว่าหลังอาหารเย็น ฉู่ม่อหรานเองก็ถูกตำหนิไปหนึ่งยกเช่นกัน และปฏิกิริยาของฉู่ม่อหรานรุนแรงยิ่งกว่าพิงถิงมากนัก นั่นคือรีบย้ายให้นางไปอยู่ห้องชั้นดีที่สุดในคืนนั้นทันทีพร้อมประเคนผ้าห่มไหมและหมอนใหม่เอี่ยม นอกจากนี้ยังไปลากหมอเฉินกวนจื่อมาตรวจชีพจรกันเหนียวอีกด้วย
มีอะไรดีกัน ? หญิงสาวเอนกายพิงหน้าต่าง เหม่อมองใบไม้สีเหลืองพลิ้วปลิวในสายลมอย่างใจลอย เดิมทีก็เป็นศัตรูกันอยู่แล้ว นี่ยังชอบมารังแกกัน แล้วยังชอบแกล้งเอาเปรียบ คุยเป็นนานสองนานไม่ยอมพูดดีด้วยสักคำ เดี๋ยวก็แกล้งทำสุภาพเป็นวิญญูชน เดี๋ยวก็มาวางมาดองค์ชายใส่ นางถอนหายใจ ช่างเป็นคนที่จับทางไม่ได้เลยจริงๆ ใครอยู่ด้วยมีแต่จะขาดทุนทั้งนั้น
ระหว่างที่เหม่อลอย สาวใช้ก็ได้เข้ามาเชิญนางไปรับประทานอาหารเป็นเพื่อนฉูเป่ยเจี๋ย
ครั้นพิงถิงเข้าไปในห้อง ฉูเป่ยเจี๋ยก็เอ่ยว่า
อาหารของวันนี้ เจ้าต้องชอบทานแน่
จริงเสียด้วย อาหารของวันนี้มีแต่อาหารกุยเล่อขนานแท้ทั้งสิ้น ในจำนวนนี้จานมะเขือนึ่งกับจานเจี้ยงปาเป่า(๑)ดูยั่วยวนให้ลิ้มลองมากที่สุด
ระยะนี้เจ้าไม่ค่อยทานอะไรนัก วันนี้ต้องทานให้มากๆ หน่อยละ ข้าเชิญพ่อครัวชาวกุยเล่อมาทำให้เป็นพิเศษเชียวนะ ฉูเป่ยเจี๋ยคีบกับข้าวให้หญิงสาวไม่หยุดมืออย่างอารมณ์ดี
พิงถิงลองชิมไปหนึ่งคำ เสพสุขกับกลิ่นหอมละมุนของมะเขือที่อบอวลอยู่ภายในปาก จากนั้นค่อยลองชิมเจี้ยงปาเป่า แล้วยิ้มออกมาบางๆ
เอ่ยถึงเรื่องทานอาหาร ฝ่าบาทสู้หม่อมฉันไม่ได้หรอกเพคะ พ่อครัวชาวกุยเล่อที่ฝ่าบาทเชิญมาฝีมือไม่ได้แท้ อาหารที่ทำก็ไม่ใช่อาหารกุยเล่อทั้งหมด อย่างเช่นเจี้ยงปาเป่านี่ เป็นอาหารชื่อดังของแคว้นเป่ยม่อ(๒)แท้ๆ เหตุใดจึงมาปะปนอยู่ในนี้ด้วยได้เล่า ?
ชายหนุ่มทำท่าว่าเพิ่งจะเข้าใจ
อย่างนี้นี่เอง งั้นข้าจะเปลี่ยนพ่อครัว แล้วครั้งหน้าจะให้คนใหม่ทำปาเป่าช่าย(๓)ของกุยเล่อ
แต่พิงถิงกลับส่ายหน้าอีกครั้ง ชี้ไปที่เจี้ยงปาเป่าแล้วพูดว่า
หม่อมฉันชอบทานเจ้านี่มากที่สุดเพคะ ฝ่าบาทไม่ทราบหรอกว่าหม่อมฉันเป็นชาวเป่ยม่อ
อ้อ ?
เพคะ เพียงแต่ถูกขายมาที่กุยเล่อตั้งแต่ยังเล็กเท่านั้น หม่อมฉันชอบทานเจี้ยงปาเป่ามาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว หญิงสาวคีบเจี้ยงปาเป่าไปวางในถ้วยให้ชายหนุ่ม ฝ่าบาทลองชิมดูสิเพคะ
ใต้แสงเทียนขับเน้น สีสันบนสองแก้มนวลได้เข้มขึ้น ฉูเป่ยเจี๋ยฟังหญิงสาวเอ่ยอย่างอ่อนหวานด้วยใบหน้ายิ้มละไม ก็อดใจไว้ไม่อยู่เอนกายเข้าไปใกล้
ข้าอยากชิมเจ้า
หัวใจพิงถิงกระตุกวูบ
เรือนกายบุรุษเพศคุกคามเข้ามาใกล้ทีละน้อย เอวบางถูกชายหนุ่มโอบเอาไว้อย่างถือสิทธิ์อีกครั้งจนไม่อาจหลบเลี่ยงไปไหนได้ หญิงสาวเมินหน้าหนีด้วยความอุธัจ ผลคือกลายเป็นการส่งใบหูสู่ ปากพยัคฆ์ โดยไม่รู้ตัว
อุ๊ย ! ใบหูเจ็บแปลบจนเผลอร้องอุทาน ตะเกียบในมือร่วงตกลงสู่พื้น ฝ่าบาท......อย่า......
อย่าอะไร ? ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ อย่างเจ้าเล่ห์ เม้มอมติ่งหูได้รูปแล้วละเลียดเลียอย่างอ้อยอิ่ง ข้าหมายตาเจ้าไว้แต่แรกแล้ว ถึงเจ้าคิดจะหนีก็หนีไม่พ้น วันหน้าเวลาไปรบ ข้าจะพาเจ้าไปด้วย
ริมฝีปากถูกจุมพิตอย่างดุดัน ดวงตาตื่นตระหนกของหญิงสาวประดุจสายชนวน จุดไฟอารมณ์ให้ลุกฮือโหมเป็นทะเลเพลิง
ข้าจะแต่งงานกับเจ้า ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเข้มเมื่อปล่อยหญิงสาวให้มีโอกาสได้สูดหายใจเล็กน้อย
ฝ่าบาท ? พิงถิงมองดวงหน้างามสง่าคมคายอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง แล้วขมวดคิ้วอย่างหนักใจ
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วเกินไปเสียแล้ว ทั้งยังไม่เข้ากับแผนการของนางสักนิด หรือการจงใจวางตัวกึ่งใกล้ชิดกึ่งเว้นห่างของนางไม่สำเร็จ ?
นางคือหยางเฟิ่ง...หญิงดีดพิณของกุยเล่อ...เป็นสาวใช้ที่หนีมาคนหนึ่ง
ส่วนเขา...เจิ้นเป่ยหวางผู้ทรงศักดิ์...บอกว่าจะแต่งงานกับนาง
สีหน้าฉูเป่ยเจี๋ยเปลี่ยนเป็นเครียดขรึม
ไม่ยินยอมหรือ ?
พิงถิงเบิกตากว้าง ชายหนุ่มอยู่ใกล้เกินไป เรือนกายที่โอบนางเอาไว้ร้อนผ่าวเกินไป ตัวเขาในยามนี้งามสง่าเกินไป ทุกความเคลื่อนไหวของชายหนุ่มล้วนเปี่ยมมนตร์เสน่ห์อันยากจะต้านทานอย่างประหลาด
ไหวพริบที่นางเคยภูมิใจเสมอมาบัดนี้ได้หนีหายจากไปจนไร้ร่องรอยเสียแล้ว
แต่งงานกับข้า
เพราะเหตุใดเพคะ ?
เจ้าเชี่ยวชาญพิณ เก่งขับร้อง มากปัญญา ถนัดเย็บปัก ใบหน้างามสง่าคมคายประดับรอยยิ้มของชายหนุ่มส่งผลรุนแรงไม่ผิดอะไรกับยาพิษ เทียบกับสตรีเหล่านั้นแล้ว ข้ายินดีแต่งงานกับเจ้า
หม่อมฉัน......
เรามาสาบานต่อจันทรา...จะไม่ทรยศกันชั่วนิรันดร์
หญิงสาวถูกพันธนาการเอาไว้ในอ้อมแขนแข็งแรงอย่างไม่อาจขัดขืน น้ำเสียงนุ่มนวลดุจสายน้ำซึมซาบเข้ามาในปากจมูกจนนางแทบจะทรงตัวไม่อยู่ แทบจะหลอมละลายในอุ้งมือของชายหนุ่ม
จะไม่ทรยศกันชั่วนิรันดร์......? แต่ละพยางค์หลุดพ้นริมฝีปากของนางออกมาอย่างแจ่มชัด
ชายหนุ่มรัดร่างบางแน่นกว่าเดิม กลิ่นอายบุรุษเพศแผ่ปกคลุมทั่วทั้งร่างหญิงสาว ขณะที่ริมฝีปากละเลียดขบเม้มลำคอขาวผ่อง
ถูกแล้ว นับแต่วันนี้ไป เจ้าคือพระชายาของข้า และข้า...คือสามีของเจ้า
เจิ้นเป่ยหวางโหมกระหน่ำรุกไล่อย่างดุเดือดเหมือนเช่นยามอยู่ในสนามรบจนนางต้องพ่ายแพ้ถอยร่นก้าวแล้วก้าวเล่าอย่างตั้งตัวไม่ติด
ไม่ได้เพคะ...... หญิงสาวพยายามคัดค้านเสียงแผ่วหวิว
เพราะเหตุใด ?
หม่อมฉันเป็น......เป็นหญิงดีดพิณ
ข้าชอบพิณของเจ้า
หม่อมฉันไม่คู่ควรกับฝ่าบาท
ข้าคู่ควรกับเจ้า
หญิงสาวยังคงส่ายศีรษะอย่างร้อนรน กัดริมฝีปากกล่าวว่า
หม่อมฉัน......หม่อมฉันไม่งดงามพอ
ฉูเป่ยเจี๋ยจ้องมองนางแน่วนิ่ง แล้วคลี่ยิ้ม
ให้ข้าดูคนเดียว...ก็พอแล้ว
พิงถิงนิ่งเงียบงัน นัยน์ตาโศกเศร้าไหววูบ ความเจ็บปวดรวดร้าวค่อยๆ แผ่ซ่านขึ้นในใจ
จะไปแล้ว...พรุ่งนี้ก็จะจากไปแล้ว ที่นี่ไม่ใช่กุยเล่อ ที่นี่คือตงหลิน และกองทัพหมื่นม้าของชายหนุ่มตรงหน้าได้เหยียบย่ำทำลายดินแดนที่นางเติบโตมา เขาจ้องมองกุยเล่ออย่างกระเหี้ยนกระหือรือ ทั้งยังดำเนินแผนยุยงให้ต้าหวางทำลายวังจิ้งอานหวาง
แต่อ้อมกอดของฉูเป่ยเจี๋ยช่างอบอุ่นถึงเพียงนี้ อบอุ่นเสียจนนางตัดใจไม่ลง อบอุ่นเสียจนนางไม่อาจตัดใจผลักไสได้ และภายใต้สายตาจ้องมองมาอย่างลึกซึ้งของชายหนุ่ม นางไม่อาจตัดใจที่จะเอ่ยคำว่า ไม่ เช่นกัน
หัวใจของหญิงสาวแปรจากเต้นระทึกสับสนเป็นค่อยๆ สงบลง แต่สติมิได้หวนคืนมา และสิ่งที่นางคิดกลับยิ่งเสียสติกว่าเดิม
ในเมื่อจะไป...ในเมื่อจะจาก...แล้วจะให้พอปล่อยมือก็ไม่หันหน้ากลับมาอีกได้อย่างไร
ไม่อาจทำใจ...คำนี้กระโดดจากส่วนลึกของหัวใจปรากฏขึ้นตรงหน้าในบัดดล
_________________________________
๑. เจี้ยงปาเป่า (jiangbabao : ซอสแปดวิเศษ) คือ ผัดผักล้วนๆ หลายอย่างกับซอสหมัก (ซีอิ้วชนิดหนึ่ง) ผักที่ใช้เป็นเครื่องปรุงมี 7 อย่าง ได้แก่ แตงกวา ดอกกะหล่ำ หัวไชเท้า หน่อไม้ กะหล่ำปม ถั่วแขก และผักหลัวซือ ถือเป็นอาหารลดความอ้วนอย่างหนึ่ง
๒. แคว้นเป่ยม่อ (Beimoguo : เป่ยม่อกั๋ว) แปลว่า แคว้นทะเลทรายทางเหนือ
๓. ปาเป่าช่าย (babaocai) ผัดผักรวมมิตร มีทั้งผักและเนื้อผัดรวมกันด้วยซีอิ้ว เนื้อจะใช้เนื้อกุ้งหรือหมูเนื้อแดง ส่วนผักที่ใส่ก็เช่น กะหล่ำปม หัวไชเท้า เห็ดหอม ผักกาดขาว ดอกกะหล่ำ หน่อไม้ ถั่วแขก เป็นต้น
จากคุณ :
Linmou
- [
18 ส.ค. 51 05:59:50
]