หลังจากผลประกาศรางวัลซีไรท์ปีล่าสุดผ่านมาหลายเดือน ก็ปรากฏข่าวครึกโครมทางหน้าหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับเมื่อเจ้าของรางวัลซีไรท์ปีล่าสุด ป. เพชรน้ำเอก ได้ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนเกี่ยวกับแวดวงวรรณกรรมไทยพร้อมกับตำหนินักเขียน ‘รุ่นพี่’ ที่มีรางวัลต่าง ๆ ประดับชื่อเสียงหลายคนว่ากำลัง ‘กีดกัน’ นักเขียนฝึกหัดไม่ให้ได้ผุดได้เกิดขึ้นมาบนพื้นที่บรรณพิภพแห่งนี้

“คุณก็ดูสิ เมืองไทยเรามีนักเขียนขึ้นชื่อมากมาย แต่น้อยคนนักที่จะสละเวลาส่วนตัวมาถ่ายทอดแนวคิดการเขียนและให้คำแนะนำกับพวกที่กำลังฝึกหัดเขียนอยู่ ที่ผมรู้ก็มีอยู่แค่ ชาติ กอบจิตติ เจ้าของรางวัลซีไรท์สองสมัยนั่นเองที่ยอมเปิดบ้านอบรมผู้รักการขีดเขียนทั้งหลายอย่างหมดเปลือก”

ป. เพชรน้ำเอกกำลังยืนให้สัมภาษณ์พวกนักข่าวที่เอาไมค์จ่อปากเขาอย่างมีอารมณ์หน้าสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง แล้วพ่นระรัวลิ้นต่อว่า

“ไอ้พวกฝึกเขียนทั้งหลายก็ย่อมต้องการมีที่ปรึกษา มีครูให้คำแนะนำ จะได้เกิดกำลังใจสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมา แล้วก้าวต่อไปบนหนทางอักษร แต่นี่แน่ะพวกคุณ มีไหมที่จะหานักเขียนมีชื่อสักคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นผลงานของพวกฝึกหัดที่มีอยู่ดาษดื่นบนโลกอินเตอร์เน็ต” เจ้าของรางวัลซีไรท์ปีล่าสุดกวาดมองพวกที่กำลังยืนสัมภาษณ์เพื่อขอความคิดเห็น แต่นักข่าวพวกนั้นกลับทำหน้ากระป๋อหลอจนด้วยคำตอบ

“ผมไม่อยากกล่าวตำหนิพวกนักเขียนมีชื่อเหล่านั้นหรอกน่ะ เพียงแค่ขอความเห็นใจพวกเขาให้หันมามองพวกที่กำลังคลำหาทางเดินบนเส้นทางวรรณกรรมสักหน่อย อย่าปล่อยให้พวกเขาเดินเดียวดาย หลงอยู่บนเส้นทางนี้เลย เพราะ ‘จุดสูงสุดของศิลปินก็คือต้องการให้คนอื่นมารับรู้งานของเขา’* แล้ววันหนึ่งบ้านเราก็จะถึงยุควรรณกรรมเฟื่องฟูอีกครั้ง”

กล่าวจบก็มีนักข่าวหัวเห็ดคนหนึ่งโพล่งถามขึ้นมาว่า

“จริงไหมครับที่ซุบซิบกันอยู่ตอนนี้ว่าผลงานรวมเรื่องสั้นของคุณ ป. เพชรน้ำเอก ที่กำลังฮิตติดตลาดอยู่ตอนนี้ เป็นเรื่องสั้น ‘ในตะกร้า’ ซึ่งเคยถูกสำนักพิมพ์หลายที่ปฏิเสธตีพิมพ์มาแล้ว”

คนยืนให้สัมภาษณ์นิ่งอึ้งไปชั่วขณะแล้วเอ่ยว่า

“จริงครับ เรื่องสั้นพวกนี้ผมโยนทิ้งลงตะกร้าไปหลายปีแล้ว ครั้งหนึ่งพวกมันมีค่าเป็นเพียงบทบันทึกแห่งความล้มเหลวของชีวิตการเขียนของผมเท่านั้น ไม่มีใครสนใจที่จะอ่านเรื่องสั้นเหล่านี้หรอก แม้แต่ยอดชีวิตที่แสนบริสุทธิ์ของผม แต่ตอนนี้ใคร ๆ ก็พากันควักเงินเพื่อจะแลกซื้ออ่านพวกมัน”

กล่าวจบเจ้าของเรื่องสั้นที่กำลังขายดีอันดับหนึ่งอยู่ในเมืองไทยตอนนี้ก็ยิ้มขื่น ๆ ออกมา

“ลงถ้าผมไม่ได้รางวัลซีไรท์ปีนี้ เรื่องสั้นพวกนี้ก็คงต้องนอนแช่อยู่ในตะกร้าตลอดไป”
-----------------------------------------------------------------------------
* คำกล่าวของตัวเอกในหนังเรื่อง “King of Comedy” ของมาร์ติน สกอร์สเซซี