ซวยแล้ว...ผมบ่นในใจ หลังจากที่ได้รับจดหมายจากบริษัทไฟแนนท์แห่งหนึ่ง
และได้แกะอ่าน เนื้อหาประมาณว่าผมเป็นบุคคลค้ำคนที่ 1 กำลังจะถูกฟ้องคดี
เช่าซื้อรถ สปอร์ตไรเดอร์ เป็นเงินจำนวน 458,700 บาท
พระเจ้า เงินขนาดนั้นผมจะหามาจากไหน ในขณะที่ผมตกงานอยู่เช่นนี้
หรือถึงแม้ว่าผมจะทำงาน ก็คงไม่มีปัญหาหาจ่ายได้ นอกจากขายวิญญาณให้ซาตานเท่านั้น...
ผมกดเบอร์โทรศัพท์ไปหา เจ้าของรถที่ผมค้ำให้
แน่นอนครับ ผลเป็นไปตามคาด ผมไม่สามารถติดต่อคนนั้นได้เลยทั้ง สองเบอร์
ที่ผมค้นหามาได้ แล้วผมจะทำอย่างไรดี
ความจริงแล้ว การค้ำประกันของผมครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก
ครั้งนี้เป็นครั้งที่ สามแล้ว และในสองครั้งแรกต่างล้วนก็มีปัญหาทั้งสิ้น
แต่ก็แก้ไขและลุล่วงไปได้ด้วยดี แม้ว่าจะมีปัญหาทั้งสองรายก็ตาม
รายแรกแค่ยึดรถมอร์ไซด์ ส่วนต่างแค่หมื่นกว่า รายที่สอง ยึดรถ และฟ้องเอาส่วนต่าง
แสนกว่า ผมต่อรองเหลือสี่หมื่น และกู้เงินธนาคารมาจ่าย โดยให้ลูกหนี้ที่แท้จริง
เป็นคนผ่อนแทน โดยใช้เครดิตผม เพราะความที่คนที่ผมค้ำให้เป็นคนที่มี
หลักแหล่ง และผมสามารถติดต่อเค้าได้ทันทีทุกเมื่อ ทุกเวลา แต่กับรายนี้
ยาก บ้านมันก็อยู่ต่างจังหวัด แต่ผมอยู่แค่ปทุม เข้าใจอนาคตได้เลยว่า ไฟแนนท์ที่ว่าต้องตามฟ้องผมอย่างง่ายดายแน่เลย ผมรู้สึกปวดหัว
ตึบขึ้นมาทันที
มองย้อนกลับไปกว่าจะแก้ไขปัญหาทั้งสองรายแรกได้ก็ทำเอาแม่โกรธ
ผมไปร่วมเดือนทีเดียว แต่รายนี้หนักหนาจริง ๆ
เพราะผมรู้สึกมืดแปดด้านในการติดตามตัว...เพราะผมไม่รู้อะไรเลย
ในรายละเอียดลึกๆ และนิสัยที่แท้จริง เข้าใจเอาเองว่า
เค้าคงไม่โกงหรอกมั้ง...
และแล้ว วันนั้นก็มาถึง...วันที่ผมต้องเผชิญกับกรรมที่ผม
ไม่ได้เป็นคนก่อโดยตรง เพราะความใจง่ายแท้ๆ ผมไม่มั่นใจเลย
ว่า ครั้งนี้ผมจะผ่านมันไปได้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาหรือเปล่า
เพราะครั้งนี้ไม่มีตัวช่วยอะไรเลย รู้แต่เพียงว่าชื่อ โชติกา บำรุงโลก
อย่างอื่นมืดแปดด้านจริง ๆ
พรุ่งนี้เช้า ผมคงต้องลองโทรติดต่อไปหาไฟแนนท์เพื่อขอข้อมูล
เกี่ยวกับรายละเอียดต่าง ๆ เพิ่มเติม ผมคงต้องลองติดต่อไปที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
หรือแม้แต่ วัด หรือโรงเรียนที่ลูกหนี้รายนี้เรียนหนังสืออยู่ พรุ่งนี้ผมต้องได้คุยกับมัน
ให้ได้ เช็ค สมุดหน้าเหลืองปรากฎว่า พบชื่อ บุญเกื้อ บำรุงโลก
ไม่แน่ใจว่า เป็นญาติฝ่ายไหนหรือเปล่า พรุ่งนี้ รู้คำตอบ เบอร์ 044 272***
044 270*** มีสองเบอร์ ไม่รู้ว่า เป็นเบอร์ที่น่าจะมีเงื่อนงำอะไร
บางอย่าง เพื่อจะไปถึงตัวลูกหนี้ได้ ต้องลอง
และพรุ่งนี้ผมต้องทำงานอย่างจริง ๆ จัง ๆ เสียที เพื่อหาเงินมาใช้หนี้
ในส่วนที่ตัวเองได้ก่อไว้
ผมเป็นหนี้ทั้งหมดตอนนี้ราว ๆ สามแสนบาท
ถ้าทำงานดี ๆ ก็น่าจะใช้หนี้หมด ต้องมีเป้าหมายในชีวิตบ้างแล้วล่ะ
ทั้งการงาน การเรียน แล้วก็ครอบครัว ผมต้องทำให้ได้
ตอนนี้ก็ทำงานอดิเรกอยู่ รายได้ก็ ก๊อกแก๊ก ๆ
จะเอาตัวเองไม่รอดอยู่แล้ว...
ผมคิดว่า ช่วงนี้ดวงผมกำลังตก หรือว่าอย่างไร
อนาคต เรากำหนดเองได้จริง ๆ เหรอ ผมไม่ค่อยจะเชื่อมันสักเท่าไหร่นักดอก
แต่ก็เอาเหอะ เป็นมนุษย์ ถ้าชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป...
ตอนเป็นเด็ก ผมไม่เคยคิดว่าผมจะอดตาย เพราะผมมีแม่ คอยเฝ้า
เลี้ยงดู แก้ปัญหาให้ผมทุกอย่าง แม้บางเรื่องเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
ผมจำได้ว่าผมทำให้แม่น้ำตาไหล อยู่หลายครั้ง
ทั้งเรื่องตอนเป็นเด็กที่แม่วิ่งไล่ผมเพราะเล่นปืนแก๊ปที่บ้าน
และเล็งมาใส่แม่ ผมวิ่งหนีไปตามถนน จนแม่ต้องหกล้ม เป็นแผลที่หัวเข่า
ตอนนั้นผมอยู่ปอ 4 เห็นจะได้ และอีกหลายเรื่อง ที่ล่าสุดก็เรื่องที่ผมมีครอบครัว
และมีหลาน ผมกับแม่ทะเลาะกันบ่อยเรื่องการเลี้ยงหลาน ผมไม่ค่อยเชื่อแม่
ทั้ง ๆ ที่ผมโตมาได้ก็เพราะแม่เป็นคนเลี้ยงดูผม ผมมองเห็นแม่
ภาพใบหน้าที่วิตกของแม่ ภาพสีหน้าที่สะกดน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมาให้ลูกชาย
เห็น ความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ ผมทำให้แม่ถูกทำร้ายจากลูกสะไภ้
เรื่องราวต่าง ๆ แม้จะจบลงไปแล้ว
แต่ก็ยังเหลือคราบแห่งความปวดร้าวฝังอยู่...
แม้จะพยายามลบอย่างไรก็คงจะไม่มีวันลบออก มันเป็นเหมือนตราบาปที่ผม
ได้ทำลงไปในขณะนั้น ผมอยากบอกแม่เหลือเกินครับว่า ผมขอโทษ ผมรักแม่ครับ
ในขณะนี้ ผมเป็นเหมือนคนที่ตกอยู่ในสภาพ จนตรอก
ทั้งเวรกรรมต่าง ๆ ที่ผมได้ก่อและไม่ได้ก่อโดยตรง เริ่มทยอยตามมา
เป็นลำดับ ผมไม่รู้จะแก้ไขปัญหาอย่างไรดี แม้บางครั้งก็อยากจะหนีไปให้ไกล
แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะผมมีเรื่องต้องห่วง คือ ลูก ผมรักลูกผมเหลือเกิน
ลูกเป็นสิ่งเดียวที่ผูกมัดผมไว้ไม่ให้ไปไหน เป็นสิ่งเดียวที่ผมต้องอยู่
และต้องทำให้ได้อย่างที่หวัง
ผมจะทำได้ไหมนะ ผมกลัวเหลือเกิน กลัวว่า
เมื่อลูกผมโตขึ้น ผมจะไม่มีอะไรเหลือให้ลูกเลยเมื่อผมตายไป...
ผมต้องทำอย่างไร เพื่อให้เกิดความแน่นอน มั่นคงขึ้นในชีวิต
ผมรู้สึกกดดันมาก ปัญหาต่าง ๆ เริ่มรุกไล่ให้ผมถอยล่นจนมุมเข้ามาทุกขณะ
บางที เรื่องบางเรื่อง วางมันไว้ก่อนก็ดี ถ้าแบกเอาไว้ตลอดเวลา
ก็คงจะหนักเกินไป เพราะคนเรามีเพียงไหล่เล็ก ๆ เพียงสองข้างเท่านั้น
มีเพียงสมอง น้อย ๆ ที่คอยคิดคอยแก้ไขปัญหาได้ทีละเรื่องเท่านั้น ไม่สามารถ
ที่จะทำอะไรหลาย ๆ อย่างพร้อมกันด้วยตัวคนเดียว อย่างอ่านหนังสือ
เราก็อ่านได้ทีละตัว ทีละคำเท่านั้น หรือเวลาก้าวเดิน เราก็ก้าวเดินได้ทีละก้าวเท่านั้น แม้จะเป็นก้าวที่ยาว หรือก้าวที่กระโดด
แต่เราก็ทำได้ทีละอย่างเท่านั้น...ตอนนี้ปัญหาเริ่มรุมเร้าเข้ามา
แต่ผมก็คงจะแก้ไขได้ทีละปัญหาเท่านั้น ในขณะเดียวกันผมต้องหาเลี้ยง
ปากเลี้ยงท้องตัวเอง คนไม่มีพื้นฐานทางสังคมอย่างผม
จะเอาอะไรมาก ผมได้แต่ปลอบใจตัวเองอยู่อย่างนี้...
ผมรู้สึกว่า คนรอบข้างผม โดยเฉพาะลูก แม่ และภรรยา
นั้น เป็นบุคคลที่โชคร้ายเป็นอย่างยิ่งที่มีผมอยู่ข้าง ๆ คอยกัดกินความรู้สึก
ของพวกเค้า อยู่ตลอดเวลา
ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่าได้ขนาด
นี้นะ ลองสู้มันสักตั้งเป็นไง วัดผลสักวัน ผมก็ได้แต่พูด
ในลักษณะแบบนี้มาหลายครั้ง ซึ่งก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่ผมทำได้สำเร็็จ
อย่างเก่งก็ ทำได้ประมาณ 1 ชั่วโมง หรืออย่างมากก็แค่วันเดียว
หลังจากนั้น ความล้มเหลวก็เริ่มตามมา
จุดแรกเลยคือการนอนตื่นสาย และขี้เซา
เอาล่ะ ผมลองมาวิเคราะห์ตัวเองดูหน่อยว่า ผมมีข้อบกพร่องอะไรบ้าง
เรียงลำดับจาก หนักไปหาเบา
1. นอนตื่นสาย (ตื่นให้เช้า ให้เป็นเวลา)
2. ขี้เกียจสันหลังยาว (หาอะไรทำตลอดเวลา
ทำงานตลอด)
3. ขี้หงุดหงิด (ใจเย็น ๆ ลงบ้างง)
4. ใจร้อน (ใจเย็น ๆ ลงอีก)
5. ชอบเหม่อลอย (พยายามปลุกตัวเองให้ตื่น ด้วยวิธี
ไปล้างหน้า หรืออาบน้ำไปเลย)
6. ชอบแบกอะไรไว้เสมอ ๆ ไม่ค่อยปล่อยวางจนบางครั้ง ทำให้ดูเหมือนเป็นคนอมทุกข์ตลอดเวลา อันนี้ดูได้จากกระจกที่ส่องหน้าตัวเองทุกวัน
(วางมันซะบ้าง ปลงมันซะหน่อย อะไรจะเกิดก็คงต้องปล่อยให้มันเกิด)
7. วิตกจริตไปต่าง ๆ นานา เพราะคาดหวังอะไรแรง ๆ
แล้วผิดหวัง พาลจะประชดชีวิตด้วยการไม่ทำอะไรอีกเลย หรือละทิ้งทุกอย่าง
เหมือนคนคิดสั้น หรือคนสิ้นคิด (ปล่อยวางๆ และพยายามให้กำลังใจตัวเอง
โทรหาแม่บ้าง เพื่อบรรเทาความวิตก)
8. แพ้ตัวเองทุกครั้ง รับปากตัวเองว่าจะทำอะไรแล้ว
ก็ทำไม่ได้สักที (พยายามหาทางทำให้ได้ ถ้ารู้ตัวว่าตัวเองจะแพ้
ให้โทรหาแม่ทันที อันนี้น่าจะช่วยได้)
ถ้าอย่างไร ผมลองทำดู เริ่มเลยพรุ่งนี้ ตื่นนอน 6.00 น
และทำกับข้าวให้ลูกกินไปโรงเรียน เราจะทำได้หรือไม่
เวลา 8.00 เริ่มทำงาน โทรศัพท์หาลูกค้า ทำงานแบบไม่ต้องมีเป้าหมาย แต่ให้ตามขั้นตอนที่วางไว้ก็พอ...เพราะถ้าทำแบบมีเป้าหมาย
มันเครียดน่าดูเชียว บ่าย 2 ไปรับลูกที่โรงเรียนอนุบาล
จนถึง เย็นหลังภาระกิจต่าง ๆ เสร็จสิ้นแล้ว อ่านหนังสือ
วันละ 2 ชม.เป็นอย่างน้อยก่อนนอน หรือเขียนหนังสือก็ได้อย่างน้อย
วันละ 2 ชม.เป็นอย่างน้อย
ถ้าผมทำได้อย่างนี้ทุกวัน สักวัน ปัญหาต่าง ๆ อาจผ่านไปได้อย่าง
รวดเร็วก็ได้ มันขึ้นอยู่กับเราแล้วล่ะว่าจะทำได้ไหม...
เริ่มด้วย พรุ่งนี้ผมจะตื่นได้ไหม 6.00 น.
แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 51 07:10:56
แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 51 03:25:28
แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 51 03:24:13
แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 51 03:21:09
จากคุณ :
p_phet
- [
21 ส.ค. 51 03:17:02
]