บุหรี่ตัวแรกถูกไฟลามเลียเหลือเพียงก้น ลมหายใจเฮือกใหญ่ระบายถอดถอนจากอก
ส่วนมือก็ดึงบุหรี่ตัวที่สองจากซอง มาคาบจ่อไว้ที่ริมฝีปากแล้วจุดสูบ เพียงหวังว่าควันจากใบยาที่เผาไหม้
จะช่วยคลายความกลัดกลุ้มที่ซ่องสุมในหัวอก
ห้าปีที่คิดถึงเธอ มลายกลายเป็นความว่างเปล่า เหมือนควันบุหรี่ ล่องลอยแล้วจางหายไป
สมองก็ยังคิดถึงเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านไปไม่นาน เมื่อตอนเย็นก่อนที่ฝนตก ตอนเย็นที่เห็นแสงแดดรำไร
ตอนเย็นที่เราขอนัดพบกับเธอ
ก่อนที่จะขอนัดพบใจก็ลังเลกระวนกระวาย หลังจากพูดไปก็กลัว กลัวว่าเธอจะปฏิเสธนัดทว่าความรู้สึกกลายเป็นสับสน
เมื่อเธอตอบรับว่าจะพบกันก็ได้ ใจมันวุ่นวายไม่รู้ว่าจะพูดกับเธออย่างไร ไม่รู้ว่าจะบอกเรื่องที่ผ่านมาด้วยวิธีแบบไหน
ก็แปลกดี หลายพันปีที่มนุษย์ใช้ภาษาจดบันทึก เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ ถ่ายทอดสิ่งที่เคยเกิดขึ้นให้ประจักษ์
แต่ภาษาอธิบายอารมณ์ที่สิงสู่คุโชนในจิตใจได้เพียงเล็กน้อย ไม่ชัดเจน
โดยเฉพาะคำว่า "ความรัก" และ "ความคิดถึง"
ช่างเถอะ !! เมื่อพบหน้า ค่อยตั้งสติและก็พูดให้ได้แล้วกันว่าใจมันคิดยังไง
ทว่าเมื่อได้พบเธอ ผมก็รู้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเธอเปลี่ยนแปลงไป เธอสวยขึ้น
หน้าตาถูกแต่งแต้มจางๆ เส้นผมที่เคยจำได้ว่าเธอไว้สั้นประบ่าก็ยาวขึ้น จากที่เคยเป็นสีดำขลับก็กลับมีประกายสีน้ำตาลเคลือบ
จะว่าไปเธอในตอนนี้ก็คงคล้ายกับภาพเขียนที่ถูกแต่งแต้มระบายสีอย่างวิจิตรบรรจงจากที่ตอนแรกมีเพียงลายเส้นขีดเขียนวาดไว้เป็นเค้าโครง
" หวังว่าคงสบายดีนะ " ถ้อยคำสั้นๆเอ่ยขึ้นมาทักทาย
" ค่ะ " คำตอบจากปากเธอกลับสั้นกว่า
เฮ้อ........นึกไม่ออกเลยว่าจะพูดอย่างไร ความคิดทั้งหลายราวกับถูกสะกดตอกตรึงไว้ เพียงสายตาจับจ้องไปที่วงหน้าของเธอ
หากสายตาของเธอมิได้จับกลับมา รู้สึกได้ถึงช่องว่างระยะห่างที่กาลเวลาได้สร้างขึ้น
อาจเป็นกลไกอะไรสักอย่างของดวงจิต ที่สติจะพยายามจะฉุดรั้งขึ้นมาหลบเลี่ยงห้วงภวังค์ที่เจ็บปวด
สติจึงกลับมาอยู่ที่สายตาเพื่อหันมามองทิวทัศน์โดยรอบ
และสายฝนก็ยังคงร่วงหล่นลงมา ประพรมเสียจนเปียกปอนทั่วตัว กระทั่งเส้นผมและใบหน้า แต่กลไกที่ว่าของจิตนั้นคงทำงานได้ไม่สมบูรณ์ล่ะมั้ง
เพราะที่ขอบตามีความรู้สึกร้อนผ่าว แล้วหลอมรวมเป็นของอุ่นๆวิ่งผ่านข้างแก้มที่หนาวเยือกด้วยไอฝน
บุหรี่ตัวที่สองกำลังจะหมด สายฝนยังไม่ขาดตอนทิ้งช่วง ฟ้าก็ยังแลบแปลบเหมือนหลอดไฟใกล้เสีย คงไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก
ที่จะยืนให้ลมกรรโชกจนหนาวสั่นอยู่ตรงนี้ สายตาก็เหมือนจะมองเห็นว่าเดินผ่านร้านเหล้าเล็กๆ ไม่ไกลจากที่นี่นัก
หาอะไรดื่ม และนั่งคิดสักนิดคงจะดีกว่าตากฝนอยู่แบบนี้
กรุ๊ง....กริ๊ง....
เสียงกระดิ่งกระทบประตู ร้องบอกว่ามีลูกค้ามาเยียมเยือน โต๊ะมีอยู่ 2 โต๊ะ และตัวติดหน้าต่างที่คิดไว้ว่าอยากจะนั่งปล่อยอารมณ์ก็ไม่ว่าง
เท่าที่เห็นก็เหลือแต่เก้าอี้หน้าบาร์ที่ยังว่างอยู่
" สวัสดีครับ " บาร์เทนเดอร์วัยกลางคนกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงทุ้ม ฟังดูอบอุ่น
" ครับ " ผมตอบรับคำทักทายนั้น ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ เอื้อมมือหยิบเมนูมาดูประกอบการตัดสินใจว่าจะดื่มอะไรดี
ผมไล่สายตาผ่านคอนยัค วิสกี้ ยิน รัม วอดก้า เตกีล่า เหล้าที่ผมเคยชอบเคยนิยม ทว่า...ผมนึกไม่ออกเลยว่าอยากดื่มอะไร
ราวกับว่าความสุขทั้งหลายได้มลายไปหมด เหลือเพียงความปวดร้าวที่เกาะกินทิ่มแทงในอก ประหนึ่งเนื้อเหล็กที่
ถูกกัดกร่อนร่อนกลายเป็นสนิม
ทำได้แค่วางเมนูลง และหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ
" จะดื่มอะไรดีครับ " ลุงบาร์เทนเดอร์ถามพร้อมกลับหยิบยื่นที่เขี่ยบุหรี่วางไว้ข้างหน้าผม
" ไม่รู้สิ พอมีอะไรแนะนำไหมครับ " ผมนั่งก้มหน้าดูบุหรี่ที่ค่อยๆเผาไหม้
" ถ้าอย่างนั้น จะลอง table wine ของที่นี่ไหมราคาก็ไม่แพงมากนะ "ลุงบาร์เทนเดอร์เเสนอขึ้นมา
ว่าไปแล้ว ผมก็ไม่เคยลองดื่มไวน์มาก่อน ผมลองหยิบเมนูมาดูราคาอีกครั้ง อืมม ราคาขวดล่ะ 600 บาท
" จะลองชิมดูก่อนไหม " ลุงบาร์เทนเดอร์ถามเชื้อเชิญ
" ก็ดีครับ "ผมพยักหน้า
ลุงบาร์เทนเดอร์ยิ้มรับน้อยๆ หยิบแก้วทรงค่อนข้างกลม ก้านแก้วยาวมาตั้ง แล้วรินของเหลวสีแดงเข้ม ใส่ไว้ประมาณหนึ่งอึกใหญ่
" วันนี้อากาศค่อนข้างเย็นนะ ไวน์แดงน่าจะเหมาะกว่าไวน์ขาว " บาร์เทนเดอร์ยื่นแก้วไวน์มาให้ผมลิ้มลอง
ผมรับแล้วยกขึ้นจิบ
เสียดาย ผมมิอาจรับกลิ่นหอมจากเมรัยนั้นได้ถนัด
เสียดาย ไวน์นั้นอาจมีรสอื่นรอให้ค้นหา หากรสที่ตรึงในปากเป็นรสฝาดเฝื่อน ดุจรสของความระทม
ผิว่า ความรู้สึกร้อนผะผ่าวเมื่อตกไปถึงท้องยังครบถ้วน และทวีขึ้น ราวกลับเพิ่มไฟฟอนแผดเผาหัวอกให้ตรมหม่นไหม้
เหมือนกลับเป็นความลักลั่นย้อนแย้ง ที่ผมลองดื่มเมรัยที่ใช้ประสาทสัมผัสในการดื่มด่ำ ยามที่สัมผัสทั้งหลายทื่อถดถอยด้วยความเศร้า
กระนั้น ผมยังรู้สึกได้ถึงความนุ่มนวลที่เร้นซ่อนอยู่ ผมจึงพยักหน้าให้กับลุงบาร์เทนเดอร์เพื่อสั่งไวน์ตัวนี้
" ไวน์ยี่ห้ออะไรหรือครับ " ถึงแม้ยามนี้จะไม่รู้รสได้ครบถ้วน ผมก็อยากรู้ชื่อของมัน เผื่อวันหลังเมื่อจิตใจดีขึ้น อาจลองลิ้มรสมันอีกครั้ง
" farewell kiss น่ะครับ ชื่อเศร้าแต่มีความหมายลึกครับ " ลุงบาร์เทนเดอร์บอกขณะใช้เครื่องมือเปิดจุกไวน์
" จูบลาเนี่ยนะครับ " ผมชักนึกสงสัยในความคิดเห็นของลุงบาร์เทนเดอร์
" ใช่ครับ คนเราพบกันยังไงก็ต้องพรากจากกันไป แต่การได้ร่ำลากันบ้าง อย่างน้อยมันก็พอมีหวังว่า อาจได้พบกันอีก" ลุงบาร์เทนเดอร์รินไวน์ลงในแก้วที่ผมใช้ชิมประมาณครึ่งแก้ว แล้ววางขวดไว้ข้างหน้า
" งั้นหรือครับ "ผมตอบเพียงสั้นๆ พลางมองไวน์สีแดงก่ำที่สงบนิ่งอยู่ในแก้ว
หากความร่ำลามีความหมายถึงความหวังที่อาจได้พบกันอีก ตัวผมก็ได้รู้ถึงมุมหนึ่งของอีกด้าน
ความหมายของการร่ำลาที่เจ็บปวด จากการร่ำลาเพียงความเงียบไร้ซึ่งถ้อยคำ
ตอนนี้ก็ได้แค่หวังว่าดีกรีร้อนในไวน์คงจะแรงพอจะเผาบางสิ่งในใจให้หม่นบดบังความเศร้าในใจ ดุจควันไฟยามเผาฟางหญ้าที่ซ่อนพรางสิ่งต่างๆให้หลบเร้น.......แม้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว
หนึ่งแก้วผ่านพ้น
แก้วที่สองหมดไป
และแก้วที่สามดำเนินไปไม่ถึงครึ่ง สงสัยไวน์ที่หวังพึ่งพา คงทำไม่ได้ดังใจหวัง ดวงจิตกลับกระหวัดคิดถึงเธอคนนั้นอีก
" พอดีที่มาพบน่ะ คืออยากจะขอโทษในหลายๆเรื่องที่ทำลงไป ก็คล้ายๆว่ายังกับเด็กที่ไม่รู้จักโตนะ ผมพยายามพูดออกไป
ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ลืมมันไปก็ได้ เรื่องมันแล้วไปแล้ว เธอพุดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
พร้อมทอดสายตาไปเบื้องหน้า
เฮ้อ ถ้าเรื่องที่สำคัญมากๆดุจหัวใจตัวเองมันลืมได้ง่าย ก็คงไม่ระทมตรมปวดร้าวเนิ่นนานจนถึงวินาทีนี้แล้ว
หรือว่าเวลาที่ผ่านมา 5 ปีคงเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่าง จากนกน้อยเป็นวิหคปีกกว้าง จากเด็กผู้หญิงสู่หญิงสาว
ผมชักกลัวแล้วว่าสิ่งที่ผมตามหาจากเธอคนนั้น อาจเป็นเงาของอดีต ตัวตนของวันวาน เรื่องราวที่ผ่านล่วงมาแล้วของผมกับเธอ
เรื่องราวดีดีที่มันปิดม่านจบลงไปแล้ว
แต่ด้วยความดื้อดึง ผมอยากจะลองเหนี่ยวรั้งดูอีก
ก็อยากจะลืมเหมือนกัน แต่หัวใจมันฝืนลืมสิ่งที่ต้องการไม่ได้ มันคิดถึงเธอทุกวันก็เลยรู้ตัวแล้วว่ารักเธอมากเหลือเกิน มากจนมองไม่เห็นคนอื่นที่จะอยู่จุดนี้
ผมพยายามเรียบเรียงคำพูดออกมา
ถ้าเป็นไปได้ ผมรู้สึกว่าลมหายใจเริ่มติดขัด ความกลัวความลังเลความกังวลประดังถั่งโถมโหมเข้ามาจนรู้สึกอึดอัด
ทว่าด้วยความกล้าเฮือกใหญ่จึงฉุดดึงคำพูดออกจากลำคอ
เป็นคนรักของเราได้ไหม ได้โปรดเถอะ ผมอ้อนวอน
หากว่ามีถ้อยคำตอบกลับมา คนโง่ๆอย่างผมอาจจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง สรรพสำเนียงใด ไม่ได้แว่วออกมาเป็นคำพูดผ่านปาก จะมีก็เพียงแค่เสียงถอดถอนหายใจน้อยๆ จากเจ้าของใบหน้าเล็กที่สายตายังคงทอดยาวไปเบื้องหน้า
มันเป็นความเงียบที่ผมคิดว่าช่างยาวนานดุจรัตติกาลอันหนาวเหน็บของห้วงเวลาเหมันต์ และความเงียบนั้นยาวนานพอที่ผมคิดว่ามันบอกใบ้ถึง คำตอบของเธอ
ถ้าเช่นนั้น ผมข่มความรู้สึกว่างแปล่าแต่ร้าวราน ลาก่อนนะ ขอบคุณมากที่ให้ได้เจอนะ ยิ่งพยายามข่มกลับยิ่งรู้สึกถึงความเจ็บปวดกำลังค่อยๆแผ่ซ่านออกมา
จนต้องกัดริมฝีปากให้รู้สึกตัว
ค่ะ เป็นเพียงถ้อยคำสั้นๆที่ผมได้ยิน
ผมรีบเดินออกมา ทั้งที่ผมอยากจะมองหน้าเธออีกครั้ง ซึ่งอาจเป็นครั้งสุดท้าย แต่ว่าความรู้สึกที่ปริ่มตรงขอบตามันบังคับให้ผมรีบก้าวขาออกมาให้เร็วที่สุด
ทิ้งไว้ให้เธอเห็นเพียงแผ่นหลังของผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังเดินออกไป
และแผ่นหลังนี้คงจะช่วยปกปิดความอ่อนแอที่กำลังค่อยๆระรินไหลจากตาผ่านสองข้างแก้ม
ไวน์แก้วที่สามกำลังจะพร่องหมดไป ลุงบาร์เทนเดอร์ช่วยรินเติมจนระดับของไวน์กลับไปอยู่ที่กึ่งกลางแก้ว
คิดเงินด้วยครับ ลูกค้าริมหน้าต่างร้องเรียก
โต๊ะผมด้วย ลูกค้าอีกโต๊ะก็ให้สัญญาณเก็บเงินในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน
ครับ ลุงบาร์เทนเดอร์พยักหน้า แล้วนำบิลไปให้ลูกค้า จนเมื่อรับและทอนเงินแล้วก็รอให้ลูกค้าลุกไปจากโต๊ะ จึงเก็บแก้วมาล้างที่บาร์
ตอนนี้ในร้านเหลือลูกค้าคนเดียวคือผมเพียงคนเดียว เสียงพูดคุยมลายหายไป มีแค่เสียงน้ำไหลจากก๊อก เสียงกรุ๊กกริ๊กของแก้วที่กระทบกันในอ่างล้าง
ตอนนี้ผมไม่ได้ใส่กับสิ่งรอบตัวที่กำลังเป็นไป ไวน์ที่หวังพึ่งพาก็กลับแผ่ฤทธิ์ดีกรีในทางตรงข้าม มันไม่ได้ช่วยบดบังความทุกข์ มันกลับช่วยขับกล่อมความคิด
ให้ยิ่งหลงทางแหวกว่ายในความเศร้า
ทำไมสิ่งที่แตกหักไปแล้วจึงกลับมาเป็นเช่นเดิมไม่ได้
ทำไมความรักที่ผ่านล่วงมาแล้วจึงย้อนกลับไม่ได้
ความจริงหัวใจของผมรับรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ผมก็หลีกเลี่ยงคำตอบนั้นด้วยการหลอกตัวเอง และแกล้งถามตัวเองอย่างนั้นซ้ำแล้ว ซ้ำอีก
ผมเคยได้ยินมาว่า คนโศกเศร้ามอมเหล้าเมาง่ายกว่าปกติ ผมชักเชื่อว่ามันเป็นจริงเมื่อมันเกิดขึ้นกับตัวเองตอนนี้
เมื่อไวน์อีกแก้วหายเข้าไปในปาก ผมก็มิอาจใช้สติหลบหนีได้อีก
ทำไมสิ่งที่แตกหักไปแล้วจึงกลับมาเป็นเช่นเดิมไม่ได้
คำตอบจากหัวใจดังขึ้นมา ......เพราะเธอไม่ได้รักเราอีกแล้ว
ทำไมความรักที่ผ่านล่วงมาแล้วจึงย้อนกลับไม่ได้
เสียงของหัวใจทวีขึ้นแทบเป็นเสียงตะโกน.......เพราะเธอไม่ได้รักเราอีกแล้ว
.ทำไม.....เธอจึงนิ่งเงียบไม่ตอบต่อคำอ้อนวอนของเรา
ก็เพราะในหัวใจของเธอไม่มีเรา...อีกต่อไปแล้ว คำพูดร้าวรานพึมพำผ่านจากปาก
ความจริงที่เป็นยาขมยากจะกลืน ยากจะยอมรับ นำความเจ็บปวดทิ่มแทงแล่นพล่านในอก
ผมพยายามถอนลมหายใจและจุดบุหรี่สูบเพื่อบรรเทา แต่ความรู้สึกครั้งนี้คงแรงเกินไป แรงเสียจนความรันทดระร้าวกัดกร่อนเนื้อหัวใจร่วนไหลลงผ่านสองข้างแก้ม
ครั้งที่ 3 ของวันแล้วสินะ ผมทำได้แค่ใช้มือปาดน้ำตาออกจากใบหน้า
ใช้นี่ดีกว่า ลุงบาร์เทนเดอร์คงสังเกตเห็นความเศร้าระทมเกาะที่ใบหน้าของผม จึงหยิบยื่น ผ้าเย็นซึ่งเป็นผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กๆมีกลิ่นโคโลญจ์จางๆส่งให้
ขอบคุณครับ ผมเอื้อมมือไปรับ เมื่อผ้าเย็นสัมผัสหน้า กลิ่นหอมและความเย็นจากผ้าช่วยคืนสติให้กลับมาสงบลงบ้าง
ความเศร้ายังคงหลงเหลือค้างอยู่ ผมอาจต้องการใครสักคนที่รับฟัง
จะให้ฉันช่วยอะไรไหม ลุงบาร์เทนเดอร์วางมือจากงานหันมาคุยกับผมอย่างใส่ใจ
ผมมองที่ใบหน้าของคุณลุง เห็นผมสีขาวแซมดำ ใบหน้าประดับริ้วรอยของกาลเวลา และดวงตาสงบนิ่งดำประกายเหมือนท้องทะเลยามค่ำคืน บ่งบอกถึงห้วงเวลาเนิ่นนานผ่านร้อนหนาว
บางทีลุงเขาอาจจะรับฟังและให้คำปรึกษากับผมได้
ปกติลูกค้าจะเล่าอะไรให้คุณลุงฟังบ้างไหมครับ ผมถาม
บ่อยเลยล่ะ คงจะเป็นเหมือนคนแปลกหน้าที่รู้จักกันล่ะมั้ง ลุงบาร์เทนเดอร์ตอบด้วยคำพูดสะกิดใจ
จากคุณ :
dark sword
- [
22 ส.ค. 51 21:30:14
]