แสดงเก็บ
สถิติการฆ่าตัวตายของประชาชนคนในประเทศไทยนับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย และหากนำเอาสถิติการฆ่าตัวตายของผู้คนทั่วทั้งโลกมาบวกเข้ากับจำนวนประชากรในบ้านเราที่นิยมปลิดชีวิตทิ้งด้วยน้ำมือของตัวเองนั้นยิ่งน่าตกใจเข้าไปใหญ่
ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ มนุษย์ทั่วไป ไม่สามารถแสดงออกหรือทำได้ เนื่องเพราะมีม่านบาง ๆ แต่แข็งแรงของ ศีลธรรม และ วัฒนธรรม กั้นขวางอยู่ ทั้งหมดที่อยากปฏิบัติจึงต้องถูกเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกก้นบึ้งของหัวใจโดยที่ไม่สามารถ แสดงออก มาได้
ทำได้เพียงมากสุดก็แค่ แสดงเก็บ
นานวันสิ่งเหล่านั้นก็ยิ่งทับถมซ้อนพอกพูนกันไปมาจนกลายเป็นภูเขาสูงขนาดย่อมภายในใจ ซึ่งเป็นตัวแทนของความ เก็บกด อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์คิด ทำ หรือกระทั่งพูดอะไรออกไปโดยไม่รู้ตัว หรือหากรู้ตัวก็ไม่สามารถหยุดยั้งตัวเองโดยตัวเองได้
ในสักวันหากทุกอย่างที่กดทับซ่อนเร้นไว้เกิดเกินอัดอั้นทะลัก ล้น ออกมาจะเกิดอะไรขึ้น คาดว่าคงเดาไม่ยาก
หลายคนเลือกทางออกที่จะ หลีกหนี การทะลักของสิ่งที่ล้นอยู่ในใจอันเนื่องมาจากการอัดอั้นด้วยการทำลายลมหายใจของตนเอง
หลายชีวิตเลือกที่จะ เผชิญหน้า กับสิ่งถาโถมเหล่านั้นด้วยนานาวิธี แต่ท้ายสุดก็ต้องกลับกลายเป็นบุคคลที่มีความคิดและการแสดงออกที่แปลกแยก หรืออาจลามถึงการเป็นภัยต่อผู้คนอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในสังคมโดยไม่รู้ตัว
วงการแพทย์มักให้ความเห็นว่าคนประเภทนี้เป็น คนป่วย
ป่วยเป็นโรคจิต
สำหรับ คนศิลปะ ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นกลุ่มบุคคลที่ไม่สามารถแสดงออกในบางสิ่งบางอย่างได้เช่นเดียวกับคนทั่วไปก็ตาม แต่บุคคล (ที่เชื่อว่าเป็นกลุ่มคนที่มีความ) พิเศษเหล่านี้มี ทางออก ในการแสดงที่ดีกว่าการหลีกหนีอย่างจนตรอกหรือการเผชิญหน้าอย่างบ้าคลั่ง นั่นก็คือการ แสดงเก็บ
คนศิลปะสามารถเลือกที่จะ ถ่ายเท สิ่งสะสมทับซ้อนที่ซ่อนอยู่ภายในใจมากมายได้ด้วยการแสดงสิ่งเหล่านั้นออกมาเพื่อให้หลุดพ้นจากความเก็บกดลงบนสิ่งรองรับได้อย่างไม่โจ่งแจ้ง สงบ เงียบเชียบ เรียบร้อย และเป็นที่เป็นทาง ซึ่งนั่นก็คือพฤติกรรมการ แสดงเก็บ อันน่าทึ่งซึ่งถือเป็นความสามารถเฉพาะตัวของผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะนั่นเอง
ที่พิเศษกว่านั้นก็คือ ปฏิกูลที่ฝังซ่อนอยู่ในใจเหล่านั้นเมื่อได้แสดงออกมานอกใจลงบนวัสดุรองรับจนกลายรูปเป็น (สิ่งที่เชื่อว่าเป็น) ผลงาน แล้ว กลับมีผู้คนมากมายที่อยากแสดงตัวเป็นเจ้าของด้วยการใช้ปัจจัยแลกซื้อ นั่นก็หมายถึงสิ่งที่จะสามารถนำมาประทังชีวิตคนศิลปะให้ยืดเยื้อออกไปได้ และยังสามารถเป็นเชื้อเพลิงจุดไฟบันดาลใจได้เป็นอย่างดีในการผลักดันสิ่งหมักหมมภายในใจให้ปรากฏโฉมออกมานอกความคิดได้อีกในครั้งต่อไป
ความคิดสะสม (ซึ่งไม่ว่าจะเป็นความคิดเชิงบวกหรือความคิดเชิงลบ) ก็เปรียบกับสิ่งหมักหมมทับถมซึ่งเป็น ของเสีย อยู่ในร่างกายที่ต้องรอเวลาปลดปล่อยออกมาอย่างลับตา แนบเนียน และเป็นธรรมชาติ
จะมีสักกี่อาชีพในโลกกันที่สามารถขาย ของเสีย ของตนเองได้อย่างสง่างามและเปิดเผย
ที่น่าฉงนก็คือในสภาพสังคมปัจจุบันผู้คนต่างประณามคนป่วยทางใจที่แสดงออกอย่างหลุดโลกและผิดปรกติมนุษย์ว่าเป็น คนโรคจิต แต่บรรดาคนในสังคมก็ยัง สนับสนุน และ เปิดโอกาส กระตุ้นให้ความโรคจิตที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกของใครหลายคนกลับมีหนทางในการแสดงออกอย่างชัดเจน
สิ่งที่น่าแคลงใจในอันดับถัดมาก็คงต้องยกให้กับ ความต้องการ ของผู้คน บุคคลที่มีความคิดหวือหวา แหวกแนว แปลกแยก และแตกต่าง จากคนทั่วไปกลับถูกใครต่อใครนิยามหยามให้ว่าเขาคนนั้นกำลัง ป่วย บ้างก็หาว่า เพี้ยน แต่ทว่าสมาชิกบนโลกมากมายที่เคยทำการนิยามเหล่านั้นกลับมีความต้องการที่จะเป็นเจ้าของผลงานอันเป็น ตัวแทนความคิด ของคนป่วยคนดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรมพลิกแพลง การ์ตูนล้ำยุค งานศิลปะเกินจริง ภาพยนตร์รุนแรง หรือแม้กระทั่งบุคคลอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein), สตีเฟ่น คิงส์ (Stephen King), วินเซ้นต์แวนโก๊ะ (Vincent van Gogh), ซาลวาดอร์ดาลี (Salvador Dali), ไกเกอร์ (H.R.Giger), อัลเฟรด ฮิทช์ค็อก (Alfred Hitchcock), โคยูชัน ทาคามิ (Koushun Takami), เควนติน ทารันติโน่ (Quentin Tarantino) ฯลฯ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่แสดงถึงน้ำหนักของเรื่องการ นิยาม และ ความต้องการ ได้เป็นอย่างดี
การ ระบาย ออกของทุกสรรพสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นเป็นกฎเกณฑ์ที่ทุกชีวิตที่ไม่หมกมุ่นอยู่กับเหตุและผลเกินเหตุต่างรู้กติกาดี แต่ยังมีมนุษย์หลายรายที่คร่ำเคร่งอยู่กับตรรกะแห่งผลและเหตุ มากเกินไป จนผิดธรรมชาติ ที่สุดแล้วก็ไม่สามารถหาวิธีปลดปล่อยสิ่งที่นำเข้ามาให้ระบายออกไปได้
ทางออกสุดท้ายของปุถุชนคนสามัญหลายรายที่มีภาวะ มากเกินไป ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่านั้นก็คือการ ฆ่าตัวตาย หรือต้องกลายเป็น คนป่วยโรคจิต
นักเรียนแว่นหลายคนที่ คร่ำเคร่ง กับการเรียนด้วยการหาความรู้ใส่ตัวเองมากเกินไปโดยไม่ได้หาทางถ่ายเทออกเลย ที่สุดก็ต้องกลับกลายเป็นคนไร้เพื่อน แปลกแยก และโดดเดี่ยว จนเข้าข่ายคนเก็บกด
เด็กเรียนสายตาสั้นหลายวัยที่ คาดหวัง การได้รับผลตอบแทนกลับมาในสิ่งที่ทุ่มเทลงไปจนเกินตัว และสุดท้ายก็ต้องผิดหวัง ท้ายสุดก็ลงเอยด้วยการไม่อยากมีชีวิตอยู่เพื่อสู้หน้ากับความผิดหวังได้อีกต่อไป
คนเมืองหนุ่มสาวหน้าตาดีมากมายที่มี ความต้องการ เรื่องการสืบพันธุ์สูง แต่ไม่สามารถกระทำกับเพื่อนต่างเพศคนใดได้เนื่องจากภาระหน้าที่ที่กินเวลาในการสร้างความสัมพันธ์ สถานะส่วนตัวและหน้าตาทางสังคมที่เป็นเหมือนสิ่งค้ำคอจึงทำให้ไม่สามารถแสดงออกถึงสิ่งที่ตนต้องการได้ สุดท้ายก็ต้องลงเอยด้วยการแสดงออกทางเพศที่หลบ ๆ ซ่อน ๆ ซึ่งเข้าข่ายการเป็นคนป่วยโรคจิต
ฯลฯ
ในสายตาของคนทั่วไปนั้นมักเข้าใจว่าบุคคลที่ แสดงออก อย่างไม่รู้จักการยั้งคิด ยั้งทำ ยั้งความอยากตามอำเภอใจนั้นเป็นคนเพี้ยนหรืออาจกำลังป่วยเป็นโรคจิต
และสายตาคนทั่วทั้งหลายกลับเข้าใจว่าเขาหรือเธอที่พยายามปกปิด เก็บกด ซ่อนเร้น ข่มฝืน ดื้อดึง ต่อ ความอยาก ที่ซ่อนอยู่ในความรู้สึกของตนเองอย่างแนบเนียนนั้นเป็นย่อมสมควรได้รับยกย่องให้เป็น สุภาพชน
พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นอันเข้าใจว่ากลุ่มคนที่พยายาม ฝืน เหล่านี้เป็นคนปรกตินั่นเอง
นักศิลปะส่วนใหญ่ที่เริ่มรู้สึกว่ามีความเก็บกด ความอยาก ความต้องการ เข้ามาเยี่ยมเยือนในใจมักไม่เลือกที่จะ เก็บซ่อน หรือ แสดงออก แต่ก็เป็นอย่างที่บอกข้างต้น เขาเหล่านั้นเลือกที่จะ แสดงเก็บ ความรู้สึกนั้นให้ออกมาโลดแล่นอยู่นอกกล่องกักความรู้สึกโดยระมัดระวังไม่ให้เป็นพิษเป็นภัยกับใคร และแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียวที่นักศิลป์เหล่านั้นเลือกที่จะจับอารมณ์ความอยาก (อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากเห็น อยากทำ อยากลอง) ดังกล่าวมาถ่ายทอดเป็นผลงานศิลปะ
จากนั้นในใจคนศิลป์ก็จะว่างเปล่าสะอาดใสไร้มลพิษราวกับผ้าขาวที่ห่อหุ้มร่างบอบบางของทารกไร้เดียงสา
พร้อมที่จะรับข้อมูลใหม่ ๆ เพื่อทำการ แสดงเก็บ ต่อไปทุกเวลา
ด้วยสาเหตุนี้เองที่ทำให้หลายทศวรรษที่ผ่านมาไม่มีสถิติการฆ่าตัวตายของคนศิลปะเผยแพร่ออกมาให้ใคร ๆ ได้เห็นหรือได้ยินเลย
หากแต่กระแสของคนศิลปะที่กำลังป่วยภายในใจนั้นยังพอมีให้เป็นอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็ใช่ว่าเขาเหล่านั้นเป็นโรคจิตตัวจริง เพียงแต่เขาหรือเธอคนนั้นอาจยัง หา ทางระบายออกในที่ทางที่เหมาะสมไม่เจอเท่านั้นเอง
ปัจจุบันมีบุคคลในวงการศิลปะมากมายที่พยายามเสแสร้งอยากเป็นคนผิดปรกติทางจิต พยายามพูดจาไม่รู้เรื่อง พยายามสื่อสารให้ทุกคนที่พบเห็นเข้าใจว่าตนผิดแผก ทั้งที่รู้ดีว่าตนเป็นคนสามัญที่ไร้ความผิดปรกติ เพราะเขา รู้ทัน ว่าตลาดศิลปะในทุกยุคทุกสมัยผู้บริโภคมักชื่นชมและชื่นชอบผลงานแปลกใหม่ที่มาจากไอเดียล้ำหน้าอย่างไม่ปรกติ จากศิลปินที่ (เขาเชื่อว่า) ไม่ปรกติ
แต่ก็ยังมีคนอีกหลายคนที่เข้าใจความต้องการของตัวเองดีว่าตนนั้นเข้าข่ายการเป็นคนที่มีจิตประหลาด และพยายามทำทุกทางที่จะซ่อนเร้นสิ่งเหล่านั้นไม่ให้แสดงออกมาอย่างหยาบโลนด้วยการหาเวลาว่างเข้าคอร์สฝึกศิลปะระยะสั้น (หรือหลากวิธีอื่น ๆ) เพื่อปัดเป่าการ แสดงออก ให้แปรรูปเป็นการ แสดงเก็บ
ทั้งสองแบบเป็นไปตามทฤษฎี คนในอยากเอาออก คนนอกอยากเข้าเก็บ
ไม่ว่าจะเป็นการ เก็บกด (ด้วยความสุภาพ) ของคนทั่วไป การ แสดงออก (อย่างโจ๋งครึ่ม) ของคนเพี้ยน หรือการ แสดงเก็บ (แล้วค่อยนำออกมาแสดงในภายหลัง) ของนักศิลปะ ทุกการกระทำนั้นไม่มีข้อเสีย
หากทุกอย่างถูกที่ถูกทางตามหลักการกาลเทศะ
ที่มา
http://www.bangkokspace.com/content.aspx? bs=cartoonthai_ffc&cid=11&id=3088
จากคุณ :
คล้องแคล้ง
- [
28 ส.ค. 51 10:02:24
]