มีเรื่องเล่ากล่าวไว้เมื่อหลายพันปีว่า ครั้งหนึ่งพระพรหมเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่บนสรวงสวรรค์ได้เกิดความสงสัยใคร่รู้ว่าในแต่ละพิภพคือสวรรค์ บาดาล และแดนมนุษย์หญิงใดเล่าจะงามที่สุดในแต่ละภพนี้ พระวิษณุเทพจึงอาสาไปตามหา จึงได้ความมาดังนี้
บนสวรรค์แน่นอนก็ต้องเป็นพระแม่อุมาเทวี มเหสีของพระศิวะ แดนบาดาลก็คงเป็นพระลักษมี มเหสีของพระนารายณ์หรือไม่ก็เป็นบุตรสาวของเหล่าพญานาค แต่พอไปหายังโลกมนุษย์กลับหาไม่เจอ พระวิษณุเทพท่านจึงฝากคำถามไปยังเหล่ามนุษย์ให้ช่วยกันตามหา เหล่ามนุษย์ที่ทราบข่าวก็ได้รวมกลุ่มกันเพื่อออกไปตามหา โดยมีพราหมณ์ผู้ที่มีความเก่ง และเฉลียวฉลาดในทุกๆด้านและบุตรชายของพราหมณ์ได้ออกเดินทางไปด้วย การเดินทางหาหญิงงามได้ล่วงเลยเวลามาถึง15วันจนเข้าสู่วันที่16 ระหว่างที่ชาวบ้านที่ออกตามหาได้นั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำคงคาในช่วงเวลาพลบค่ำ บุตรชายของพราหมณ์ได้เอ่ยออกมาว่า วันนี้ดูจะเย็นเร็วผิดปกติแล้วเหม่อมองไปยังสายน้ำก็เห็นแสงรัศมีฉาบบนพื้นผิวน้ำ บุตรชายของพราหมณ์จึงบอกกับทุกคนที่มาด้วย เหล่าชาวบ้านจึงหันไปมองยังฝั่งตรงข้าม ก็ปรากฏว่าเป็นหญิงสาวกำลังนั่งร้อยดอกไม้อยู่ บุตรชายของพราหมณ์ถึงกับพูดออกมาว่า นางเป็นพระแม่อุมาที่จำแลงมาหยอกล้อกับพวกเราหรือไม่ พวกชาวบ้านที่ได้เห็นหญิงสาวดังนั้นก็พูดเป็นความเดียวกันว่า หรือไม่นางคงจะเป็นนางฟ้าที่แปลงกายมา หรือนางจะเป็นสิ่งที่ถูกเสกสรรมาจากแดนสวรรค์กัน หรือถ้านางเป็นมนุษย์นางก็คงเป็นยอดธิดาของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นแน่แท้ ทุกคนต่างลงความเห็นกันไปต่างๆนานา สรุปได้ว่าทุกๆคนต่างตกตะลึงในความสวยของนางผู้นั้น แล้วทุกคนก็คิดเหมือนกันว่าความสวยของนางนั้นคงจะมีตั้งแต่เกิดและความสวยของนางก็คงไม่หมดไปมีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกๆวัน เมื่อได้ความดังนั้นพราหมณ์จึงชวนทุกๆคนไปเจอกับนาง ระหว่างที่เดินไปก็มีบุรุษคนหนึ่งได้กล่าวขึ้นว่า นางงามถึงเพียงนั้น จะมีคู่ครองหรือยังก็มิรู้ บุรุษที่สองได้ยินก็ตอบว่า นางคงมีแล้ว เพราะนางสวยขนาดนั้น เมื่อทุกคนได้ฟังก็เกิดความคิดเสียใจกันไปต่างๆนานา บ้างก็เกิดความรู้สึกอยากร้องไห้ บ้างก็อยากทุบตีตัวเอง บ้างก็อยากบวชไปเดินป่า หรือบางคนก็หนักไปถึงอยากฆ่าตัวตายเลยที่เดียว เมื่อเดินมาถึงโคนสะพานหญิงสาวก็หยุดร้อยมาลัยแล้วลุกขึ้นยืนหันมามองแล้วยิ้มให้ บุตรชายของพราหมณ์จึงพูดออกมาว่า มิน่าทำไมวันนี้ถึงเย็นเร็วนัก เพราะพระอาทิตย์คงจะอายรอยยิ้มของนางที่ดูสว่างไสวกว่า
บุรุษหนึ่งก็กล่าวว่า นางมีกิริยาท่าทางที่งดงามราวกับนางพญาหงส์เลยทีเดียว อีกบุรุษก็กล่าวว่า สงสัยรัศมีที่ส่องประกายมายังสายน้ำนั้นคงออกมาจากผิวพรรณของนางเป็นแน่แท้ พอทั้งหมดเดินไปใกล้ๆนางได้พูดคุยกับนาง ทำให้บรรดาผู้ที่ไปก็ต่างชมความงามของนางไว้ดังนี้
นางมีความงามเป็นเลิศ ทั้งด้านเบญจกัลยาณีและกุลสตรี
นางมีใบหน้าดั่งจันทร์เพ็ญ ที่สดใส อ่อนเยาว์ตลอดเวลา
รูปร่างก็สวยได้รูป ผิวพรรณก็หาจุดตำหนิมิได้
นางมีน้ำเสียงที่ไพเราะกว่าเสียงใดที่ว่าไพเราะ
ตานางนั้นมีมนต์ขลังอย่างน่าประหลาดผู้ใดที่จ้องตากับนางแล้วก็ยากที่จะถอนสายตาออกไปได้ อีกทั้งสายตาของนางก็เป็นประการราวกับมีดวงดาวซ่อนอยู่ภายใน
คำพูดของนางทำให้ผู้คนคล้อยตามได้นางสามารถโยงความรู้สึกให้คนผู้นั้นรู้สึกตามที่นางพูดได้ แม้ผู้นั้นจะไม่ได้รู้สึกเลยก็ตาม
และทุกคนก็ต่างคิดเป็นเสียงเดียวกันว่า คงไม่มีมนุษย์ เทวดา นางฟ้าตนใดจะจินตนาการ วาด เสกนางได้สวยเพียงนี้ยกเว้นเทพเจ้าหรือพระวิษณุกรรมจะเสกขึ้นมา
บุตรชายของพราหมณ์เมื่อได้พูดคุยกับนางเขาก็รู้สึกว่าเขานั้นไม่คู่ควรกับนางเลยแม้ว่าเขาจะอยู่วรรณะที่สุงกว่านางก็ตาม ส่วนพราหมณ์เมื่อได้คุยกับนางก็รู้ได้ว่านอกจากนางจะสวยมากแล้วนางยังมีสติปัญญาที่เป็นเลิศอีกด้วย ทั้งหมดคุยกันจนจะมืดนางผู้นั้นก็ขอตัวกลับบ้าน พอนางจากไปเหล่าชาวบ้านก็กลับกันพอถึงที่ก็มีบุรุษคนหนึ่งมาถามข่าว บุตรชายของพราหมณ์จึงเปรียบเทียบให้ฟังว่า ให้หาสิ่งที่สวยที่คิดว่างามที่สุดในโลกที่เคยพบมา สิ่งนั้นจะดูน่าเกลียดไปหากนำมาเปรียบเทียบกับนาง และยังกล่าวต่อไปอีกว่า การงมเข็มในมหาสุนทร หรือเอาน้ำเปล่าทิ้งลงในมหาสมุทรแล้วจะเอาน้ำนั้นกลับคืนยังดูง่ายเสียยิ่งกว่าหาคนที่งามเท่านางอีก พอกล่าวเสร็จก็เดินจากไป พอรุ่งเช้าพราหมณ์ก็ไปบอกพระวิษณุเทพว่าได้เจอหญิงที่งามที่สุดในแดนมนุษย์แล้ว แล้วพระวิษณุเทพก็ไปรายงามพระหรทมท่านอีกที
จากคุณ :
รัตจันทน์
- [
29 ส.ค. 51 14:26:42
]