เหตุเกิดจากการคุยเล่นกันในกระทู้ฉันรักผัวเขาของคุณชญาลีที่เรื่องสั้นข้างล่างนู่นก็เลยกลายมาเป็นเรื่องนี้ค่ะ (ก็ไอ้คนเขียนมันลูกบ้าสูง)
แค่ชื่อก็ร้อนแล้วสินะ เอ่อ ข้างในก็ร้อนค่ะ แหะ
เพราะฉะนั้น! ขออนุญาตตั้งเรทเองเลยละกันค่ะ ขอความร่วมมือว่าเฉพาะคนอ่านอายุสูงกว่า 16 ปีนะคะ ^ ^
หมายเหตุ: เรื่องนี้ไม่จรรโลงใจ ไม่สร้างสรรค์สังคม ไม่มีคนดี ไม่มีพี่แทน(?)
*******************************************************
อีกสิบนาทีจะสามทุ่ม คืนวันศุกร์สิ้นเดือนที่แสนจะครึกครื้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายตามท้องถนนเช่นนี้คงจะมีแต่เธอ
คนเดียวเท่านั้นที่นั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวกับแก้วกาแฟเย็นชืดในร้านเงียบเหงา ผมยาวถึงกลางหลังสีดำสนิทถูกรวบไว้หลวมๆ
พลิ้วไหวอยู่บนแผ่นหลังยืดตรงในชุดสูทลำลองสีน้ำตาลเข้มบ่งบอกความภูมิฐานของผู้สวมใส่ ใบหน้าที่อ่อนล้าและเริ่มมี
ริ้วรอยจากการทำงานหนักนั้นนิ่งเฉย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มในกรอบตาเรียวหลังแว่นเลนส์เหลี่ยมกำลังจับจ้องอยู่ที่คู่รักคู่หนึ่ง
ที่กำลังหยอกล้อเดินเล่นอยู่ด้านนอกกระจกร้านที่เธอนั่งหันหน้าออกไปมองอย่างไม่คิดจะสนใจสิ่งใดรอบตัว แม้แต่คน
แปลกหน้าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สูงข้างๆ เธอก็ตาม
"สวัสดีครับ"
เสียงนุ่มทุ้มของเขาเรียกร้องให้เธอผู้นิ่งเฉยหันมามอง ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งไหล่กว้างในเสื้อเชิ้ตสีอ่อนที่พับปลายแขน
เสื้อขึ้นมาจนถึงครึ่งท่อนแขนล่างกับกระดุมเสื้อที่ปลดออกมาถึงสามเม็ดแสดงถึงอารมณ์สบายๆ กำลังยิ้มพราวใส่ตาเธอ
อยู่
"ไม่ทราบว่า เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าครับ"
นภัสเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นมาอย่างฉงนกับประโยคที่แสนจะโรแมนติกในนิยายประโลมโลกแต่กลับเป็นประโยคที่เธออยากจะ
หัวเราะเหยียดหยามมันให้ดังๆ เพราะครั้งหนึ่งเธอก็เคยได้รับมาจากผู้ชายคนที่เธอเคยรักมากคนหนึ่ง คนที่ซึ่งสามารถ
เรียกได้ว่าเป็นสามีของเธอ และเธอก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานถึงสามสิบปีแล้ว มันนานมาก มากจนพอที่จะรับรู้ว่า
ความหมายในคำพูดเหล่านั้นมันจะหมายความว่าอย่างไร และที่สำคัญเธอก็ไม่ใช่เด็กสาวๆ ที่พร้อมจะใจแตกเอียงอาย
หลงลมไปกับคำพูดเหล่านั้น
"ดิฉันมั่นใจว่าเราไม่เคยเจอกันแน่ค่ะ เพราะดิฉันไม่ใช่คนลืมง่าย"
เขาชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้รับคำตอบชัดเจนจากเสียงหวานแต่กังวานเหมือนคนที่เคยชินกับอำนาจสั่งการมาตลอด ดวง
หน้าซูบซีดเฉยชานั้นมีร่องรอยแห่งความงามแฝงอยู่ภายใต้หน้ากากของหน้าที่ที่เธอสวมมันไว้อยู่ เขาเชื่อว่านี่ต้องไม่ใช่
ตัวตนของเธอแน่ๆ เขารู้สึกได้ถึง'ไฟ' บางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในนั้น
"แต่ผมอยากรู้จักคุณนะครับ ถ้าเพียงแต่...คุณจะให้โอกาสผมบ้าง"
ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงหยอดนุ่มและออดอ้อนแฝงอยู่ในที นภัสรู้สึกได้ถึงความอ่อนวัยกว่าของฝ่ายนั้น และดูท่าว่าทาง
เขาก็จะรู้ดีเสียด้วยถึงความอาวุโสของเธอเอง
"นี่คุณกำลังจีบดิฉันอยู่รึเปล่า ถ้าใช่ ก็ช่วยมองดูดิฉันเสียใหม่ว่าท่าทางอย่างฉันเหมือนคนที่คล้อยตามใครได้ง่ายอย่างนั้น
หรือไง"
เธอหรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับใช้ปลายนิ้วชี้ประดับด้วยเล็บเจียนมนเคลือบสีแดงเลือดนกขยับกรอบแว่นขึ้นเล็กน้อยเพื่อ
มองหน้าผู้กระทำการเลื่อมล้ำความเป็นส่วนตัวของเธอให้ชัด ใบหน้าคมเข้มบนสันกรามแข็งแรงล้อมกรอบไปด้วยรอยเครา
เขียวครึ้มที่ถูกจัดการออกไปอย่างหมดจดสะอาดสะอ้านกำลังก้มลงมาเล็กน้อยเสมือนว่าตั้งใจให้เธอได้เพ่งพิศให้ถนัด
ยิ่งขึ้น ดวงตาคมแพรวพราวบ่งบอกถึงความมีเสน่ห์และเจ้าชู้อยู่ในตัวเจ้าของ ปากอิ่มเต็มกำลังคลี่ยิ้มน้อยๆ เหมือนกับรู้ตัว
ว่าการกระทำอย่างนั้นมันน่ามองขนาดไหน
"แหม จ้องกันขนาดนั้นไม่กลัวผมเขินม้วนกองลงไปตรงนี้หรือครับ"
ชายหนุ่มจงใจทำท่าเขินโดยการลูบหลังท้ายทอยที่มีไรผมนุ่มปกคลุมอย่างเหมาะเจาะทั้งที่สีหน้าสายตาไม่ได้แสดงกิริยา
อาการอย่างที่พูดแม้แต่น้อย นภัสรู้ดีว่านั่นก็เป็นการหยอกเย้าอีกเหมือนกันหลังจากที่เธอเผลอพิจารณาใบหน้าที่แสน
ดึงดูดนั้นนานเกินไปกว่าที่เหมาะที่ควร
"อย่าใจร้ายสิครับ ผมแค่อยากรู้จักคุณเท่านั้น เห็นชอบมานั่งดื่มกาแฟคนเดียวอย่างนี้ประจำ ไม่เหงาบ้างหรือครับ ผม
รับจ้างคลายเหงานะ ขอค่าจ้างแค่ยิ้มสวยๆ จากคุณก็พอ"
เขาคงไม่รู้ตัวว่ายิ้มสวยๆ ที่เขาอยากได้จากเธอมันปรากฏอยู่บนใบหน้าเจิดจ้าของเขาหมดแล้ว
"รู้ได้ยังไงว่าฉันยิ้มสวย"
ด้วยท่าทีเป็นมิตรและแรงดึงดูดของเขาทำให้นภัสมีทีท่าอ่อนลงเพราะคงไม่สามารถใจแข็งกับคนที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์
ในการชุบชีวิตด้วยน้ำทิพย์สดชื่นอย่างนี้ได้
"เก๊าะ...แอบดูสิครับ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมาเจอคุณสักหน่อย คุณต่างหากที่ไม่รู้ว่าผมมีตัวตนแถวนี้"
เธอต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจอีกครั้ง เป็นไปได้หรือที่คนหน้าตาท่าทางจัดได้ว่าดีมากอย่างเขาจะไม่เคยผ่านสายตาเธอ
เลย
"เอาเป็นว่าวันนี้ผมจะต้องทำให้เราเป็นคนที่รู้จักกันแล้วล่ะครับ ผมศิลาครับ เรียกผมศิก็ได้ ใครๆ ก็เรียกกัน อ๊ะ อย่าเรียก
ผมลานะ เดี๋ยวคนอื่นได้ยินจะหาว่าผมโง่"
ด้วยประโยคและท่าทางขี้เล่นของเขาทำให้เธออดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ และนั่นมันก็เป็นใบเบิกทางที่ดีที่เขาจะ
สามารถเข้าไปในจิตใจที่เคยปิดกั้นไว้ด้วยกำแพงโปร่งใสนั่นได้ทีละน้อย
'ผมต้องไปสัมมนาสามวัน วันอาทิตย์ตอนเย็นๆ ถึงจะกลับ ดูแลตัวเองนะครับ'
นภัสส่ายหน้าให้กับข้อความที่สามีของเธอฝากไว้ในเครื่องโทรศัพท์พกพาขนาดเล็กบางเบาเมื่อตอนที่เธอเข้าประชุมกับทีม
บริหารของบริษัทที่เธอครองตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเครื่องสำอางค์แบรนด์ดัง วันนี้เธอเจอเรื่องหนัก
หนาสาหัสมาไม่น้อยเมื่อผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ล่าสุดที่เธอลงแรงไปไม่น้อยนั้นไม่ผ่านการทดสอบ และสามีเธอนั้นก็ไม่เคยจะมา
สนใจไยดีอะไร ทุกวันที่เธอกลับมาดึกเขาก็จะนอนหลับไปก่อนแล้ว พอวันหยุดหากเขาไม่อยู่บ้านเพื่อสร้างความรำคาญหู
รำคาญตาให้เธอก็จะไปออกรอบกับเพื่อน
อันที่จริงเธอต้องการให้เป็นอย่างหลังมากกว่าด้วยซ้ำ ความรักความหลงที่เคยมีให้กันเมื่อหลายปีก่อนจืดจางลงไปจนแทบ
ไม่มีเหลือ เขาเคยอยากมีลูกสาวลูกชายไว้ให้ครอบครัวสมบูรณ์ แต่เธอเป็นคนร้องขออิสระในการทำงานก่อนสักสองสามปี
มาจนถึงบัดนี้กว่าหกปีแล้วที่เธอทุ่มเทให้กับงานจนได้ตำแหน่งสูงอย่างที่ต้องการ ตำแหน่งที่มาพร้อมภาระความรับผิดชอบ
มากมาย ทั้งคนในอาณัติ ทั้งเป้าหมายบริษัทที่ต้องเร่งผลงานไปให้ถึง
จนบัดนี้ ครอบครัวของเธอก็ยังไม่สมบูรณ์ด้วยความที่มีแต่สามีและภรรยา ไม่ได้มีพ่อและแม่อย่างที่ควรจะเป็น และที่ที่เธอ
นึกได้เป็นที่แรก คนที่เธอนึกถึงได้เป็นคนแรกสำหรับค่ำคืนวันศุกร์ที่แสนหนักหนาสาหัสก็มีเพียงที่นี่กับคนคนนี้ที่เธอมานั่ง
คอยเขาอยู่พักหนึ่งแล้ว
"โทษทีครับ โทษที โอย วันนี้รถติดมากๆ"
เขาวิ่งถลาเข้ามาในร้านกาแฟที่เดิมที่เขาเคยอยากเป็นคนรู้จักกับหญิงสาวรุ่นพี่ที่วันนี้ยิ้มสดใสให้กับเขาตั้งแต่ยังไม่ทัน
มาถึงที่เก้าอี้สูงแห่งเดิมด้วยซ้ำ ผิวสีเข้มที่มีหยดน้ำฝนเกาะพราวจากหยาดฝนโปรยปรายด้านนอกกลับดูน่ามองอย่าง
ประหลาด กลิ่นน้ำหอมผู้ชายจางๆ แตะจมูกเธอ นี่คงเป็นผลมาจากอุณหภูมิร่างกายที่ร้อนขึ้นของเขากระมัง
"ไม่เป็นไรหรอก พี่ก็ไม่ได้รีบไปไหน ศิยังมานั่งรอพี่ตั้งหลายครั้ง"
นภัสนั่งเท้าคางมองเขาด้วยแววตาสื่อความหมายที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่ามันบ่งบอกถึงอะไร
"ว้า ผมบอกภัสแล้วไงว่าอย่าเรียกแทนตัวเองว่าพี่ นะครับภัส เรียกผมศิก็พอ ผมก็จะเรียกภัสว่าภัสอย่างนี้แหล่ะ ภัสไม่ได้
โตกว่าผมสักเท่าไหร่นี่"
นภัสหัวเราะคิกกับคำพูดที่รู้จักใช้หลีกเลี่ยงคำแสลงใจผู้หญิงวัยสามสิบได้เป็นอย่างดี 'โตกว่า' อย่างนั้นเหรอ
"สามปีก็ไม่น้อยนักหรอกนะ ไม่เอาหรอก เดี๋ยวคนอื่นเขาจะว่าพี่ไม่เจียม ทำลดอายุหลอกเด็ก"
"จะเป็นอะไรไปถ้าเด็กอย่างผมมันเต็มใจให้หลอก"
ศิลายื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ส่งสายตาพราวระยับให้ผู้หญิงที่ไม่ยอมเด็กให้รับรู้ถึงแรงสะเทือนในอกที่ทวีคูณขึ้นทุกวันที่เห็น
สายตาของเขา มันชัดขึ้นเรื่อยๆ ในความรู้สึกบางอย่าง ความรู้สึกที่ดึงดูด น่าค้นหา
"ถ้าอย่างนั้น ภัส...ก็จะหลอกละนะ"
เขาเบิกตากว้างและอึ้งไปชั่วครู่เมื่อคนที่เขาคอยพะเน้าพะนอฉอเลาะมาตลอดเกิดใจอ่อนเล่นตามเขาบ้าง ก่อนที่จะยิ้ม
ออกมา ยิ้มในแบบที่ทำให้ใครบางคนแทบหลอมละลาย
"ผม...ยอมให้ภัสหลอก จะหลอกผมไปไหนก็ได้ ทั้งคืน...ก็ได้"
อะไรบางอย่างที่ถูกเก็บเอาไว้อย่างมิดชิดในตัวของนภัสกำลังจะแตกออก ความหวานชื่นจากสามีเธอมันเหือดแห้งไป
หมดแล้ว หากชายหนุ่มรุ่นน้องตรงหน้าจะมาเติมความอ่อนหวาน ความสดชื่นให้กับหัวใจเธอบ้างล่ะ มันจะผิดมากไหม
เธอรู้ดีว่าหากเธอปล่อยใจให้เตลิดไปไกลกว่านี้ทุกอย่างจะต้องดำเนินไปในทางที่ผิดมหันต์
"ภัสครับ ถ้าคืนนี้ไม่มีใครคอยคุณอยู่ ไปคลับกับผมนะครับ นะ กลับไปอยู่คนเดียวที่คอนโดผมก็เหงา นะ"
สายตาหวานเชื่อมเพ่งมองมายังเธอพร้อมกับคำออดอ้อนและมือใหญ่หนาที่ค่อยๆ ขยับมาจับมือเธอไว้และค่อยๆ เริ่มเคล้า
คลึงนิ้วมือนุ่มนิ่มหยอกเอินให้โอนอ่อน แน่นอน เขารู้ดีอยู่แล้วว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงตัวเปล่า แหวนทองเกลี้ยงที่นิ้วนางข้าง
ซ้ายนั้นบอกได้ชัดเจน เขารู้ดีอยู่แล้วว่าเธอมีสามี แต่ที่เขาต้องการมันไม่ใช่การจีบเล่นสนุกๆ เท่านั้น ถึงแม้จะต้องตกนรก
ศิลาก็เลือกที่จะทำให้เธอยอมมอบสิ่งที่เขาต้องการให้ได้
"อืม..."
<มีต่อค่ะ>
*พิมพ์ผิดมากมาย
แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 51 21:04:10
แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 51 13:37:47
แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 51 13:36:41
แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 51 02:51:26
จากคุณ :
BestChild
- [
30 ส.ค. 51 02:34:21
]