พี่ช่วยผมไม่ได้ตลอดชีวิตหรอก, ผมพูดขึ้นหลังจากเธอแย่งโทรศัพท์ไปจากมือ ผมคิดว่าเธอคงจะอายหลังจากฟังผมพูดภาษาอังกฤษผิดๆ ถูกๆ เกือบนาทีกว่า, พี่อายเหรอ ผมถามขึ้น, เธอตอบว่า เปล่า ทำไมต้องอาย เราอยู่กันแค่สองคน, ผมเลยอธิบายไปว่า ไม่ใช่แค่ตอนนี้ ทุกครั้งที่ผมพูดกับฝรั่งพี่ก็จะเข้ามาแทรก เข้ามาช่วยผมพูด แก้แกรมม่าแทบทุกครั้ง, พี่ผมเลยบอกว่า โอเค ตั้งแต่ตอนนี้จะให้พูดเองก็แล้วกัน จากนั้นบรรยากาศในรถก็เงียบ เป็นความเงียบที่น่าอึดอัด ในที่สุดพี่ก็พูดมาก่อน
ตอนเย็นผมกลับบ้านหลังจากเรียนภาษาเสร็จ ตอนนี้ผมพักอยู่กับพี่ที่รัฐโอเรก้อน อเมริกา, ผมอยู่ที่นี่หนึ่งปี แต่พี่ผมมาอยู่ก่อนสิบปี ผมว่าหนึ่งปีเป็นเวลาที่นานพอดู แต่ภาษาอังกฤษผมก็ยังอ่อนแออยู่เหมือนเดิม -- ช่างมันเถอะไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่เราสักหน่อย
อากาศตอนเย็นกำลังสบาย ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด มองกวาดตาไปข้างหน้าก็เห็นสวนสาธารณะที่ไร้ผู้คน ผมเลยเดินเข้าไปนั่งชิงช้า ความคิดเรื่อยเปื่อยก็เข้ามาในสมอง เวลาผมอยู่คนเดียว บรรยายกาศเย็นๆ ผมก็จะคิดอะไรเพ้อฝันไปเรื่อย บางครั้งก็เป็นปมชีวิตที่ยังค้าคา บางครั้งก็เป็นเรื่องเรียน เรียนเงิน หลายๆ ครั้งก็เป็นเรื่องแฟนที่จากมาไกล ไม่รู้ว่าเธอจะนอกใจหรือเปล่า มันยากนะที่จะต้องจากลาใครสักคนนานๆ แล้วคิดว่าเขายังคงเป็นเหมือนเก่า -- เขาจะมีเราเรื่อยไปไหม จะมีกันและกันตลอดไปไหม -- แต่เรายังติดต่อกันทางเอ็มเอสเอ็น ส่งเมล์หากันตลอด ก็ไม่เหมือนเก่าที่เคยเห็นหน้าค่าตากันทุกวัน ยิ่งมีเพื่อนตัวยุที่ชอบแซวว่า, เฮ้ย เมื่อวานกูเห็นแฟนเมิงเดินกับใครไม่รู้วะ, ถึงผมจะรู้ว่าเพื่อนผมล้อเล่น แต่ตัวผมก็อดกังวลไม่ได้ แต่ให้ตายสิ สาวญี่ปุ่นที่ชื่อ ยูกิโกะ ที่นั่งเรียนห้องเดียวกันเซ็กซี่เป็นบ้า วันไหนเธอมาเรียน วันนั้นอุณหภูมิในห้องจะดูอบอุ่นต่างจากวันที่เธอหยุดเรียน ผมชอบรอยยิ้มของเธอ ยิ่งได้คุยก็รู้สึกสบายใจ จนเมื่อกลางวันที่ผ่านมานี้ผมรวบรวมความกล้า ออกปากชวนเธอไปนั่งกินกาแฟสตาร์บั๊คส์ เธอก็คิดสักพัก แล้วตอบตกลง
เธอสั่งคาปูชิโน่ร้อนกับสตอร์เบอร์รี่ครีมพาย ส่วนผมสั่งมอคค่ากับเบเกิ้ลเช่นทุกครั้ง ผมชอบรสชอคโกแลตหวานๆ เข้ากันดีกับเบเกิ้ลรสเค็มนิดๆ -- เราทั้งสองเลือกที่นั่งนอกร้าน ยูกิโกะเป็นคนเลือกเธอบอกว่าที่นั่งด้านในดูอึดอัด แถมอากาศวันนี้ก็ดีเป็นพิเศษ ไม่มีเหตผลอะไรที่จะไม่มานั่งข้างนอกเพื่อสูดอากาศดีๆ, ผมตามใจเพราะอยากเอาใจ ผมอยากให้เธอรู้สึกสบายใจที่มากับผม อีกอย่างผมเองก็อยากนั่งนอกร้านด้วย ทันทีที่เรานั่งที่เก้าอี้ ผมก็ได้กลิ่นใบไม้ลอยมาตามสายลม ทำให้ผมละทิ้งเรื่องเครียดจากในโลกแห่งความเป็นจริงทิ้งไปได้ชั่วคราว
ยูกิโกะบอกว่าเธอมาเรียนที่นี่ได้สามเดือน เธออยากจะเรียนโทที่ยูซีแอลเอลด้านทีวีและภาพยนตร์ แต่ภาษาอังกฤษเธอยังดีไม่พอที่จะไปสอบโทเฟล, ผมเองก็รู้เพราะแกรมม่าเธอไม่ค่อยดี เวลาเธอจะพูดภาษาอังกฤษออกมาสักประโยคเธอต้องคิดก่อนสักพัก ผมเลยช่วยเธอสื่อสารเวลาที่เห็นว่าเธอติดขัด -- เธอบอกว่ายังอยู่ในช่วงคัลเจอร์ช็อค เธอคิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อน คิดถึงแฟน, ผมเลยถามเธอว่า มีแฟนแล้วเหรอ?, เธอว่า ใช่ เธอมีแล้ว แต่เธอบอกว่าเธอชอบเขา ผมเลยถามว่า ไม่ได้รักเหรอ เธอตอบกลับมาว่า ในภาษาญี่ปุ่นคำว่ารักกับชอบคือคำๆ เดียวกัน ผมก็พยักหน้าแล้วฟังเธอพูดต่อว่าตอนนี้เธอรู้สึกเหงา ชีวิตในตอนนี้ต่างจากตอนที่เธออยู่ญี่ปุ่น เพราะตอนที่เธออยู่ญี่ปุ่น เธอมีครอบครัว มีงานทำ มีเพื่อนฝูง พอมาอยู่ที่นี่ชีวิตมีสองสิ่ง คือ เรียนกับอยู่หอ วันนี้จึงมากินกาแฟกับผม เพราะเธอเหงา เธอว่าเธอรู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน, ผมถามว่าทำไมถึงรู้สึกผิดล่ะ?, เธอบอกว่า ก็... แล้วเธอจบประโยคไปดื้อๆ แล้วถามผมกลับมาว่า, แล้วเธอล่ะ มีแฟนหรือยัง? ผมเลยตอบไปว่า, ไม่มี แล้วผมก็หยุดไปสักพักหนึ่งก่อนเธอจะจับใต๋ได้ว่า ฉันรู้ว่าเธอมีแล้ว, ผมถามกลับไปว่า รู้ได้ยังไง?, เธอบอก ฉันรู้ได้จากสีหน้า, ผมเลยบอกไปตามความจริงว่า ใช่ ผมมีแล้ว, ยูกิโกะอยากเห็นรูปแฟนของผม แต่ผมบอกว่าไม่มี ทั้งๆ ที่ความจริง ผมติดรูปแฟนไว้ตลอดในกระเป๋าสตางค์
ก่อนที่เราจะจากกัน ผมอยากได้เธอเป็นนางแบบ ผมมีกล้องโพลารอยด์รุ่นเก่าที่ติดมาจากประเทศไทยอยู่ตัวหนึ่ง ผมชอบแบกมันไปแทบทุกที่เพื่อถ่ายรูปแปลกๆ ยูกิโกะเองไม่เคยเห็นกล้องโพลารอยด์ก็เลยขอไปดูเล่น เธอว่าเธอก็ชอบถ่ายรูปเหมือนกัน ผมเลยให้เธอเลือกสถานที่ สถานที่นั่นคือสวนสาธารณะหลังร้านกาแฟนั่นแหละ -- เธอยืนใต้ต้นไม้ หลังฉากเป็นลานหญ้าสีเขียว พระอาทิตย์ส่องแสงอุ่นๆ เข้ามากระทบใบหน้าที่ดูอ่อนโยน ผมให้เธอหันหน้าเข้าหาแสง -- ลมเย็นๆ พัดเส้นผมสีดำขลับของเธอพริวสยาย -- ผมให้เธอยิ้มมุมปาก แลดูเป็นธรรมชาติ เธอเขินอายนิดๆ แต่เธอก็โพสท่าได้อย่างน่ารัก จากนั้นผมก็นับ หนึ่ง สอง สาม แล้วก็ แชะ!
ผมไปส่งเธอที่สถานีรถราง, ผมไปรถรางสีแดง ส่วนผมไปรถรางสีฟ้า, บ้านเธออยู่ทางเหนือ ส่วนบ้านผมอยู่ทางใต้ -- รถของผมมาแล้ว แต่ผมสินใจจะไปคันหน้า เพื่อรอส่งเธอ ซึ่งก็ต้องคอยไปอีกสิบกว่านาที, พอรถเธอมา เธอก็ขึ้นรถไป ผมเห็นเธอนั่งอยู่กลางรถ เธอกำลังมองผม แล้วเธอก็ลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อจะวิ่งมาหาผม แต่ประตูรถปิดเสียก่อน, เธอมองผม แล้วพูดคำสั้นๆ ผมไม่รู้หรอกว่าเธอพูดว่าอะไรเพราะผมไม่ได้ยิน เพราะกระจกรถกั้นระหว่างเราสองคน
ผมหยิบรูปของเธอออกมาจากกระเป๋า ขาสองข้างก็โยกชิงช้านิดๆ เสียงเหล็กเก่าๆ สีกันดังเอี๊ยดอ๊าด -- ผมมองรูปแล้วก็ถอนหายใจ สงสัยผมจะหลงรักเธอเข้าแล้ว แต่อย่างว่า ความเหงามักจะพาเรื่องที่ไม่คาดฝันมาด้วยเสมอ น่าเสียดายที่ผมไม่ได้ขอเบอร์โทรศัพท์อากิโกะไว้ แต่อีกทางหนี่งก็ดีแล้ว เพราะผมจะได้ไม่เพ้อหลงคิดไปว่าเธอมีใจให้ผมเหมือนกัน และอีกอย่างหนึ่งคือเธอก็มีแฟนแล้ว ผมเองก็มีแฟนแล้ว
หนึ่งทุ่ม ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ผมลุกจากชิงช้า เดินกลับบ้าน -- ดูซี่ กับ บีมเมอร์ หมาพันธุ์ดัชชุนสองตัวที่พี่ผมเลี้ยงไว้เห่าทักทายเมื่อเห็นผมยืนอยู่หน้าบ้าน ผมเปิดให้มันออกไปเดินเล่นที่สนามหญ้า นั่งรอจนกว่ามันจะฉี่จะอึเสร็จแล้วทั้งคนทั้งหมาค่อยเข้าบ้านพร้อมกัน
ผมเดินขึ้นห้องนอน หวังจะเขียนอะไรลงไดอารี่เสียหน่อย ความขี้เกียจก็มาบดบังความขยัน ผมนอนลงบนเตียง นอนไปที่ฝ้าเพดาน ตอนนี้หนึ่งทุ่ม ที่เมืองไทยคงจะประมาณเก้าโมงเช้า ผมเลยโทรหาเธอ
เธอรับสาย เธอบอกว่าผมไม่ได้โทรหาเธอตั้งนาน นึกว่ามีคนใหม่ไปแล้ว ผมเองก็บอกว่าช่วงนี้ผมยุ่ง ทั้งการบ้าน ทั้งเรื่องจะซื้อรถขับ, เธอถามว่า มีแอบไปคบกิ๊กหรือเปล่า?, ผมบอกไปว่า เปล่า กิ๊กเกิ๊กที่ไหน ไม่มีหรอก ผมไม่หล่อพอที่จะมีใครมารักหรอก เธอหัวเราะแล้วบอกว่าจริง, ผมหัวเราะตาม ไม่ใช่เพราะคำที่เธอพูดหรอก แต่เป็นเพราะผมรู้สึกว่าผมพูดกับเธอได้อย่างไม่มีพิรุธ ... ก็เท่านั้นเอง
จากคุณ :
ด.ช.บ่าง
- [
2 ก.ย. 51 06:13:32
]