วันที่รอคอย
อันโตนิโอ
ฉันยืนเก้กังอยู่หน้าประตูโรงเรียน รอพบเพื่อนคุ้นหน้าที่พอจะเดินเข้าไปข้างในซึ่งเปลี่ยนแปลงปรับปรุงจนแปลกตาหรูหรามากกว่าสมัยก่อนด้วยกัน กี่ปีแล้วนะ ไม่เคยกลับมาอีกเลย ครูคนเก่า ๆ บางคนยังคงสอนอยู่บ้าง อย่างน้อยก็คนหนึ่งล่ะ ที่เป็นตัวตั้งตัวตีให้จัดงานรวมรุ่นขึ้นมาในคืนวันนี้ ฉันมาถึงนานแล้ว เมียงมองรอบข้างล้วนเป็นคนหนุ่มสาวแปลกหน้า พวกเขาน่าจะเป็นรุ่นน้องของฉัน ใบหน้าระบายด้วยรอยยิ้มเบิกบาน เสียงกรี๊ดกร๊าดดีใจเมื่อเห็นเพื่อนร่วมชั้นโผล่ลงมาจากรถดังขึ้นไม่ขาด ภาพของความปลื้มปีติ เพื่อนสวมกอดกันด้วยความคิดถึง ฉันเดาว่าพวกเขาคงไม่ได้พบเจอะเจอกันนานหลายปี บางคนแค่ยิ้ม ๆ แล้วตบไหล่ พวกนี้คงพบปะกันไม่ทิ้งช่วง ครูศิริวรรณผู้ชราร้องบอกให้หนุ่มสาวเหล่านั้นเข้าไปหาที่นั่งด้านใน มีการจัดเตรียมโต๊ะจีนไว้เสร็จเรียบร้อย
ยืดคอมองซ้ายขวา แท็กซี่เทียบจอดส่งผู้มาใหม่แล้วเลยกลับออกไป ไม่ใช่เพื่อนฉันสักคน ทุ่มเศษแล้ว ฉันพาตัวเองเข้าไปในตึกใหญ่ ตึกที่เคยเป็นสถานศึกษาอันน่าเกรงขามกลับดูเจิดจ้าสว่างไสวด้วยแสงไฟประดับ ด้านหน้ามีโต๊ะเรียงเป็นแนว มีครูสามสี่คนรับหน้าที่คอยลงทะเบียนศิษย์เก่าผู้มาร่วมงาน ฉันเดินผ่านไม่สนใจเพราะอยากจะรอให้พบเพื่อนอย่างน้อยสักคนก่อน
แล้วอ้อยก็มาถึง เธอวิ่งกระหืดกระหอบมาทิ้งสองมือกราบลงกับอกครูศิริวรรณ น้ำตาเอ่อท้นบนแก้มเนียนกับรอยยิ้มตื้นตันยินดีเมื่อเห็นครูประจำชั้นของตน ครูชราลูบศีรษะศิษย์สาว บัดนี้เธอสูงกว่าครูมากนัก สีสันของเครื่องสำอางทิ้งคราบเด็กน้อยไปหมดสิ้น ชุดที่เธอสวมใส่ก็ดูงามหรู ผิดกับชุดของครูซึ่งเรียบง่ายดังเดิมมิเคยเปลี่ยนแปลง
ฉันทักอ้อยขณะเธอกำลังก้มหน้าก้มตาลงทะเบียน แต่ดูเหมือนเธอจะจำฉันไม่ได้ แน่ละ ฉันต้องหยุดชีวิตการเป็นนักเรียนเพียงม. 5 เราเป็นเพื่อนกันเพียงสองปี แถมช่วงเวลานั้นก็ใช่ว่าจะสนิทสนมกันมาก ฉันเขียนรายชื่อตัวเองลงบนสมุดลงทะเบียนบ้าง ยิ้มให้อ้อยแม้เธอจะยังทำหน้างุนงง แต่เดี๋ยวสักพักก็คงจำได้กันไปเอง
เพื่อน ๆ เริ่มทะยอยกันมา แต่ละคนดูดีมีงานมีการมั่นคง บางคนถึงกับสวมสูทผูกไทโก้หรู บางคนก็แต่งตัวเรียบง่ายสบาย ๆ บางคนมีลูกแล้วและพามาด้วย ฉันยังเข้าไปเล่นกับแม่หนูน้อยคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกของเพื่อนสนิท แกเห็นฉันเข้าก็ร้องใหญ่ เบือนหน้าหันไปกอดแม่เหมือนลูกแมวไม่มีผิด พวกเพื่อนผู้ชายพอจับกลุ่มได้ก็เริ่มเฮฮา นั่งล้อมวงรำลึกความหลังสมัยเรียนกันเสียงดังลั่น ฉันหลบหน้าปรีดี สมศักดิ์ และศุภชัย พวกนี้นิสัยเกเรจนฉันกลัวหัวหดเมื่อสมัยก่อน บัดนี้แม้จะดูไร้พิษสงแล้ว แต่ฉันก็ยังคงขยาดแขยงอยู่อย่างบอกไม่ถูก แล้วยิ้มของฉันก็เผยกว้างเมื่อได้เห็นหน้าของวชิระ เขาดูเท่จังเลยในชุดตำรวจยศร้อยเอก ลูกน้องติดตามสองคนพากันหาที่นั่งเปิดทางให้ลูกพี่กลายสภาพเป็นศิษย์เก่าเต็มภาคภูมิ ฉันได้ยินเขาบอกกับครูศิริวรรณว่าคงจะอยู่ในงานได้ไม่นานนัก
พิธีกรบนเวทีเริ่มกล่าวต้อนรับเหล่าศิษย์เก่าด้วยถ้อยคำที่บรรจงเขียนมาให้ฟังดูอบอุ่นที่สุด ประธานคืออธิการเป็นผู้กล่าวเปิดงาน มีวงดุริยางค์ของโรงเรียนซึ่งเป็นเด็กมัธยมต้นตัวเล็ก ๆ บรรเลงเพลงมหาฤกษ์ ทุกคนลุกยืนพรึบพรับแล้วนั่งลงอีกครั้งเมื่อเพลงจบ อาหารเครื่องดื่มถูกลำเลียงมาไม่ขาดสาย เหล้าไม่มี มีแต่เบียร์แช่เย็นจนเกล็ดน้ำแข็งเกาะขวดพราว ฉันไม่แตะอาหารสักอย่างด้วยไม่รู้สึกหิว ได้แต่นั่งฟังคนนั้นพูดทีคนนี้พูดที อดีตผุดพรายขึ้นมาตรงหน้าแจ่มชัด แต่ละคนดูราวจะย้อนกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง ผู้ชายตัดผมสั้นเกรียน ผู้หญิงรวบผมหรือไว้เปีย
ปรีดี สมศักดิ์ ศุภชัย สามคนนี้เคยไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนเงา ช่วงพักเที่ยงก็กินข้าวด้วยกัน เล่นกีฬาด้วยกัน นั่งเรียนก็ติดกัน เวลาหาเรื่องรังแกคนอื่น ๆ ก็ใช้วิธีล้อมหน้าล้อมหลัง เพื่อนฉันบางคนโดนไถเงินแทบทุกวันจนเกือบเป็นโรคประสาท บางคนถูกชกถ้าไม่ทำตามคำสั่ง บางคนพยายามต่อสู้ แต่แล้วก็ต้องเจ็บหนักกว่าเดิมเพราะพวกนั้นมีถึงสาม เคยมีคนไปฟ้องครูศิริวรรณ แต่เจ้าตัวคนฟ้องเองก็โดนทำร้ายเสียย่ำแย่ในเวลาต่อมาจนเข็ด ฉันเองไม่ต่างจากเหยื่อคนอื่น แถมโดนมากกว่าด้วยซ้ำ ในห้องเรียนฉันเป็นที่หนึ่ง คะแนนดี ความประพฤติก็ไม่เคยเสีย แต่สุขภาพอาจจะแย่กว่าเด็กอื่นอยู่บ้าง ซึ่งฉันก็พยายามปรับปรุงเรื่องนี้
เพื่อนผู้ชายพาดพิงถึงบางคนที่ไม่ได้มาแล้วหัวเราะกันครื้นเครง สามคนนั้นเสียงดังน่าเกลียด แต่ดูเหมือนทุกคนก็ไม่ว่าอะไร ต่างคล้อยตามหัวเราะท้องคัดท้องแข็งทั้งที่ฉันไม่เห็นว่ามันจะตลกตรงไหน อ้อยยิ้มเจื่อน พยายามฝืนหัวเราะแล้วยกเบียร์ขึ้นจิบ สายตาของหญิงสาวราวคนหวาดระแวง บางครั้งก็เหลียวมองข้างหลังอย่างหวาด ๆ ปรีดีเป็นเจ้าของกิจการท่าเรือต่อจากพ่อ สมศักดิ์นั้นเป็นครู แต่ไปอยู่อีกโรงเรียนหนึ่ง ส่วนศุภชัยเป็นหมอฟัน คลินิกของเขาอยู่ในตัวเมืองของจังหวัดทางภาคเหนือ ฉันได้ยินเขาเล่าอย่างนั้น อ้อยเองก็เป็นถึงรองผู้จัดการของบริษัทใหญ่โต เธอสวยกว่าแต่ก่อน ฉันยังจำได้ว่าตอนนั้นเธอผิวคล้ำ ผมหยิกเป็นลอน ชอบว่าร้ายฉันราวกับอิจฉาที่ฉันผิวขาวและมีผมยาวเหยียดตรง อ้อยแอบชอบศุภชัย แม้จะโดนไถเงินค่าขนมไปวันละไม่น้อยแต่ดูเหมือนเธอก็ยินดี บางครั้งฉันเห็นเธอแอบเอาของมาฝาก เมื่อให้คนหนึ่งแล้วก็ต้องเผื่ออีกสอง อ้อยทำตัวเหมือนถุงเงินให้เด็กเลวเหล่านี้เพื่อแลกกับคำพูดหวานหูเล็ก ๆ น้อย ๆ จากศุภชัย แต่ไม่นานฉันก็พบว่าอ้อยชอบวชิระไม่น้อย ติดตรงที่เขามีสุนิสาอยู่ข้างกายเสียก่อนแล้ว
ใครคนหนึ่งเอ่ยชื่อสุนิสาขึ้นมา พวกเราทั้งกลุ่มเงียบกริบพร้อมกันทันที..
น่าสงสารจังเนอะ ทั้งสวยทั้งเรียนเก่ง อนาคตต้องไปได้ดีแน่ ๆ ไม่น่าเลย เสียงถอนใจดังมาจากกลุ่มเพื่อนสนิทของฉัน บรรยากาศสลดลงจนดูคล้ายงานศพมากกว่างานเลี้ยงศิษย์เก่า วชิระก้มหน้าขบกรามกรอด มือทั้งสองกำแน่น ฉันเข้าใจถึงความโศกเศร้าที่ต้องสูญเสียคนรัก เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่ต้องเสียใจเจียนบ้า เขาร้องไห้คร่ำครวญราวน้ำตาจะไม่มีวันเหือดแห้ง กี่วันกันล่ะ สิบ...หรือสิบห้า ไม่รู้สิ แต่คงนานมาก และนั่นคงเป็นแรงจูงใจให้เขากลายมาเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมในวันนี้
โลกช่างลำเอียงเหลือเกิน เด็กดี ๆ อย่างสุนิสากลับจากไปเร็ว แต่ไอ้พวกคนเลว ๆ เมื่อก่อนตอนนี้กลับได้ดิบได้ดี
ชายสามคนอดีตเด็กเกเรสะดุ้งเฮือกพร้อมกันเมื่อสมพรพนักงานห้างสรรพสินค้าไม่ใหญ่นักแห่งหนึ่งโพล่งออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ฉันจำได้ว่าตอนนั้นเธอเรียนเก่ง แต่โชคชะตากลับไม่ทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้นมากไปกว่านั้นเลย หลังจากสุนิสาหายตัวไป ตำรวจใช้ความพยายามอยู่บ้าง แต่แค่ไม่กี่วันเรื่องก็ดูจะเงียบหาย คล้ายคลื่นน้อย ๆ กระทบฝั่งฟากของแม่น้ำกว้างใหญ่ ไม่มีค่าอะไรเลย ทุกคนยกเว้นวชิระทำเหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์ร้าย ๆ เกิดขึ้นมาด้วยซ้ำ
ฉันหันไปมองอ้อย เราสบตากัน เธอถูกความกลัวครอบงำเห็นได้ถนัด ดวงตาเหม่อเหมือนไม่ได้จ้องมายังฉัน เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั้งที่อากาศก็กำลังเย็นสบายดี
อ้อย เธอก็เห็นเหมือนอย่างที่ฉันเห็นใช่ไหม
...
จากคุณ :
อันโตนิโอ
- [
13 ก.ย. 51 01:06:03
]