Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    รากโศก-ปลายสุข

    ตอนที่ 4 นี้ ตอนจบค่ะ มาดูกันค่ะว่าสายใยรักตายายที่เผื่อแผ่แก่วดีและลูกน้ำ จะยั่งยืนได้แค่ไหน และส่งผลให้ชีวิตดำเนินไปอย่างไรต่อไป

    ต่อจาก ความเดิมตอนที่3 อยู่นี่http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7020655/W7020655.html

    ..........อ่านต่อกันค่ะ.............................
    แต่ค่ำนั้นยายกลับมาด้วยอาการป่วยครั่นเนื้อครั่นตัว ยายไม่อยากไปหาหมอแต่เธอคะยั้นคะยอจนยายยอมไปคลีนิค จ่ายเงินไปเกือบสองพันได้ยามากินจำนวนหนึ่ง วดีควักเงินออกจากกระเป๋าตัวเอง แม้ยายจะไม่ใช่ญาติ แต่วดีก็แทบจะรักเธอเหมือนแม่ที่ให้กำเนิดเธอออกมาก หญิงชราคนนี้ให้ชีวิตแก่เธอในยามที่ไม่เหลืออะไรในชีวิตเลย


    ยายอาการดีขึ้นแต่ยังเดินไม่ค่อยไหว พอจะทำโน่นทำนี่ก็เวียนหัว เลยได้แต่นั่งอยู่กับบ้านถึงหนึ่งสัปดาห์เต็ม ยายให้วดีโทรไปบอกที่ห้าง งานที่ยายทำเป็นรายชั่วโมง ผ่านคนรับเหมางานอีกทีหนึ่ง จึงไม่มีสวัสดิการอะไร แถมตอนนี้เจ้านายได้คนงานใหม่เป็นเด็กสาวทำงานหนักได้มากกว่ายายแล้วด้วย แต่คนรับโทรศัพท์บอกว่าหายแล้วลองค่อยมาสมัครใหม่ดู


    พอวันหายป่วยเดินได้ไปถึงสำนักงานก็โดนปฏิเสธ ยายรู้ดีว่าเจ้านายอยากให้นางออกมานานแล้ว แต่ยังหาเรื่องไล่ออกไม่ได้และเห็นใจนางอยู่บ้าง แต่มาเจ็บป่วยยาวแบบนี้ ก็กลายเป็นช่องทางให้เจ้านายพอดี ยายกลับออกมาพร้อมเงินจำนวนหนึ่งจากค่าชั่วโมงที่ยังไม่ได้เบิกวันก่อน กลับบ้านน้ำตาคลอร้องให้กับตาที่นั่งซึม


    วดีเห็นเหตุการณ์ตลอดจึงปลอบใจยายว่าตอนนี้มีรายได้อยู่พอสมควร พอมีเงินค่าอาหารสี่คนสบายๆ “ออกจากงานหนักนั่นก็ดีเหมือนกัน ยายแก่แล้ว  ไม่รู้วันไหนล้มเข้าสักวัน ค่อยลองหาทางอื่นดู ยายไม่ต้องท้อ”



    และถัดมาสองสามวันวดีถึงรู้ว่าน่าจะแนะนำให้ยายลาออกมาช่วยกันขายของไปตั้งนานแล้ว เพราะยายยังแข็งแรงแม้จะเหยียบหกสิบเร็วๆ นี้ จับจ่ายซื้อของในตลาดก็คล่อง การงานในครัวก็ช่ำชองแถมทำได้ด้วยความสุขหลังจากไปรับใช้นายทุนเช็ดๆ ถูๆ พื้นอยู่อย่างเดียว ไม่มีเวลาหุงหาอาหารกินเองมาเป็นสิบปี



    ต่อมาร้านน้ำของวดีจึงกลายเป็นร้านที่มีตู้กระจกใสขายน้ำปั่น น้ำอัดลม น้ำสมุนไพร ชา กาแฟ และไอศครีมหลากรส ตาฝากเพื่อนที่พอพึ่งพาได้จดทะเบียนค้าขายอย่างถูกต้องโดยใช้ชื่อยาย มีโต๊ะเก้าอี้ตั้งหน้าคูหา สามชุด ในร้านซึ่งดัดแปลงจากห้องที่เคยใช้ตั้งโซฟาเก่าและกล่องพลาสติกถูกแทนที่ด้วยตู้ใส่เครื่องดื่มนานาชนิด และโต๊ะเก้าอี้อีกสามชุด แม้จะดูแออัดหน่อย ไม่ใช่ร้านหรูหราแต่วดีก็ตั้งใจแต่งร้านให้สะอาดที่สุด ลูกค้าน้ำหวานชนิดต่างๆ ยังคงเป็นคนงานซื้อไปดื่มตอนเที่ยงๆ ส่วนในร้านก็มีคนทำงานแวะมาดื่มชากาแฟยามเช้า ยามบ่ายก็มีลูกค้าขาจรประปรายมาสั่งน้ำนั่งปรึกษางาน วันหยุดก็มีเด็กเรียนพิเศษมาอุดหนุน



    ในวันที่ลูกน้ำครบขวบจึงกลายเป็นลูกชายของแม่ค้าร้านขายเครื่องดื่ม ไม่ใช่ลูกของคนเร่ร่อนไร้ที่พึ่งอีกต่อไป มีโอกาสซื้อขนมเค้กมาฉลองกินกับตายายด้วยความสุขใจ สองตายายและวดีทำงานอย่างหนัก แต่ทั้งสามคนกลับมีสุขภาพใจที่ดีขึ้นทุกวัน ตายายนอนไม่หลับเพราะอยากตื่นขึ้นมาช่วยกันเปิดร้านเร็วๆ ต่างจากในอดีตที่ไม่อยากให้วันใหม่มาถึงเพราะความหมดหวังในชีวิต ยายมีความสุขอย่างยิ่งได้ยกน้ำเสิร์ฟ หรือตักน้ำหวานใส่แก้วให้ลูกค้า ส่วนตาแม้จะเหนื่อยเพราะต้องคอยกระเถิบตัวเองตามจับจอมซนที่อยู่ไม่นิ่ง ชอบเกาะยืนเพื่อหัดเดิน แต่ก็เต็มอิ่มกับการได้มีโอกาสนั่งดุหลานต่างสายเลือดตัวน้อยๆ ด้วยหัวใจที่อ่อนโยนไม่ว่างเปล่าแบบที่ผ่านมา ยามค่ำคืนก็ได้ช่วยกันนับเงินแบ่งเงินเป็นส่วนๆ เผื่อซื้อของเข้าร้านและเก็บไว้ใช้ยามเจ็บป่วยกัน วดีเริ่มกลับมามีเวลาดูแลตัวเองอีกครั้ง




    แต่สิ่งหนึ่งที่เธอไม่เคยลืมเลือนคือ ความมีสติรับรู้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะที่ผ่านมาบทเรียนแห่งความเจ็บปวดเหล่านั้นสอนให้เธอรู้ตัวว่าไม่มีใครดูแลตัวเองได้ดีเท่ากับตัวเอง ความท้อแท้ทำให้สมองหดหาย และควรสร้างสุขอย่างไม่คาดหวังกับคนที่มีตัวตนจริงๆ อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่คนที่ล่องลอยอยู่ในแค่ความฝัน


    แม้จะไม่มีสายใยใดๆ เกี่ยวข้องกัน หรือมีข้อถกเถียงอยู่กันเนืองๆ เช่น เรื่องที่วดีหวงลูกเกินไป ตาอยากป้อนของกินแปลกๆให้ลูกน้ำ เธอก็ไม่เห็นด้วย ไม่เคยไว้ใจทิ้งลูกให้อยู่บ้านกับตายาย หรือยายคิดเงินทอนเงินให้ลูกค้าผิดพลาด แต่อันความขัดใจใดๆ ที่เกิดขึ้นย่อมไม่มากพอที่จะเปลี่ยนแปลงความมีน้ำใจที่เหลือล้นที่ทั้งคู่มอบให้เธอและลูกได้  ทุกวันที่ผ่านมาตั้งแต่เดินออกจากห้องน้ำห้างนั้นทำให้เธอสัมผัสจิตใจที่งดงามของตายายได้ ตายายคู่นี้ให้ชีวิตใหม่แก่เธอ



    และส่วนที่เกือบด้านชาในโลกที่ไร้ญาติขาดมิตรมานานก็ทำให้คนแก่สองคนเห็นคุณค่าของความห่วงใยและน้ำใจอาทรที่วดีมีให้เช่นกัน เลยทำให้สายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเกิดขึ้นได้ ต่างฝ่ายต่างเปิดใจผูกชีวิตซึ่งกันและกัน
    บางช่วงที่ลูกค้าน้อยรายได้ต่ำ มีใครบางคนเริ่มบ่นออกมา ก็จะมีใครอีกคนเอ่ยให้คิดได้ว่า เคยมีวันที่แย่กว่านี้ก็ยังทนมาได้ ทั้งสามคนจึงต่างก็เป็นกำลังใจแก่กัน มองหาแต่ข้อดีของแต่ละคน วดียิ่งมั่นใจในธุรกิจของตนมากขึ้นเมื่อรู้ว่าตามีความรู้มากตามวัย และยายเองก็เป็นคนมีฝีมืงเรื่องการทำอาหารและการดูแลร้านหรือบ้านอย่างดี


    แต่ทั้งสองคนก็เหมือนเธอคือถูกความมืดมนของชีวิตปิดบังความกล้าสามารถที่แท้จริงไว้ เมื่อต่างเป็นฟันเฟืองให้กันได้ จึงกลายเป็นเครื่องจักรที่ได้น้ำมันเคลื่อนชีวิตได้สะดวกขึ้น

    ลูกน้ำเดินเตาะแตะแล้ว เป็นที่รักของแม่และตายายอย่างยิ่ง ทุกวันใครผ่านไปมาจะเห็นยายป้อนข้าวให้กับหลานตัวน้อยนั่งบนรถเข็นหรือไม่ก็แม่วิ่งตามเช็ดหน้าให้ลูกอยู่อย่างมีความสุขหน้าร้านขายเครื่องดื่มและไอศครีม โลกของวดีเกือบเติมเต็มด้วยชีวิตที่กำลังเติบใหญ่ของลูกชายและธุรกิจร้านค้าของตัวเอง



    จนมาวันหนึ่งที่ฝนตกหนัก ลูกค้าเข้าร้านบางตา นานๆ มีคนเข้ามาสั่งเครื่องดื่มร้อนๆ กะรอให้ฝนซาแล้วจากไป ตายายได้ถือโอกาสนอนหลับพักผ่อนบ้างในวันอากาศสบายเช่นนี้ ลูกน้ำกำลังเล่นลูกบอลกับตุ๊กตุ่นตัวใหญ่ ในคอกเปลหลังโต๊ะเก็บเงิน มีคู่รักวัยรุ่นตอนปลายสั่งไอศครีมผลัดกันป้อนลิ้มชิมรสแก่กันอย่างหวานฉ่ำไม่ยี่หระต่อสิ่งใดแม้ข้างนอกจะมีฝนพรำจนส่งผลให้อากาศในร้านพลอยเกือบหนาวเหมือนติดแอร์


    วดีแอบมองและนึกหัวเราะอดีตอันงี่เง่าของตนที่เคยทำแบบนี้กับพันวา และสงสัยต่อไปว่าคนคู่นี้จะประสบกับปัญหาชีวิตแบบเธอด้วยหรือไม่ อยากเดินเข้าไปบอกว่าให้เรียนรู้แก่กันให้ดีๆ ก่อนจะมีสัมพันธ์ล้ำลึก หรือหากมีแล้วก็ให้คุมกำเนิด ชีวิตผู้หญิงที่มีลูกตั้งแต่ไม่พร้อมนั้นไม่น่าสเน่หาเลยสักนิด นี่ถ้าหล่อนไม่เจอตายายป่านนี้ลูกน้ำคงไปตกอยู่ในบ้านเด็กกำพร้า เธอเองอาจขายตัวประชดชีวิต หรือไม่ก็อุ้มลูกโดดตึกสูงฆ่าตัวตายไปแล้ว




    “เจ๊ กาแฟร้อนใส่นม แก้วนึง” เสียงดังๆ ของหนุ่มใหญ่แต่งกายคล้ายคนงาน ทำให้วดีรีบตื่นขึ้นจากความคิดในห้วงอดีต คนที่เพิ่งสั่งเครื่องดื่มไปนั้นยังมองมาที่หล่อน “นี่ถ้าผมเป็นโจรคงขนตู้ไอศครีมออกไปขายถึงชายแดนแล้ว” พูดแบบตั้งใจให้ตลกแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะติดประตูเหล็ก


    วดีมองตามหลังพลางเทน้ำร้อนลงแก้วกาแฟเดินไปตั้งให้บนโต๊ะ ท่าทางและหน้าตาไม่น่าจะเรียกหล่อนว่า “เจ๊” ที่แปลว่าพี่สาวได้หรอก แต่คงเรียกกันเพราะใครๆ ก็ใช้เรียกแม่ค้าที่ยังไม่ค่อยแก่มากนัก หนุ่มใช้แรงงานสวมหมวกที่ทำด้วยโลหะทาสีเหลือง ท่อนบนสวมเสื้อยืด ที่แห้งสนิท คงถอดแจ๊กเก็ตเปียกๆวางไว้ที่เก้าอี้นอกร้าน เพราะสังเกตจากกางเกงยืนสีซีดที่เปียกน้ำฝนแถบปลายขาคลุมรองเท้าหนังที่คนงานใส่กัน


    ท่าทางบุคลิกดี ไม่น่าจะมาเป็นคนงานเลย แต่ก็แก้ความคิดได้ในบัดดล หล่อนเองมีความรู้ จบ ปวช. อายุแค่ยี่สิบสอง หน้าตารูปร่างก็ปกติดี ยังต้องเคยอุ้มลูกขอทานมาก่อน ทำไมหนุ่มใหญ่คนนี้จะทำงานแบกหามไม่ได้ ดูแค่ภายนอกจะไปรู้ที่ไปที่มาเขาได้ไง


    ชายหนุ่มคงหิวแกะขนมปังที่วางบนโต๊ะกินไปทีเดียวสามห่อ “เอาอะไรเพิ่มมั้ย” วดีถามตามประสาแม่ค้า ชายหนุ่มปฏิเสธหันมามองหล่อนแล้วมองเลยไปยังลูกน้ำ “นั่น หลานหรือลูกล่ะ ไงไอ้หนู เล่นในคอกสนุกมั้ย” ตอนแรกนึกรำคาญเพราะโดนถามแบบนี้บ่อย แต่พอเขามีท่าทางใจดีกับเด็กเลยเต็มใจตอบ “ลูก ขวบครึ่งแล้ว”


    เขาหันมามองหล่อนเต็มตา “เหรอ เหนื่อยนะ มีลูกสาวคนหนึ่งเจ็ดขวบแล้ว อยู่ที่บ้าน กว่าจะโตเล่นเอาปวดเอวกันทั้งบ้าน” เขาเล่าด้วยท่าทางภูมิใจ ก่อนให้หล่อนเก็บเงินแล้วออกไปจากร้าน


    ฝนซาลงแล้ว คู่รักเดินเกี่ยวก้อยหนุงหนิงวางเงินให้แม่ค้าทิ้งไว้บนโต๊ะ วดีมองเงินบนโต๊ะที่ไม่ต้องทอนอย่างไม่ยินดี ภาวนาว่าคู่รักคู่นั้นจะจบด้วยดีไม่เข้าสู่ชีวิตที่เลวร้ายแบบหล่อน ตอนเย็นมีลูกค้าเข้ามานั่งคุยกัน พร้อมสั่งเครื่องดื่มร้อนเต็มทั้งสามโต๊ะ


    ปกติคนจะนั่งนอกร้านแต่วันนี้อาจเสี่ยงต่อฝนตกจึงต้องเลือกโต๊ะข้างในกันหมด ทำให้เจ้าของร้านไม่ว่างคิดเรื่องในอดีตอีกมากนัก เห็นเด็กนักเรียนตัวน้อยๆ ที่พ่อแม่ส่งมาเรียนพิเศษแล้วทำให้เกิดความหวังว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะต้องมีความพร้อมให้มากที่สุดรองรับการเจริญเติบโตของลูกชายในอนาคต


    ยายกลัววดีจะตามใจและคาดหวังในตัวลูกมากไปจึงคอยบอกให้ปล่อยวางเรื่องลูกบ้าง แต่ก็ยังทำให้เธอคลายเรื่องความกังวลในชีวิตข้างหน้าของลูกน้ำไม่ได้อยู่ดี


    ปีกว่าๆ ทั้งสามคนช่วยกันดูแลร้าน ทำให้เกิดรายได้เป็นกอบเป็นกำ มีของกินของใช้ในบ้านเพิ่มขึ้นตามความต้องการ จนแทบไม่มีใครเคยเชื่อว่าบ้านหลังนี้เคยอยู่ในสภาพยังไง และคนในบ้านเคยมีชีวิตที่ไม่ต่างจากซากที่เดินได้มาก่อน


    อาคารที่กำลังก่อสร้างใกล้ๆ เพิ่งไปได้ครึ่งทาง หน้าโรงเรียนกวดวิชาข้างๆ มีต้นไม้สวยๆ หลากชนิดมาตบแต่งเผื่อแผ่มายังร้านของวดีด้วย ส่วนร้านทำการ์ดที่ติดด้านซ้ายก็ทำป้ายชื่อร้านให้ฟรีว่าร้านเครื่องดื่มร้อนเย็น และให้กระดาษเหลือๆ ให้วดีนำมาตัดเป็นรูปต่างๆ ตกแต่งร้าน ปกปิดร้อยเปื้อนบนฝนัง จนบางครั้งเธอคิดไปเองว่าร้านเธอเกือบสวยเท่าร้านก๋วยเตี๋ยวคูหาแรกแล้ว เก็บเงินได้อีกนิดเธอตั้งใจจะซื้อรถเข็นให้ตา และแต่งทางเดินในบ้านให้รถเข็นเคลื่อนไปมาได้สะดวก



    เริ่มมีคนมาสนใจจีบแม่ค้าวดีอยู่บ่อยครั้ง แม้ดูวดีจะไม่มีท่าทีรังเกียจใครเพราะต้องใส่หน้ากากเพื่อธุรกิจของตัวเอง แต่คนใกล้ชิดอย่างตายายรู้ดีว่า เธอไม่สนใจใครสักคนที่เข้ามาข้องแวะกับตัวเองและยิ้มเยาะชีวิตคู่ในอดีตอย่างรังเกียจ  ใครๆ ว่าเธอยังสาวเกินไปที่จะเป็นโสด


    แต่เธอบอกว่าเข็ดและกลัวเหลือเกินเรื่องผู้ชาย และเธอไม่มีวันเสี่ยงดึงตัวเองลงไปในนรกอีกอย่างเด็ดขาด นึกแปลกใจที่แม่หม้ายลูกติดบางคนถึงยอมแต่งงานอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ก็เป็นไปได้ว่าเพราะผู้หญิงเหล่านั้นไม่ได้เจอมาแบบเธอนั่นเอง

    แก้ไขเมื่อ 22 ก.ย. 51 19:27:03

    แก้ไขเมื่อ 22 ก.ย. 51 19:25:05

    จากคุณ : rainfull - [ 22 ก.ย. 51 19:02:41 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom