Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ดาบนั้นคืนสนอง (ตอนที่ 4)

    หมายเหตุ : บุคคล สถานที่ และเหตุการณ์ในเรื่องเป็นบุคคลและเรื่องราวที่สมมติขึ้นเพื่อความบันเทิง หากมีส่วนใดส่วนหนึ่งของเรื่องมีความสอดคล้องหรือเกี่ยวพันกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ผู้เขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

    ตอนที่ 1 : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6919407/W6919407.html
    ตอนที่ 2 : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6957962/W6957962.html
    ตอนที่ 3 : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6986372/W6986372.html

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    4

    “เรากำลังจะถามณตเรื่องอาวุธอยู่พอดี” อินทุอรบอก ชวนให้ประณตเดินลงทางบันได “แผลถูกแทงของคุณนิกษ์ไม่ใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลางไม่กี่มิลลิเมตร แต่ก็ลึกลงไปถึงปอด เราอยากรู้ว่า ดาบที่ณตเจอตกอยู่ในห้องมีลักษณะเป็นแบบไหน”

    “เส้นผ่านศูนย์กลางของปลายดาบเอเป้กว้างกว่าขนาดแผลที่อินบอกเยอะอยู่เหมือนกัน” เขาใช้นิ้วกะขนาดของปลายดาบ และขยายมือสองข้างออกห่างกันเป็นระยะเท่ากับความยาวของใบดาบให้เธอดู “ดาบที่เจอในห้อง เปื้อนเลือดเป็นทางยาวลงมาจนเกือบถึงโกร่งแน่ะ... ดูแล้วไม่สัมพันธ์กับลักษณะบาดแผลที่อินว่าเลย”

    “แต่ที่สำคัญกว่า คือ มันเป็นดาบที่แทงคนไม่เข้าเสียด้วยน่ะสิ”  

    ประโยคสุดท้ายทำให้คนที่เดินมาด้วยกันถึงกับชะงัก สะดุดขาตัวเอง คะมำไปข้างหน้า

    แพทย์สาวยกมือทาบอก ถอนใจเฮือก ก่อนโบกมือบอกเพื่อนที่คว้าแขนเธอเอาไว้ได้และปล่อยมือทันทีที่เห็นเธอทรงตัวเองได้แล้วว่า ไม่เป็นอะไร เพียงแต่ตกใจเล็กน้อยเท่านั้น “เราไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย”

    อดีตสมาชิกชมรมฟันดาบของมหาวิทยาลัยพยักหน้ายืนยัน “ปลายดาบมีสปริงติดอยู่ ใบดาบไม่มีคม และมีความยืดหยุ่นสูง ถึงจะปะทะเข้ากับตัวจัง ๆ ก็จะงอ ไม่ทะลุเข้าเนื้อ”  

    “แต่ก็น่าจะเจ็บอยู่นะ” เธอยิ้มแหย เมื่อนึกภาพตามคำอธิบาย

    เขาแตะสีข้างที่ถูกดาบของนิกษ์แทงเข้าอย่างจังระหว่างซ้อม “นิดหน่อยน่ะ… ไม่มากหรอก”

    “มีอีกเรื่องหนึ่งที่เรายังสงสัย...” เธอเอ่ยขึ้น หลังคิดอะไรบางอย่างอยู่เงียบ ๆ ครู่หนึ่ง “พี่เต้นบอกว่า เจอน้องต่อถือดาบอยู่ในมือ ปลายดาบแหย่เข้าไปในปลั๊กไฟ แต่ก็เตะดาบออกจากมือต่อได้สบาย แสดงว่า ต่อไม่มีอาการเกร็งเพราะถูกไฟดูด เราดูแล้วก็ไม่มีร่องรอยอะไรบนร่างกายที่ฟ้องว่าถูกไฟดูดเลย...”

    อินทุอรหยุดนิดหนึ่งเพื่อเรียบเรียงคำถาม “นี่แสดงว่า ดาบที่ใช้ในกีฬาฟันดาบ เป็นอุปกรณ์ที่ไม่นำไฟฟ้าด้วยใช่ไหม ณต”

    ชายหนุ่มยิ้มให้เพื่อนสมัยเรียน “เรียกว่า ‘อุปกรณ์ที่มีฉนวนไฟฟ้าอย่างดี’ น่าจะดีกว่านะ... เราต้องต่อสายไฟเข้ากับโกร่งดาบ โยงเข้าบอดี้คอร์ด แล้วลากไปต่อกับเครื่องอีกที เวลาแทงดาบเข้าเป้า สวิตช์ที่ปลายดาบก็จะถูกกดลงให้ไฟครบวงจร แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟฟ้ารั่วเข้าตัวนักกีฬา ด้ามและโกร่งดาบที่มือนักกีฬาต้องสัมผัสโดยตรงก็เลยต้องทำจากวัสดุที่เป็นฉนวนไฟฟ้า”

    “ตรงนี้แหละ เป็นอีกเรื่องที่เราว่าแปลก...” เขาเล่าเสริม “ถ้าต่อคิดฆ่าตัวตายจริง เขาคงไม่เลือกวิธีนี้ แต่ถ้าลองคิดในอีกมุมหนึ่ง ถ้าต่อเป็นคนทำร้ายคุณนิกษ์จริง ก็อาจเป็นไปได้ที่เขาจะจัดฉากให้เราสงสัยว่า คนที่ไม่มีความรู้ในเรื่องดาบเลยเป็นคนทำอยู่เหมือนกัน”

    “ณตสงสัยต่อด้วยอย่างงั้นเหรอ” แพทย์สาวถาม

    เขาโคลงศีรษะ “ไม่เชิงหรอก อิน แค่ยังไม่อยากตัดออกจากรายชื่อผู้ต้องสงสัย... แต่เราคิดว่า เหตุผลเรื่องทำไปเพราะบันดาลโทสะ หรือความแค้นส่วนตัวที่สะสมมานานยังมีน้ำหนักน้อยไปหน่อย”

    “เข้าใจแล้วละ” เธอพยักหน้า แต่แล้วก็ขมวดคิ้ว “กลับมาที่เรื่องอาวุธอีกทีเถอะ ณต ถ้าไม่ใช่ดาบ แล้ว ของแหลมเป็นแท่งกลม ยาวประมาณ 2-3 นิ้ว เส้นผ่านศูนย์กลางไม่กี่มิลลิเมตรเนี่ย คืออะไร… มีใครพบของลักษณะทำนองนี้ในที่เกิดเหตุบ้างหรือเปล่า”  

    “ไม่พบของลักษณะที่ว่าเลย ทั้ง ๆ ที่มันควรจะอยู่ที่นั่นแท้ ๆ” นายตำรวจหนุ่มบอก และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่คนฟังซึ่งก้าวลงมาถึงชั้นล่างของอาคารแล้วต้องสะดุดใจกับคำพูดของเขา  

    “ณตรู้เหรอว่ามันคืออะไร”

    “พอเดาออกว่ามันน่าจะเป็นอะไร” เขาแก้ประโยคของเธอเสียใหม่ “เราคิดว่า คงเป็นไขควงปากแบน ที่ใช้สำหรับไขนอตตัวเล็ก ๆ อย่างนอตที่กรอบแว่นตา หรือไม่ก็เป็นไขควงขนาดเล็กอันอื่นที่อยู่ในชุดเดียวกัน เพราะในห้องนั้น มีแว่นสายตาที่กรอบหลุด และยังซ่อมไม่เสร็จของต่อวางอยู่บนโต๊ะ แต่กลับไม่มีอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับซ่อมแว่นสายตาเลยสักชิ้น ทั้งที่พี่เต้นบอกว่า ต่อพยายามซ่อมอยู่เมื่อวานและเอาของวางทิ้งไว้บนโต๊ะ”

    ข้อสันนิษฐานของเขาทำให้แพทย์สาวอดยิ้มไม่ได้ “วันที่ณตมาเยี่ยมพ่อที่บ้าน แล้วบอกว่าสอบเข้ารับราชการเป็นตำรวจได้ เราจินตนาการไม่ออกเลยว่า คนที่หายใจเข้าออกเป็นดนตรีแบบณตจะเป็นตำรวจแบบไหนกัน แต่มาวันนี้ เราพูดได้เต็มปากเลยว่า ณตเหมาะกับงานนี้จริง ๆ”

    พูดแล้ว เธอก็หัวเราะเบา ๆ เมื่อคนที่เธอเคยเรียกว่า ‘หัวหน้า’ บ้าง ‘ประธาน’ บ้างสมัยอยู่ชมรมได้แต่ยิ้มเก้อ ๆ ไม่เห็นด้วย แต่ไม่รู้จะแย้งอย่างไร ก็เลยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเสียดื้อ ๆ เช่นทุกครั้งที่ถูกชมซึ่งหน้า

    “พี่เต้นคุยเรื่องในสมาคมฟันดาบให้อินฟังหรือเปล่า” เป็นคำถามกว้าง ๆ ที่คนฟังจะตอบทางใดก็ได้

    หญิงสาวพยักหน้ารับ และชี้บอกทางลัดไปยังร้านสะดวกซื้อให้เขารู้ “เราถามพี่เต้นเกี่ยวกับตัวคุณนิกษ์น่ะ... เราทึ่งเขามากนะ ที่ข้ามอุปสรรคอะไรมาได้ตั้งมากมาย อย่างเรื่องเป็นดิสเล็กเซียอ่านหนังสือไม่ออก แต่ก็พยายามบันทึกเสียงเอาไว้เรียน จนตามคนอื่นทัน และพอจะเขียนอ่านออกบ้าง แถมยังสร้างจุดเด่นของตัวเองขึ้นมา ด้วยการเป็นนักกีฬาที่ทุกคนต้องยอมรับฝีมืออีกต่างหาก...”

    “แต่ไม่รู้เคราะห์กรรมอะไรของคุณนิกษ์นักหนา มาอยู่เมืองไทย แทนที่จะได้ดี กลับต้องมาเจอกับเรื่องแย่ ๆ สารพัด” เธอส่ายหน้าระอาใจกับเรื่องที่ได้รับรู้จากปากของอุเทน “พี่เต้นบอกว่าคุณนิกษ์กับต่อจะมาปรึกษาณตเรื่องสมาคมฯ จ่ายเงินให้นักกีฬาไม่ครบ แล้วยังมีเรื่องยักยอกเงินบริจาคที่คุณนิกษ์กับพ่อให้สมาคมฯ อีก แต่กลับมีเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อน”

    “ณตคิดว่า จะเอาเรื่องทางสมาคมฯ อย่างที่คุณนิกษ์ต้องการได้ไหม” เธอถาม “ถ้ามันเป็นอย่างที่เขาพูดจริง ๆ เราก็ไม่อยากให้คนขี้โกงลอยนวลไปเลย”

    “ตอนแรกที่ฟังคร่าว ๆ จากพี่เต้น เรานึกไม่ออกเหมือนกันว่า จะเอาพยานหลักฐานการจ่ายเงินจากไหนมาประกอบการดำเนินการทางกฎหมายดี” ชายหนุ่มตอบตามตรง และรีบขยายความเมื่ออีกฝ่ายฟังแล้วเริ่มหน้าเสีย “แต่เรารู้สึกว่า คุณนิกษ์ค่อนข้างมั่นใจว่าจะเอาเรื่องได้ แสดงว่า เขาอาจจะมีหลักฐานเกี่ยวกับสัญญาการจ่ายเงิน และการบริจาคเงินในรูปแบบอื่นอยู่ แต่จะมีอย่างที่เราคิดหรือไม่ เป็นอะไร คงต้องรออีกสักพัก และภาวนาให้คุณนิกษ์กับต่อปลอดภัยด้วย”  

    จริงอย่างที่เขาว่า ไม่มีอะไรที่สำคัญเกินกว่าเรื่องประการหลังอีกแล้วในนาทีนี้... แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่ยังคาใจ

    “แล้วผู้จัดการทีมล่ะ ณต... เราฟังพี่เต้นพูดถึงเขาแล้วเราก็อดแปลกใจไม่ได้ที่พี่เต้นบอกว่า ไม่หวังว่าจะได้เห็นหน้าของผู้จัดการทีมที่นี่หรอก ถึงต่อมาจะถามถึง แต่สายตาของพี่เต้นตอนฟังคำตอบจากณตบอกว่า เขาไม่คาดหวังอย่างที่บอกเราจริง ๆ”

    “ณตคงพูดกับเขาให้มาที่โรงพยาบาลใช่ไหม เขาถึงยอมมากับณตได้” เธอแตะแขนคนข้างตัวที่เงียบไปคล้ายครุ่นคิดบางอย่างอยู่เบา ๆ  

    แต่ไหนแต่ไรมา เพื่อนของเธอคนนี้ใจเย็นและมีเหตุมีผลจนโน้มน้าวใจคนที่เขาสนทนาด้วยให้คล้อยตามได้ไม่ยากนัก ทว่าคราวนี้เธอกลับต้องประหลาดที่เห็นเขามีสีหน้าไม่สบายใจนักเมื่อได้ยินคำถามนี้ของเธอ

    “กลัวเสธ. สุกิจจะไม่มากับเราเหมือนกันนะ...” ประณตสารภาพ “เพราะเราก็พูดกับเขาแรงเกินไป”

    อินทุอรทำหน้าเหมือนตัวเองฟังอะไรผิดไปบางอย่าง หรือไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงพูดอะไรผิดไปบางอย่าง “อย่างณตเนี่ยน่ะเหรอ ไม่จริงมั้ง... ไปพูดกับเขาว่าไง”

    ชายหนุ่มทำท่าเหมือนไม่ค่อยอยากพูดถึงนัก แต่เมื่อเล่าเรื่องให้รู้ แพทย์สาวก็ทำตาโตอย่างไม่เชื่อหูตัวเองว่า เพื่อนจะกล้าดักคอนายทหารยศใหญ่อย่างพันโทสุกิจด้วยคำพูดประชดประชันอย่างนั้น

    จะว่าแปลกก็แปลก จะว่าไม่แปลกก็ไม่แปลก เพราะเจ้าตัวจัดว่าเป็นคนมีอารมณ์ศิลปินสูงอยู่ใช่ย่อยตามประสานักดนตรี แต่ความที่เขาเลือกจะเก็บความรู้สึกมากกว่าแสดงออกทำให้ภาพจำของเขาในสายตาใครต่อใคร คือ ชายหนุ่มที่สุภาพอ่อนน้อม ไม่เคยแสดงท่าทีแข็งกร้าวกับใคร และควบคุม ปิดบังความรู้สึกตัวเองไว้ได้อย่างมิดชิด เว้นแต่มีเหตุบางอย่างที่ทำให้เขาอดรนทนไม่ไหว ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่นานครั้งจึงจะเกิดขึ้นสักหน

    หากท้ายที่สุด เมื่ออารมณ์สงบลง เขาก็จะกลับมาเป็นคนเดิมที่ทุกคนรู้จัก และไม่เคยไม่เสียใจกับการกระทำที่ผิดพลาดของตัวเองเลยแม้แต่หนเดียว... ในเวลานี้ก็เช่นกัน

    “ตอนเสร็จเรื่องที่แฟลตก็ขอโทษเขาไปแล้วละ ดีที่เขาไม่ถือ แต่เราก็รู้สึกไม่ดีเลยที่ทำแบบนั้นลงไป”

    “เป็นตำรวจแล้วดุขึ้นนะ” หญิงสาวหยอก “แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ เราว่าคนที่ทำให้ณตโมโหจนนอตหลุดได้เนี่ย ไม่ธรรมดาก็แล้วกัน”  

    เขายิ้มเจื่อนอย่างคนที่ยังรู้สึกผิดไม่หาย แต่ในขณะเดียวกันก็อดขุ่นเคืองใจกับเรื่องที่ต้องย้อนนึกขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ “จริง ๆ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเราหรอก แต่อดเคืองไม่ได้ที่เห็นคนเป็นผู้จัดการทีมมองเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเล็ก นักกีฬาเจ็บไปตั้งสองคน แทนที่จะห่วงว่าคนเป็นตายร้ายดียังไง กลับห่วงสมาคมฯ จะไม่ได้งบประมาณ ห่วงภาพพจน์สมาคม ทำเหมือนคุณนิกษ์กับต่อเป็นฝ่ายผิดที่ก่อเรื่องขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น”

    เริ่มแรกหวังที่ได้ประโยชน์จากนักดาบหนุ่ม สมาคมยกให้นิกษ์เป็น ‘Golden boy’ สมดังความหมายในชื่อภาษาไทยของเขา แต่เมื่อได้เขาทุกอย่างก็กลับหน้ามือเป็นลังมือ ผู้บริหารสมาคมทำตัวไม่ต่างจากไก่ได้พลอย ปล่อยปละละเลยของดีในมือตัวเอง จากคนที่ได้รับการยกย่องว่าดีเลิศ กลับมีค่าเท่ากับ ‘Nix’ คือ แทบไม่มีค่า ไม่มีความหมายอะไรเลย...

    ว่าแล้ว เขาก็ถอนใจเฮือก “แต่มันก็ไม่เหมาะสมที่เราจะไปพูดกับคนเป็นผู้ใหญ่กว่าแบบนั้นอยู่ดี...”



    (มีต่อนะคะ)

    จากคุณ : ปิยะรักษ์ - [ 28 ก.ย. 51 01:34:15 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom