อีกเรื่อง...ที่พิสูจน์ไม่ได้ 11 กระท่อมกลางน้ำ
แสงแดดอ่อนยามเช้าสาดส่องผ่านช่องม่านหน้าต่างรถตู้ที่ผมทนนั่งมาด้วยอาการปวดเมื่อยตลอดทั้งคืน ผมลืมตาขึ้นและมองผ่านช่องนั้นออกไปยังบรรยากาศภายนอกตัวรถ อาการแสบตาอันเนื่องจากการนอนครึ่งหลับครึ่งตื่นตลอดทั้งคืนส่งผลให้ต้องปรับสายตาให้เข้าที่อยู่พักหนึ่ง
...บ่อบำบัดน้ำเสียประจำจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน...
สถานที่ซึ่งผมและคณะจำนวนแปดคนต้องอยู่ปฏิบัติงานเป็นระยะเวลาทั้งสิ้นแปดวัน ด้วยความกว้างใหญ่มหาศาลของพื้นที่ บ่อบำบัดขนาดสนามฟุตบอลไม่ต่ำกว่าสามสิบบ่อถูกขุดโดยทิ้งระยะห่างระหว่างกันเล็กน้อย พื้นที่ที่เหลืออีกมายมายยังคงเป็นพื้นดินซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยวัชพืชนานาชนิด
หากจะว่าไปแล้ว ด้วยบรรยากาศที่ค่อนข้างจะสบายๆ และสวยงามของที่นี่ ในช่วงเวลากลางวันมันสามารถใช้เป็นที่เที่ยวหรือที่พักผ่อนหย่อนใจได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวสำหรับผู้ที่พักอาศัยอยู่ในบริเวณนี้
เมื่อถึงที่หมายซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในอาณาเขตของบ่อบำบัดประมาณห้าร้อยเมตรจากถนนใหญ่ บรรดาอุปกรณ์ต่างๆ ก็ถูกลำเลียงลงจากรถและตรวจสอบความพร้อมใช้งาน
...สำหรับหน้าที่ของพวกผม...
การปฏิบัติงานที่ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ถืออุปกรณ์สุ่มตัวอย่างน้ำและเดินลึกเข้าไปในเขตบ่อบำบัด เปิดฝาท่อตามจุดที่ถูกกำหนดไว้ในแผนผังก่อนจะจุ่มอุปกรณ์ที่เตรียมมาลงไปในนั้นและตักเอาตัวอย่างน้ำเหล่านั้นกลับมาทดสอบ
...เพียงแต่ว่า...สำหรับภารกิจนี้ต้องทำตลอด 24 ชั่วโมง...และนั่นทำให้พวกเราแบ่งออกเป็นสองกลุ่มสำหรับอยู่ช่วงเช้าและช่วงดึก
...และในวันแรก...ผมก็ได้อยู่กะดึกระหว่างเวลาสองทุ่มถึงแปดโมงเช้า...
...ในเวลาค่ำคืน ที่บ่อบำบัดแห่งนี้ไม่มีแสงไฟจากหลอดไฟฟ้าแม้เพียงดวงเดียว...ในขณะที่ผมกำลังจอดจักรยานและก้มตัวลงเปิดฝาท่อที่อยู่ริมคลองนั้น สายตาผมจ้องมองลงไปในท่ออันดำมืดอย่างหวาดระแวง ก่อนที่จะมองตรงไปเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกเดียวกัน
ความมืดมิดที่โอบคลุมอยู่ในบรรยากาศรอบตัวเวลานี้ส่งผลให้ร่างกายรู้สึกเย็บวาบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ และถึงแม้ระยะการมองเห็นจะเหลือไม่มาก แต่ความทรงจำในช่วงเช้าของผมก็คอยที่จะบอกผมอยู่ตลอดเวลาในสิ่งที่ได้เห็นในช่วงที่แสงสว่างยังคงมีเต็มที่
...ตรงข้ามคลองตรงหน้าของผมในขณะนี้...สุสานจำนวนนับไม่ถ้วนเร้นตัวอยู่ในเงามืดเหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง...
ในช่วงเวลาแบบนี้ เพียงแค่ลมพัดหรือเงาใบไม้ไหวก็สามารถสั่นคลอนประสาทของผมได้อย่างง่ายดาย
ด้วยความระแวงระวังทุกครั้งที่ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ทุกๆ ชั่วโมงจนกระทั่งเช้าทำให้ผมเกิดความเครียดและดูเหนื่อยอ่อนกว่าที่ควรจะเป็นอย่างเห็นได้ชัดเจน
...แต่คืนแรกก็ผ่านพ้นไปด้วยดีท่ามกลางความโล่งใจของผม...
อาจจะด้วยสาเหตุนี้ที่ทำให้คนในคณะทำงานสังเกตถึงความวิตกกังวลของผมได้ ดังนั้น วันต่อมาผมจึงถูกเปลี่ยนให้อยู่ช่วงเช้าแทน ถึงแม้ในความรู้สึกเหมือนเอาเปรียบคนอื่นอยู่ก็เถอะ
...แต่แน่นอน...ลึกๆ แล้วผมดีใจที่จะไม่ต้องทนกับบรรยากาศอันน่าวังเวงอีกเจ็ดคืนที่เหลือ...
ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปด้วยดีและไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากที่ผมได้เปลี่ยนมาทำงานอยู่ช่วงเช้าแทน
...ถ้าไม่เพียงแต่...ในเช้าวันที่สามของการปฏิบัติงานมีคำสั่งใหม่จากผู้ว่าจ้าง...
ในคำสั่งนั้นระบุให้ผมต้องเดินไปจดข้อมูลบางอย่างที่สถานีบำบัดน้ำตั้งแต่ช่วงเวลาบ่ายสามโมงจนถึงประมาณหนึ่งทุ่มในเวลาที่เหลืออีกหกวัน ซึ่งนั่นเองทำให้ผมต้องเดินออกจากบริเวณพื้นที่ของบ่อบำบัดไปตามถนนสายหลักเป็นระยะทางประมาณหนึ่งหรือหนึ่งกิโลเมตรครึ่งโดยประมาณ เพื่อไปยังสถานีบำบัดน้ำอันเป็นที่หมาย
...และนั่นเอง...ที่ทำให้ผมได้พบเห็นอะไรที่ผมไม่ได้สังเกตตั้งแต่วันแรกที่ผมต้องมาอยู่ที่นี่...
ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่ปากทางเข้าบ่อบำบัดน้ำมีวัดอยู่แห่งหนึ่ง และที่ระหว่างทางเดินเข้าไปยังที่ปฏิบัติงานมีกระท่อมอยู่หลังหนึ่ง
มันเป็นกระท่อมที่ปลูกยื่นเข้าไปในบ่อบำบัดน้ำซึ่งมีสภาพทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ประตูและหลังคาดูเหมือนจะห้อยร่องแร่งเมื่อมองดูจากระยะไกล สะพานเชื่อมระหว่างตัวกระท่อมและถนนดินลูกรังก็มีสภาพไม่แตกต่างไปจากตัวกระท่อมแม้แต่น้อย
ช่วงหนึ่งทุ่มที่ผมปฏิบัติหน้าที่เสร็จจากสถานีบำบัด ท้องฟ้าเริ่มถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดแล้ว ในระหว่างทางเดินกลับสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สูงและวัชพืชรกครึ้มส่งผลให้ผมอดที่จะชำเลืองมองหน้ามองหลังอย่างวิตกจริตไม่ได้ บ่อยครั้งที่ผมขนลุกอย่างไม่มีสาเหตุ และบ่อยครั้งที่เกิดจากสิ่งวูบไหวรอบกาย
เมื่อถึงปากทางเข้าบ่อบำบัดผมก้มหน้าก้มตางุดๆ เดินผ่านวัดโดยหวังว่าจะไม่มองอะไรเลยในอาณาเขตของวัดนั้นซึ่งผมก็ทำได้สำเร็จ และเมื่อผมเดินผ่านกระท่อมกลางน้ำที่เห็นเมื่อช่วงกลางวันผมก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ ไม่มีแสงไฟหรือเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมาจากกระท่อมหลังนั้น
...มันยังคงเป็นเพียงเงาดำอันเงียบเชียบที่ตั้งตระหง่านตัดกับรอยต่อของขอบฟ้าและขอบน้ำเท่านั้น...อีกหนึ่งคืนผ่านไปอย่างปกติ ท่ามกลางความหวาดระแวงเล็กๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง...
วันที่สี่และวันที่ห้าผ่านพ้นไปเช่นเคย ท่ามกลางความปกติอย่างที่ผมอยากให้มันเป็น...วัดยังคงเงียบและชวนวังเวงเหมือนเคย...และกระท่อมกลางน้ำอันโดดเด่นยิ่งในเวลากลางคืนก็ยังคงเป็นเช่นเคยเช่นกัน...
...เงียบกริบ...และไร้วี่แววของผู้อยู่อาศัย...
หนึ่งทุ่มของวันที่หกของการปฏิบัติหน้าที่ ผมเริ่มต้นเดินทางกลับจากสถานีบำบัดน้ำเสียเช่นเดียวกับวันก่อนๆ ด้วยความเคยชินและคลายความกังวลมากขึ้น ความมืดและการเคลื่อนไหวรอบตัวในเวลาที่ท้องฟ้ามืดเริ่มไม่อาจทำให้ผมสนใจและหวั่นวิตกเหมือนวันก่อนๆ ที่ผ่านมา
...ทางที่ผมเดินอยู่นี่...มันมืดแล้วก็เงียบชวนวังเวงจริงๆ...ความคิดแวบเข้ามาในสมองขณะเดินกลับอย่างไม่เร่งรีบอะไร
...ถึงแม้จะเป็นถนนเส้นหลักที่ใช้ในการสัญจรโดยรถยนต์ แต่ในเวลาเพียงแค่หนึ่งทุ่ม สำหรับที่นี่ รถราสักคันก็ไม่มีให้เห็นเสียแล้ว...สายตาสังเกตสิ่งรอบข้างและคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
เมื่อเดินถึงทางเข้าบ่อบำบัด เปลวแสงสีส้มสว่างไสวกลุ่มใหญ่ปรากฏอยู่ในอาณาเขตวัดซึ่งนั่นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองอย่างลืมตัว
แสงสีส้มที่ผมเห็นเป็นแสงไฟที่ได้จากการเผาอะไรบางอย่าง กลุ่มควันหนาดำทะมึนลอยเป็นลำออกมาจากปล่องสูงถัดจากกำแพงวัดเข้าไปเพียงไม่กี่เมตร บุคคลที่ยืนอยู่ล้วนแต่งชุดดำ
...ขนทั่วกายแข่งกันลุกอย่างไม่มีสาเหตุ...สันหลังเย็นเยือก...
ผมก้มหน้างุดลงแทบจะในทันที จังหวะก้าวเท้าเร็วขึ้นโดยอัตโนมัติ สายตาสอดส่องไปมาตลอดเวลา ในขณะที่หูคอยรับฟังเสียงอันผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้นรอบทิศทาง
...ทันใดนั้น...อะไรบางอย่างอยู่ทางขวามือของผม...
...และเมื่อหันกลับไปมอง...
กระท่อมกลางน้ำหลังนั้นนั่นเอง ทั้งๆ ที่มันน่าจะเป็นเพียงเงามืดโดดเด่นตัดกับแสงสะท้อนของน้ำในบ่อเช่นเดียวกับทุกๆ ค่ำคืนที่เดินผ่าน หากแต่ในวันนี้จุดแสงสีส้มกลับปรากฏอย่างโดดเด่นลอดผ่านผนังกระท่อมอันผุพังนั้น
...อาจจะเป็นเพราะความไม่แน่ใจหรือไม่ก็ความกลัว ทำให้ผมไม่อาจละสายตาจากแสงสีส้มวิบๆ วับๆ นั้นได้...
และในขณะที่กำลังมองอยู่นั้นเอง เงาดำหลายเงาเคลื่อนตัวออกจากประตูอันผุพังและเดินมาตามทางเดินไม้ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมตัวกระท่อมและทางเดินซึ่งผมกำลังใช้สัญจรอยู่
...เงาหนึ่งเหมือนเด็ก...และอีกสองสามเงาเป็นเหมือนสุนัขตัวเขื่อง...
เป็นอีกครั้งที่ผมเพ่งสายตาเพื่อที่จะพยายามดูให้ชัดและให้แน่ใจสิ่งที่ผมเห็น แต่เสี้ยววินาทีถัดจากนั้นมันทำให้ผมรู้สึกว่าผมได้ตัดสินใจทำอะไรที่ผิดพลาดไปเสียแล้ว สิ่งที่ผมทำเหมือนจะเป็นการกระตุ้นเงาดำเหล่านั้น หรือไม่ก็อาจจะเหมือนเป็นการประกาศแก่เงาเหล่านั้นว่า...ผมอยู่ตรงนี้...
...เงาเด็กเริ่มวิ่งเหยาะๆ ออกมา ซึ่งเงาสุนัขที่รายล้อมอยู่ก็ทำเช่นเดียวกัน...เมื่อเห็นดังนั้น ผมหลบตาและเริ่มเพิ่มความเร็วในการเดินขึ้นอีกครั้งทันที
เมื่อเดินเลยสะพานไม้มาเล็กน้อย ผมชำเลืองกลับไปมองสิ่งที่ทำให้ผมหวาดผวาเมื่อสักครู่อย่างกล้าๆ กลัวๆ...และสิ่งที่ผมเห็นก็ทำให้ความหวาดกลัวในจิตใจพลุ่งพล่านมากขึ้นอีกอย่างช่วยไม่ได้...เงาเด็กกำลังชี้นิ้วมาทางผมพร้อมๆ กับเงาสุนัขทั้งสามตัวกระโจนอย่างรวดเร็วมาตามสะพานไม้โดยไร้เสียงเห่าแม้เพียงน้อยนิด
...เร่งฝีเท้าขึ้นอีก...มันกำลังจะพ้นสะพานไม้มาแล้ว...เงาเด็กนั่นก็เช่นกัน...มันวิ่งตามเงาสุนัขเหล่านั้นมาติดๆ...
...วิ่งหนี...ต้องวิ่ง...ใช่แล้ว...ต้องวิ่งหนีแล้ว...
...มันพ้นสะพานไม้มาแล้ว...มัน...มันอยู่หลังเราห่างไปไม่กี่เมตรแค่นั้นเอง...
ฮี่ๆๆๆๆ....ๆๆๆ
เหมือนจะรู้ความคิดของผม จู่ๆ เสียงหัวเราะแหลมเล็กอันชวนขนหัวลุกก็ดังขึ้น...มันเป็นเสียงหัวเราะที่น่าเกลียดน่ากลัวและเสียดแทงไปถึงหัวใจจริงๆ
...และ...
ยังไม่ทันจะได้คิดหรือได้ทำอะไรต่อ...จู่ๆ ลำแสงหนึ่งก็ฉายจากด้านหลังมายังตำแหน่งที่ผมยืนอยู่
เฮ้ย...ขึ้นรถ
ผมหันกลับไปตามเสียงและพบว่ารถตู้อันคุ้นเคยจอดอยู่ด้านหลัง ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่กะกลางคืนจะมาเปลี่ยนแล้ว...และโดยไม่รีรอ ผมดีดตัวขึ้นรถตู้ในทันที ไม่แม้แต่จะชำเลืองกลับไปดูด้านหลัง
อากาศที่ถูกปรับจนเย็นสบายบนรถตู้ในเวลานี้กลับเย็นเฉียบไปถึงไขสันหลัง ทั้งๆ ที่หลายๆ คนกำลังคุยกัน แต่รอบตัวของผมกลับดูเหมือนถูกโอบคลุมด้วยบรรยากาศอะไรบางอย่าง
...เงียบเชียบ...น่าสงสัย...และเต็มไปด้วยคำถามในใจ...
...ทำไม...กระท่อมที่ผมไม่เคยเห็นใครเข้าออกมาตลอดระยะเวลาหลายวันถึงมีเด็กเดินออกมา...
...ทำไม...พอเห็นผมแล้วต้องวิ่งมาหา...แล้วยังเสียงหัวเราะราวอสูรกายนั่น...
...ทำไม... ผมไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ ไม่ได้ยินเสียงรถแล่น และไม่เห็นแสงไฟหน้ารถเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งแสงไฟสาดส่องมายังผมแล้ว...
อาจจะเป็นโชคดีของผมก็เป็นได้ที่วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ผมได้รับคำสั่งให้ไปจดข้อมูลที่สถานีบำบัด แต่ถึงกระนั้นความสงสัยทั้งหมดในคืนวันที่หกของการปฏิบัติงานก็ยังคงคิดค้างอยู่ในใจ
ช่วงเวลาการปฏิบัติงานที่เหลืออยู่ ทุกครั้งที่มีโอกาสในเวลากลางวัน ผมอดที่จะเดินผ่านและชำเลืองมองไปยังกระท่อมหลังนั้นไม่ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงนั่งรถกลับตอนเปลี่ยนกะทำงานในเวลาสองทุ่ม
แต่จนแล้วจนรอด จนกระทั่งวันสุดท้ายของการปฏิบัติงาน ผมก็ยังคงไม่เห็นใครเดินเข้าออกจากกระท่อมหลังนั้นอีกเลย หรือแม้กระทั่งแสงสีส้มที่ฉายออกมาในเวลากลางคืนก็เช่นกัน
...ถ้าอย่างนั้น ในคืนนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...
จากคุณ :
KTH
- [
4 ต.ค. 51 19:58:34
A:61.91.162.34 X: TicketID:187608
]