ความคิดเห็นที่ 1

ต่อจากนั้นผมจึงขับรถไปที่บ้านแห่งหนึ่ง ผมขับรถประมาณเกือบสามชั่วโมงเพราะบ้านนั้นอยู่ไกลจากตัวเมืองมากพอสมควรและผมก็ไม่เคยไปบ้านหลังนั้น ผมจึงออกนอกเส้นทางไปบ้าง แต่นั้นไม่ใช่ปัญหา เพราะผมเป็นคนขับรถหลงทิศทางอยู่แล้ว พูดไปใครๆ ก็รู้ว่าผมเป็นเช่นนั้น ผมจึงเผื่อเวลาในการขับรถเป็นประจำเวลาจะขับรถออกนอกเส้นทาง ผมขับรถมาเรื่อยๆ จนมาถึงแยกแล้วก็เลี้ยวเข้าซอยตามที่แผนที่บอกเอาไว้ จนมาถึงบ้านหลังหนึ่ง ผมเช็คกับที่อยู่ที่ผมได้รับมาว่าถูกต้อง ผมจึงคว้าตุ๊กตาหมีที่ผมซื้อมา ดับเครื่องยนต์ แล้วเดินไปที่บ้านหลังนั้น
มันเป็นบ้านไม้หลังเก่าที่ไม่ได้อยู่ในจินตนาการผมแม้แต่น้อย เพราะผมคิดว่า เธอ น่าจะอยู่สุขสบายมากกว่านี้หลังจากที่เราเลิกกันเกือบยี่สิบปี ผมไม่เคยเจอหน้าเธอหลังจากที่เราทั้งคู่แยกย้ายกันไปคนละทาง แต่ผมจำชื่อเธอได้ ผมเลยค้นชื่อเธอจากอินเตอร์เน็ตเอย สมุดโทรศัพท์เอย แล้วก็เจอชื่อ ที่อยู่ พร้อมเบอร์โทรศัพท์ ผมเลยตัดสินใจมาหา
เธอ คือรักแรกของผมตอนที่ผมอายุสิบหก เธอทำงานอยู่ร้านหนังสือการ์ตูนในห้างแถวบ้านผม
ใช่ เธอไม่ได้เรียนหนังสือ เธอบอกว่าเธอจบ ป.6 แล้วก็ต้องออกมาหางานทำ เช่าหออยู่ด้วยตัวเอง เพราะพ่อแม่ทิ้งเธอไปตั้งแต่เด็กๆ เธอมีพี่น้องแต่พี่น้องของเธอก็ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองด้วยกันทุกคน -- เธอเป็นเด็กผู้หญิงน่ารัก ผมยาว ตาโต พูดจาดี ขยันหาเรื่องคุยเป็นประจำ เด็กผู้ชายส่วนใหญ่จึงมาจีบเธอและหยิบหนังสือการ์ตูนไปด้วยเล่มสองเล่ม ผมเองก็เช่นกัน ตอนนั้นเองที่บ้านผมจึงมีกองหนังสือการ์ตูนเท่าภูเขา บางเล่มซื้อมาก็อ่าน แต่บางเล่มซื้อมาก็ไม่ได้อ่าน ด้วยเหตุผลที่ว่า ผมอยากไปเห็นหน้าเธอเท่านั้นเอง
ผมเองเป็นคนไม่กล้าจีบผู้หญิงหรอก ผมเลยให้เพื่อนไปถามชื่อให้ และจากนั้นมาผมก็รวบรวมความกล้าที่จะเข้าไปคุยกับเธอ จนกระทั่งเราได้นัดไปดูหนัง ไปเที่ยวด้วยกันเป็นบางครั้ง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนไม่จริงจังเท่าไหร่นัก เพราะยังเป็นเด็กกันทั้งคู่ จึงเรียกว่า เป็นแฟนกัน ไม่ได้เต็มปากเต็มคำ คงเป็นเพราะว่าผมเป็นคนกลัวการผูกมัด ไม่ได้อยากเป็นเจ้าของเลย ไม่ค่อย หวงถ้าเธอจะคุยกับคนอื่น (แต่ก็ยอมรับว่ามีหวงบ้างเป็นบางครั้ง) ผมมาหาเธอทุกวันหลังเลิกเรียน ทำแบบนี้มาเกือบสองปีแล้วเธอก็ลาออกจากร้านหนังสือที่เธอทำอยู่โดยไร้คำร่ำลา เบอร์โทรที่เธอให้ไว้ก็โทรไม่ติด ถามเพื่อนๆ ของเธอในร้านพวกเขาก็บอกว่าเธอไม่ได้ติดต่อกลับมา ทำเอาผมเศร้าไปเกือบสองเดือนแล้วเธอก็ติดต่อมาทางจดหมาย
ข้อความในนั้นเขียนบอกว่า เธอต้องลาออกเพราะเจ้านายจับได้ว่าเธอมีลูกกับเด็กผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอนั้นแหละ เดือนหน้าเธอจะคลอดแล้ว เธอบอกว่าผมจะได้เป็นคุณปู่แล้วนะ มาเยี่ยมหลานไหม?, ในใจผมตอนนั้นมันรู้สึกชาจนบอกไม่ถูก ผมไม่รู้จะทำตัวยังไง ความคิดอีกข้างบอกให้ไป แต่อีกข้างสั่งให้ยั้งไว้ ในที่สุดผมก็ไม่ได้ไป
เธอโทรมาหาผมหลังจากนั้นไม่นาน แต่ผมก็ได้แต่ถามว่า เป็นยังไงสบายดีไหม? แล้วเธอก็เงียบไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมเองก็เช่นกันเพราะไม่รู้จะเริ่มประโยคไหนก่อนดี สบายดีไหม? ลูกเป็นอย่างไรบ้าง? ทุกอย่างอยู่ในห้วงความคิด เสียแต่ว่าไม่ได้พูดออกไป ความเงียบเข้าครอบคลุมเป็นเวลาเนิ่นานจนกลายเป็นความอึดอัด สักพักเธอก็ตัดสายทิ้ง เธอโทรมาแบบนี้ประมาณห้าครั้ง แล้วเธอก็เป็นคนตัดสายทิ้งทุกครั้ง แล้วเธอก็จากไป เธอไม่ได้เขียนจดหมานหรือโทรศัพท์มาหาผมอีก นับตั้งแต่วันนั้นไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่คิดถึงเธอ เธอยังเป็นผู้หญิงที่น่ารักของผมเสมอ เสมือนเวลาได้หยุดนิ่ง ภาพวันเก่าๆ ได้ถูกเก็บไว้แบบนั้นตลอดไป
ฉะนั้นการตัดสินใจครั้งนี้ของผมจึงเป็นการตัดสินใจที่ต้องใช้ความกล้าหาญพอสมควร เพราะผมไม่รู้ว่าถ้าผมได้เจอเธอ ความทรงจำ วันเวลาแสนดีๆ เหล่านั้นจะถูกเปลี่ยนไปหรือไม่ แต่ผมเองก็พร้อมจะยอมรับหากว่ามันถูกเปลี่ยนไป
ผมเตรียมใจไว้แล้ว
ผมกดออดหน้าบ้าน สักพักก็มียายคนหนึ่งเดินมาที่รั้วแล้วถามผมว่า สวัสดีค่ะ, ผมเลยถามท่านไปว่านี่คือบ้านของเธอใช่ไหม ยายบอกว่า ใช่, ตอนนั้นเองในใจของผมก็เต้นระรัวเพราะความประหม่า แล้วผมก็ถามไปอีกว่า เธออยู่ไหมครับ?, ยายอึ้งไปสักพักก่อนบอกว่าเธอเป็นโรคมะเร็ง เสียชีวิตไปเมื่อสองเดือนก่อน เท่านั้นแหละจิตใจของผมก็อ่อนแอขึ้นมาทันที ผมไม่อยากจะเชื่อคำพูดของคุณยาย เลยถามไปอีกว่า เธอเสียชีวิตแล้วเหรอครับ? แล้วผมก็จบประโยคลงแค่นั้น เพราะผมทราบคำตอบแล้วแต่ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง, ยายถามว่า มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?, ผมเลยเล่าเรื่องเธอให้ท่านฟัง ท่านบอกว่า คุณนี่เองที่เธอเคยเล่าให้ฉันฟังบ่อยๆ เข้ามาสิ เข้ามากินน้ำกินท่ากันก่อน แล้วยายจะเล่าอะไรให้ฟัง
ผมก้าวเท้าไปในบ้าน ผมเห็นรูปเธอตั้งอยู่ตรงหน้าตู้โชว์ เธอกำลังอุ้มเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ผมเลยถามยายว่า แล้วลูกของเธอไปไหนครับ? ท่านบอกว่า แกออกไปเตะบอลกับเพื่อนแถวนี้แหละ เดี๋ยวก็กลับมา, ท่านไปชงน้ำชาร้อนให้ผม เรานั่งกันอยู่ที่โซฟา บ้านหลังนี้ค่อนข้างเงียบ มีแต่เสียงลมพัดต้นไม้จากด้านนอกที่ผมพอจะได้ยิน, ท่านเริ่มเล่าว่า แกเองก็สงสารหลานสาวแกเหมือนกัน มีลูกตั้งแต่ตอนยังเล็ก ยังไม่ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นได้เต็มที่ก็ต้องมาเลี้ยงลูกตัวคนเดียว, ผมเลยถามยายว่าแล้วแฟนเธอไปไหนล่ะครับ?, ท่านบอกว่า โอ๊ย แฟนเธอน่ะเหรอ มันทิ้งเธอไปตั้งแต่ลูกมันยังพูดไม่เป็นด้วยซ้ำ แม่ผัวมันไล่เธอออกจากบ้าน เธอก็เลยไม่มีที่ไป เธอก็เลยมาพักกับยายที่นี่ มาฝากลูกไว้ให้ยายเลี้ยงแล้วก็ออกไปทำงาน หาข้าวหาปลามาให้ลูกกับยายกินนี่แหละ
ผมเลยถามยายต่อว่า แล้วเธอพูดถึงผมว่าอย่างไรบ้างครับ? ยายตอบว่า ทุกครั้งที่เธอเล่าเรื่องของคุณน่ะ เธอจะยิ้มทุกครั้ง เธอบอกว่าคุณเป็นผู้ชายที่ดี สม่ำเสมอ ขยันมาหาเธอบ่อยๆ ต่างจากผู้ชายคนอื่นที่เบื่อแล้วก็ไป เธอบอกว่าเธอคบกับคุณมานานพอดูนะ เธออยากจะกลับไปติดต่อกับคุณเหมือนเก่า เธอเลยโทรไปหาคุณ แต่ความผิดที่มันอยู่ในจิตใจของเธอบอกว่าให้เลิกติดต่อกับคุณซะ เธอเคยถามใช่ไหมว่าคุณโกรธเธอหรือเปล่าที่เธอมีลูก แล้วคุณก็บอกว่าคุณไม่โกรธหรอก เธอก็ดีใจที่คุณให้อภัย แล้วคุยไปได้สักพักคุณก็บอกว่าคุณโกรธเธอ ความจริงแล้วคุณไม่ได้โกรธเธอหรอกใช่ไหม?, ผมส่ายหน้า เปล่าครับ ผมไม่ได้โกรธเธอ แต่ผมก็เสียใจเหมือนกันที่เธอไม่ห่วงตัวเอง, ยายแกพูดต่อว่า ยายก็คิดแบบนั้นเหมือนกันนะ แล้ววันนี้ยายก็รู้ว่ายายคิดถูก เพราะถ้าคุณโกรธเธอจริงๆ คุณคงไม่กลับมาหาเธอหรอกจริงไหม? ยายดีใจนะที่คุณมาหา ไม่งั้นยายคงนอนตาไม่หลับแน่ๆเลย คงคาใจว่าเด็กผู้ชายแสนดีคนนั้นที่หลานสาวชอบพูดให้ฟังบ่อยๆ หน้าตาเป็นอย่างไร มา ตามยายมา เดี๋ยวยายจะให้ดูห้องนอนของเธอ ยายยังไม่ได้เก็บของเลย เพราะอยากให้มันอยู่ไว้เหมือนเดิม ลูกชายแกก็บอกแบบนั้นเหมือนกันว่าไม่อยากให้ของมันย้ายที่ เพราะลูกแกก็คิดถึงเธอเหมือนกัน ร้องไห้จะเป็นจะตายเมื่อรู้ว่าแม่เขาจากไป
ผมเดินเข้าไปในห้องคนเดียวโดยมียายมายืนส่งที่ประตู ผมมองดูรอบๆ ความรู้สึกในตอนนั้นเป็นความรู้สึกที่ผมบรรยายไม่ได้เลย มันเป็นความรู้สึกกึ่งทุกข์กึ่งสุข ดีใจปนความเสียใจยังไงยังงั้น ผมเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ได้กลิ่นน้ำหอม กลิ่นเครื่องสำอางของเธอ ผมเปิดลิ้นชักดูก็มีของๆ เธอเต็มไปหมด, กระเป๋าเงิน สมุดโน้ต ลิปสติก นิยาย ผมเลยหยิบสมุดโน้ตขึ้นมา มันเป็นสมุดโน้ตเล่มเก่า ผมเปิดอ่านดูแล้วก็นึกถึงความทรงจำเก่าๆ เพราะเป็นไดอารี่ของเธอสมัยที่เธอยังทำงานอยู่ที่ร้านหนังสือ เธอบันทึกมันลงทุกๆ อย่างว่าเธอทำอะไร ซื้อของอะไรบ้าง จ่ายเงินไปกี่บาทในวันหนึ่ง รวมทั้งเรื่องราวของผม
วันนี้เราทะเลาะแรงเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง ฉันทำตัวงี่เง่าอีกแล้ว แต่เขาก็เป็นฝ่ายมาขอโทษฉันเหมือนเดิม
ฉันขอโทษ
วันนี้เขาชวนฉันไปดูหนัง แต่ฉันปฏิเสธเขาไป เขาบอกฉันว่า ไม่เป็นไร เอาไว้วันอื่นก็ได้ แต่ใบหน้าเขาดูผิดหวัง ความจริงเองฉันก็อยากไปอยู่หรอก แต่ที่ต้องปฏิเสธไปไม่ใช่ว่าเพราะฉันไม่ชอบเขาหรอกนะ แต่วันนี้ฉันรู้สึกปวดหัวมาก เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน
ฉันโทรไปบอกความจริงว่าฉันมีลูก ฉันชวนเขามาเยี่ยมหลานที่โรงพยาบาล เขาปฎิเสธฉัน, ฉันเข้าใจดี เขาคงยังโกรธฉันอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ฉันมั่นใจว่าสักวันเขาต้องมาเจอฉัน เหมือนที่ฉันเองก็อยากเจอเขา
ผมอ่านข้อความแล้วก็ยิ้มทั้งน้ำตา เวลาที่ขาดหายไปได้ถูกเติมเต็มแล้ว แล้วก็นั้นเองยายก็ถามผมว่า ผมอยากได้สมุดนั้นไหม คุณจะเก็บมันไว้ก็ได้นะ, ผมพยักหน้าแล้วรีบเดินออกมาจากห้องนั้นพร้อมไดอารี่ของเธอ
ก่อนจากผมให้ตุ๊กตาหมีกับท่าน ผมบอกว่า วันเกิดของเธอทุกๆ ปี ผมจะให้ตุ๊กตาหมีเป็นของขวัญ ก็เลยว่าจะเอาตุ๊กตาหมีมาฝากเธอ แต่เสียดายที่เธอจากไปแล้ว ผมก็ฝากคุณยายไว้แล้วกัน
เวลาขับรถกลับมาบ้านช่างยาวนานนัก ผมถามตัวเองว่าผมยังรักเธออยู่ไหม? ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะเลือกเธอหรือเลือกภรรยาในปัจจุบัน คำตอบที่ได้รับก็แตกต่างกัน เพราะผมมั่นใจว่าผมต้องเลือกภรรยาผมอยู่แล้ว ส่วน เธอ คนนั้นก็จะอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป นั้นคือเหตุผลว่าทำไมระยะหลังๆ ผมถึงรู้สึกไม่ค่อยคิดถึงเธอเท่าไหร่นัก ใช่ผมว่าผมลืมเธอ แต่เธออยู่ในใจมาตลอดเวลาอยู่แล้วต่างหาก
ผมคิดว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ความทรงจำในวัยเยาว์ยังคงสวยงามเสมอ มันเป็นความทรงจำที่บริสุทธิ์ -- วันจะผ่านไปนานแค่ไหน ความทรงจำเหล่านั้นก็เป็นความทรงจำเล็กๆ ที่ทำให้ผมอมยิ้มและนึกถึงได้ทุกครั้งไป
สองทุ่มผมกลับถึงบ้าน แฟนและลูกผมกำลังจะกินข้าวเย็น ผมเดินไปจูบหัวลูกสาวและลูกชายแล้วหอมแก้มภรรยาที่แสนน่ารัก, เธอถามว่า เกิดอะไรขึ้นเหรอ?, ผมบอกเธอว่า กินข้าวเสร็จแล้วจะเล่าให้ฟัง, ลูกทั้งสองคนทำหน้าอยากรู้ขึ้นมาทันที พวกเขาอยากจะรู้ด้วยว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมคิดว่าผมยังไม่พร้อมที่จะเล่าให้พวกเขาฟัง
ตอนนั้นเองที่ใบหน้าของเธอสมัยวัยเยาว์ผุดขึ้นมาในความคิด เธอยังคงเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักของผมไม่เปลี่ยนแปลง ในช่วงนั้นเอง ผมคิดขึ้นมาได้ว่า ชีวิตของผมมีความสุข ไม่ต้องการหรืออยากไขว่ขว้าสิ่งใด เพราะช่วงเวลาที่ขาดหายได้ถูกเติมเต็มเรียบร้อยแล้ว
แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 51 22:16:07
แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 51 14:53:53
แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 51 14:38:44
จากคุณ :
ด.ช.บ่าง
- [
วันออกพรรษา 14:30:20
]
|
|
|