(ต่อ)
หลังจากหมอได้ตรวจร่างกายตาน้อยแล้ว ก็สั่งให้นอนโรงพยาบาล พร้อมกับสั่งให้ญาติมารับทราบผลการตรวจในหลายวันต่อมา
หลวงตาแช่มในฐานะญาติ เพราะตาน้อยไม่มีญาติพี่น้องที่อื่น เดินทางเข้ามาพบคุณหมอเจ้าของไข้ ที่ห้องของคุณหมอ
คุณหมอรูปร่างอ้วนเตี้ย ใส่แว่นตาหนาเตอะเวลาพูดไม่ค่อยมองที่หน้าแต่ลูกตากลิ้งไปกลิ้งมา อายุยังไม่มากน่าจะ 30 กว่าคงเพิ่งจบมาไม่นาน ในมือคุณหมอมีเอกสารต่างๆและฟิล์มเอกเรย์แผ่นใหญ่แกหยิบเอกสารอันนั้นอันนี้เอามาดู จับแผ่นฟิล์มส่องดูไปมา ดันมีภาพนู้ดของสาวร่างงามตกลงมาแผ่นนึง หลวงตาแช่มทำท่าจะชะโงกเข้าไปดูหมอรีบเอามือหยิบใส่ลิ้นชักอย่างรวดเร็ว แล้วหันมาทำหน้าเครียด
มีข่าวไม่ค่อยดีนะครับ ! หมอร่างเตี้ย พูดเสียงเบาๆ.
หา ! ว่าอะไรนะ ใครถูกตีเหรอ.? หลวงพ่อแช่มหูแกไม่ค่อยดี ยิ่งหมอพูดเบาๆแกจึงฟังไม่ออก.
กว่าจะพูดกันรู้เรื่องเสียเวลาไปหลายนาที..
สรุปได้ว่า ผลการตรวจพบว่า ตาน้อยเป็นมะเร็งที่ตับระยะสุดท้ายจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน !!
ถึงหมอจะสั่งห้ามไม่ให้บอกคนไข้ แต่หลวงตาก็อดที่จะบอกไม่ได้เพราะคิดว่า ตาน้อยคงไม่กลัวตายอยู่แล้ว และก็เป็นตามคาดสัปเหร่อใจเด็ดขอออกจากโรงพยาบาลทันที ไม่ว่าหมอหรือใครจะทัดทานอย่างไรแกก็ไม่ยอม แกมีความต้องการที่จะไปตายที่วัด.
คืนวันหนึ่งตาน้อยเดินเข้าไปหาหลวงตาแช่มที่กุฏิ แกไปปรึกษาเกี่ยวกับเงินที่มีอยู่ถึง 5 ล้านกว่าๆ เนื่องจากตาน้อยไม่มีทายาทที่ไหนอีก หลวงตาแนะนำให้นำเงินทั้งหมดออกไปทำบุญ โดยกระจายทำบุญไปให้ทั่ว เช่น วัด โรงเรียนในท้องที่ห่างไกล มูลนิธิเกี่ยวกับการคุ้มครองสัตว์ บ้านพักคนชราและที่สำคัญหลวงตาออกตัวว่าไม่ต้องทำที่วัดนี้เพราะจะดูไม่เหมาะสม.
ตาน้อยมีเวลาอีกไม่เกิน 6 เดือน ถ้าที่วัดไม่มีงานเกี่ยวกับศพและเมื่อมีเวลาว่าง แกจะเดินทางเอาเงินไปทำบุญในที่ต่างๆที่ตั้งใจไว้ โดยพยายามทำให้มากแห่งที่สุดเพื่อจะได้เฉลี่ยกันให้ทั่วถึง ภารกิจช่วงนี้ของสัปเหร่อใจบุญคือการเดินทาง แกเดินทางไปเกือบทั่วประเทศ ระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือนเงินหมดไปแล้ว 5 ล้านบาทมีเวลาอีก 3 เดือน กะว่ากว่าจะตายคงเดินทางทำบุญจนเงินหมดพอดี.พวกชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวๆวัดหรือแม้แต่หลวงตาก็ตาม ต่างทักทายกันว่าช่วงนี้ตาน้อยหน้าตาอิ่มเอิบขึ้นมากคงเป็นเพราะบุญที่ทำช่วยเสริมดวง.
อีกไม่กี่วันระยะเวลาจะครบ 6 เดือนแล้ว เงินเอาไปทำบุญเกือบหมด จนเหลือเงินติดตัวอยู่เพียง 5000 บาทมีจุดประสงค์เพื่อเอาไว้ใช้ในงานศพตัวเอง ตาน้อยใจหายบ้างเล็กน้อยแต่ก็ทำใจได้ด้วยความรวดเร็ว
กลัวอะไรคนอยู่กับความตายแท้ๆ แกปลอบใจตัวเอง.
วันหนึ่งมีศพเข้ามาในวัดหลังจากมีการจองศาลาล่วงหน้าแล้ว และที่ตามหลังรถขนศพเข้ามาติดๆคือรถของโรงพยาบาลที่ตาน้อยเข้าไปตรวจนั่นเอง รถทั้งสองคันมาจอดที่หน้าศาลาวัด พวกญาติของคนตายและเจ้าหน้าที่ของวัดรวมทั้งสัปเหร่อน้อยพากันขนโลงศพลงมาจากรถขนศพ ส่วนรถของโรงพยาบาล ด้านคนนั่งเปิดประตูออกมา ตาน้อยหันหน้าไปดู เป็นคุณหมอเตี้ยและพยาบาลหน้าย่นคนนั้นแต่งชุดขาวสะอาดเดินตามลงมา
ที่กุฏิเจ้าอาวาส
หลังจากให้เด็กวัดไปตามตัวสัปเหร่อน้อยมาแล้ว ทุกคนนั่งกันเป็นวงโดยหลวงตาแช่มนั่งอยู่บนเก้าอี้
คุณหมอเอามือขยับขาแว่น หันมามองหน้าสัปเหร่อน้อยยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี พร้อมกรอกดวงตาไปมาตามความเคยชิน
ผมมีข่าวดีมาบอก !
หลวงตานั่งอยู่ห่าง หูก็ตึง ฟังไม่รู้เรื่องแต่ทำท่าว่าฟังออก
สัปเหร่อน้อยได้ฟังจากคุณหมอแต่เฉยๆ คิดในใจว่า ทางโรงพยาบาลจะแถมโลงให้หรือ ไง?
คือๆๆว่า ผลการตรวจของลุงน้อยเกิดการผิดพลาดครับ ! จริงๆแล้วแกเป็นแค่แผลในกระเพาะอาหารเท่านั้น คนที่เป็นมะเร็งจริงๆคือศพที่ขนมาวัดพร้อมกันกับผม นี่แหละ ! ผมมาขอโทษและแสดงความดีใจด้วยครับ หมอยังไม่ทันพูดจบ
นั่นไง? นั่นไง? ข้าว่าแล้วทำไมหน้าตามันไม่เหมือนคนเจ็บป่วย หลวงตาดันหูดีขึ้นมาแบบกะทันหัน ไม่พูดเปล่าแต่ลุกขึ้นยืนเหมือนพวกเชียร์มวยในสนามมวย.
ตาน้อยนึกถึงศพที่เข้ามาที่วัดพร้อมรถโรงพยาบาลถึงว่าเมื่อกี้ ไปเปิดโลงศพ จำหน้าได้เป็นตาลุงขี้เมาที่ไปเจอที่ห้องฉุกเฉินวันนั้น ! แล้วนี่เราจะดีใจหรือเสียใจดี ! คุณหมอนะคุณหมา
สัปเหร่อกระดูกเหล็กโกรธคุณหมอนิดหน่อยเอง !!
แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 51 19:04:50
แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 51 19:03:44
แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 51 18:35:39