IRIS
ผู้หญิงเย้ยพรสวรรค์
ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเรื่องนี้สร้างมาจากเรื่องราวชีวิตจริงของ ไอริส เมอร์ด็อค (Iris Murdoch) โดยเขียนบทมาจาก หนังสือของสามีของเธอ จอห์น เบย์ลี่ย์ (John Bayley) เรื่อง Iris: A Memoir และ Elegy For Iris
ไอริส เมอร์ด็อคนั้นเป็นนักเขียนนวนิยายและนักปรัชญาชื่อดังชาวไอริช เธอมีงานเขียนนิยายมากมายกว่ายี่สิบเรื่อง รวมถึงเขียนด้านปรัชญาและสอนวิชาปรัชญาที่มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด เธอแต่งงานกับ ศาสดาจารย์ด้านวรรณกรรมจอร์น เบย์ลี่ย์ ที่สอนในอ๊อกฟอร์ตเช่นเดียวกัน โดยทั้งสองได้พบกันในมหาลัยนั่นเอง และอยู่ด้วยกันเป็นเวลานานกว่า 40 ปี จนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตเมื่อเธอต้องป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ ก่อนจะเสียชีวิตเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 1999
ภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้รับรางวัลออสการ์และรางวัลลูกโลกทองคำ ปี 2001 ในสาขาผู้แสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จิม บรอคเบนท์ (Jim Boradbent) ผู้แสดงเป็น จอร์น เบย์ลีย์ ได้รับรางวัล BAFTA Film Award จาก British Academy Awards 1 รางวัล ในสาขาผู้แสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จูดี้ เดนช์ (Judi Dench) ในบทบาทของไอริส
ไอริสในยามสูงอายุนั้น (อายุน่าจะประมาณหกสิบถึงเจ็ดสิบปี) เธอเป็นนักเขียนนิยาย และสอนวิชาปรัชญาให้กับนักศึกษา เธอใช้ชีวิตอยู่กับสามีของเธอจอห์นอย่างมีความสุข มาโดยตลอด จนวันที่ไอริสเริ่มมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น
อาการแรกที่ไอริสเริ่มมีอาการผิดปกตินั้น เป็นตอนที่เธอนั่งคุยกับจอห์นในร้านอาหาร เมื่อเขาพูดกับเธอว่าตอนเช้าเขาเห็นว่าเสื้อของเขาขาดไปอีกตัวหนึ่งแล้ว เธอตอบจอห์นว่า คุณควรซื้อเสื้อใหม่ได้แล้ว ก่อนที่สักพักหนึ่ง เธอจะพูดซ้ำอีกครั้งว่า คุณควรหาซื้อตัวใหม่ได้แล้ว
เธอเริ่มรู้สึกว่านิยายเรื่องที่เธอกำลังจะเขียนนั้นยากขึ้น และรู้สึกงุงงง สับสน คิดไม่ออก ซึ่งอาการนี้ คือการที่สมองนั้น มีความคิดและเหตุผลแย่ลง ทำให้คิดอะไรไม่ออก หรือคิดช้าลง เมื่อเธอไปออกรายการโทรทัศน์สัมภาษณ์เกี่ยวกับนิยายของเธอ ขณะที่เธอตอบคำถามเรื่อง ความสำคัญของภาษาอยู่นั้น เธอหยุดพูดกลางคันเพราะจำไม่ได้ว่าพิธีกรถามว่าอะไร และเมื่อพิธีกรถามซ้ำ เธอก็ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไรอีก เมื่อไอริสกลับถึงบ้าน เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองกลับมาได้ยังไง และจำไม่ได้ว่าเมื่อกี้เธอไปสัมภาษณ์มา ซึ่งอาการเหล่านี้คืออาการหลงลืม (memory loss) โดยอาการหลงลืมระยะแรกของโรคอัลไซเมอร์นั้นจะหลงลืมในเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านมาไม่นาน ไอริสยังมีปัญหากับความจำระยะสั้นอีกหลายครั้ง เช่นเมื่อเธอไปรับโทรศัพท์สักพัก เดินมาเจอจอห์น เขาถามเธอว่าเมื่อกี้ใครโทรมา เธอตอบว่า นอร่า ซึ่งจอห์นได้แย้งว่า นอร่านั้นได้เสียชีวิตไปแล้วนะ .... เมื่อจอห์นแย้ง เธอก็นึกไม่ออกว่าใครโทรมา
.. อาการหลงลืมในโรคอัลไซเมอร์นั้นนอกจากเวลาที่ถามแล้วผู้ป่วยจะนึกไม่ออก ผู้ป่วยหลาย ๆ คนจะตอบคำถาม แต่ตอบผิด ๆ ตอบไปเรื่อยเปื่อย (แต่ก็ตอบทุกครั้งที่ถาม) ลักษณะที่ผู้ป่วยตอบคำถามแต่ตอบด้วยคำตอบผิด ๆ เรื่อยเปื่อยนี้ทางการแพทย์เรียกว่าอาการ confrabulation
เมื่อเห็นความผิดปกติของไอริส จอห์นได้เรียกแพทย์เพื่อมาตรวจอาการของไอริส เมื่อหมอทดสอบ เธอจำไม่ได้กระทั่งว่านายกรัฐมนตรีของอังกฤษตอนนี้ชื่ออะไร หลังจากตรวจแล้วแพทย์ลงความเห็นว่าไอริสนั้นน่าจะเจ็บป่วย และควรได้รับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม แต่จอห์นนั้นตอนแรกไม่ยอมรับและไม่เชื่อว่าเธอป่วย เพราะเขายังรู้สึกว่าเธอยังทำอาหาร ช่วยเหลือตัวเอง ซื้อของได้อยู่
ต่อมาความสามารถทางด้านภาษาของเธอเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ เมื่อจอห์นพาเธอไปตรวจเพิ่มเติมที่โรงพยาบาล เมื่อให้มองภาพ ช้อน แล้วให้บอกว่าคืออะไร ไอริสตอบว่า สิ่งที่เอาไว้ใช้ตัก การที่ผู้ป่วยมองเห็นหรือจับสิ่งของ แต่ไม่สามารถบอกชื่อได้นั้นทางการแพทย์เรียกว่า agnosia ซึ่งเป็นอาการที่พบในโรคอัลไซเมอร์ โดยคนไข้จะมีปัญหาเรียกชื่อสิ่งของไม่ได้ แล้วใช้เป็นคำบรรยายใกล้เคียงแทน เหมือนไอริสที่เรียกช้อน ว่า สิ่งที่เอาไว้ตัก นอกจากนั้นไอริสเองยังไม่สามารถอ่านคำบางคำได้ เช่นเธออ่านคำว่า dog เป็น god จากผลการตรวจทำให้แพทย์สรุปได้ว่าเธอเป็นโรคอัลไซเมอร์
จากอาการที่เธอเป็น ไอริสรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังลอยไปในความมืดมิด เธอกังวลกับความสามารถของเธอ รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง กลัว และตกใจ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พบได้บ่อย ๆ ในผู้ปวยอัลไซเมอร์ระยะแรก ๆ เพราะ การที่คน ๆ หนึ่งที่เคยมีความสามารถ กลับทำสิ่งที่ตัวเองเคยทำได้มาตลอดไม่ได้ บวกกับความคิดที่สับสน ย่อมเป็นความทุกข์ทรมานใจอย่างหนึ่ง ยิ่งสำหรับไอรีสนั้น ภาษานั้นเป็นสิ่งสำคัญกับเธอมาก ... เหมือนที่จอห์นได้พูดว่า นกจะตายถ้าไร้ปีก
เมื่ออาการของไอริสเป็นมากขึ้น เธอเริ่มมีพฤติกรรมที่วุ่นวายอาการ วันหนึ่งบุรุษไปรณีย์มาส่งของที่บ้าน ..... เธอเดินออกไปเปิดประตู แต่เธอไม่สามารถที่จะจัดการเซ็นต์ชื่อรับของได้ เธองงและสับสน เธอต้องตะโกนเรียกจอห์นว่า คนที่ส่งของมา (เธอนึกคำว่าบุรุษไปรณีย์ไม่ได้) ให้จอห์นมาเป็นคนเซ็นต์ชื่อจัดการแทนเธอ หลังจากบุรุษไปรษณีย์กลับไป เธอพร่ำพูดซ้ำ ๆ ว่า บุรษไปรณีย์ ๆ สามสี่รอบ และเกาะติดจอห์นแจ ไม่ยอมห่าง เดิมตามจนเขาทำงานไม่ได้ จำถึงกับทำให้เขาซึ่งเดิมเป็นคนอารมณ์ดี สนุกสนามมาตลอดถึงกับหงุดหงิดโมโหขึ้นมา จากเหตุการณ์นี้เราจะเห็นว่าพฤติกรรมวุ่นวายของผู้ป่วยอัลไซเมอร์นั้นหลายครั้งมาจากเหตุกระตุ้นเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ สิ่งหนึ่งที่พบได้บ่อย ๆ คือ การเจอคนแปลกหน้า .... ทำให้เธอเกิดกลัวและสับสนขึ้นมาจนมีพฤติกรรมตามติดจนทำให้จอห์นถึงกับทนไม่ไหว
อาการของไอริสยังเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอหลงลืมจนไม่รู้จะเดินไปทางไหนในบ้าน เธอไม่สามารถกลับจากห้องครัวไปห้องตัวเองได้ เธอถามซ้ำ ๆ มากขึ้น เช่นเมื่อจอห์นชวนเธอไปว่ายน้ำวันพรุ่งนี้ เธอก็ถามเขาซ้ำ ๆ เป็นระยะหลาย ๆ ครั้งว่า เราจะไปกันเมื่อไหร่ การถามอะไรซ้ำ ๆ นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ หากผู้ดูแลรับมือไม่ถูก หรือยังไม่ชิน ก็อาจมีปัญหาได้ ไอริสนั้นลืมมากจนกระทั่งจำไม่ได้แม้แต่หนังสือที่เธอเป็นคนเขียนกับมือ เธอเขียนหนังสือไม่ได้เพราะเธอจับปากกาและไม่รู้ว่าจะใช้มันอย่างไร อาการนี้ทางการแพทย์เรียกว่า apraxia คือการที่ผู้ป่วยไม่สามารถใช้สิ่งของต่าง ๆ ได้เช่น ไม่รู้ว่าจะใช้ปากกายังไง จะใช้ช้อนยังไง ...
การที่จอห์นนั้นต้องเห็นอาการของไอริสแย่ลงเรื่อย ๆ ความหลงลืมจนเธอไม่สามารถทำอะไรได้มาก การมีพฤติกรรมวุ่นวายเป็นระยะ ๆ บางครั้งจอห์นเองก็รู้สึกทนไม่ไหว เขาเองซึมเศร้า เสียใจ การดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์นั้น เป็นงานที่ยากลำบาก เหนื่อยทั้งกายและใจ ผู้ดูแลต้องมีความอดทนอย่างมาก มีบางการศึกษานั้นพบว่าผู้ที่ดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ที่สมองเสื่อมระดับปานกลางถึงรุนแรงนั้น (moderate to severe dementia) นั้นพบภาวะซึมเศร้ามากถึง 40 % นอกจากความเหนื่อยยากทางกายแล้ว ทางใจก็เป็นสิ่งสำคัญ ผู้ดูแลหลาย ๆ คนนั้น รับไม่ได้กับการที่ คนที่เรารักจำกระทั่งเราก็ไม่ได้ แม่ที่เป็นอัลไซเมอร์หลายคนเรียกชื่อลูกสลับคนกัน การกลายเป็นคนแปลกหน้าของคู่ชีวิตที่อยู่กันมาหลายสิบปี สิ่งเหล่านี้ ถ้าผู้ดูแลไม่เข้าใจว่านี่เป็นอาการของความเจ็บป่วยและยอมรับไม่ได้ ก็อาจรู้สึกเจ็บปวดได้
เมื่อจอห์นพาเธอไปเดินเล่นที่ชายทะเล ไอริสได้ไปเก็บก้อนหินมาที่ชายหาดกลับมาหลายก้อน .... สถานการณ์นี้หากเรามองผ่าน ๆ แล้วนี่เป็นอาการพฤติกรรมผิดปกติอย่างหนึ่งในโรคอัลไซเมอร์ ที่หลายคนมักจะเก็บสิ่งต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งขยะมาสะสมไว้ แต่สำหรับไอริสนั้น ก้อนหินที่เธอเก็บเหล่านั้นเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อเธอมาก เพราะก้อนหินเหล่านั้นเป็นก้อนที่หินที่ชายหาดที่เธอกับจอห์นได้เคยไปเที่ยวด้วยกัน ได้มีประสบการณ์และความทรงจำที่ดี ๆ ร่วมกัน สิ่งเหล่านี้แสดงถึงว่าความทรงจำที่มีความหมายมาก ๆ นั้น จะยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง แม้ว่าโรคร้ายและลบเลือนความทรงจำของไอริสไปจนเกือบหมด เธอคงไม่สามารถปะติดปกติเล่าเป็นเรื่องราวได้ทั้งหมดแล้วว่าที่ชายหาดวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เศษเสี้ยวความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ ก็ยังทำให้เธอรู้สึกดีและอยากเก็บก้อนหินเหล่านั้นมาไว้อยู่กับตัว
เหตุการณ์วุ่นวายยังเกิดขึ้นอีกเมื่อวันหนึ่ง จอห์นงานจนเพลิน ไม่ทันสังเกตว่าไอริสนั้นได้เดินออกจากบ้านไป เมื่อเขารู้ตัวอีกทีเธอก็หายไปแล้ว จอห์นออกตามหาและต้องแจ้งตำรวจ กว่าจะเจอตัวก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง เมื่อไอริสกลับมาจอห์นนั้นโกรธ โมโห เสียใจ คิดว่าเธอต้องการจะหนีไปจากเขา เขาหงุดหงิด โมโหและตวาดใส่เธอ แต่เธอก็ยังเข้าไปกอดและปลอดเขา ... สิ่งนี้แสดงให้เราเห็นว่า แม้ในความทรงจำที่แทบไม่เหลือแล้ว แต่ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ก็ยังมีความเป็นมนุษย์ ยังมีอารมณ์ ความรู้สึกอยู่ ยังมีความสุข ทุกข์ เศร้า ดีใจ แม้ไอริสจะไม่เข้าใจในการกระทำแต่เธอยังรู้สึกดีได้กับการมีจอห์นอยู่เคียงข้าง และยังสามารถปลอบเขา หรือแม้กระทั่งบอกว่า ฉันรักเธอ ได้
ท้ายที่สุดเมื่ออาการของไอริสเป็นมากจนความทรงจำนั้นแตกกระจายหลงเหลือเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น และต้องมีคนช่วยเหลือเกือบตลอดนั้น แพทย์ประจำตัวแนะนำจอห์นให้พาไอริสเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล แม้ในตอนแรกเขาจะปฏิเสธ แต่สุดท้ายเขาก็รู้ว่าเขาไม่สามารถที่จะดูแลเธอด้วยตัวคนเดียวได้อีกแล้ว เขาตัดสินใจส่งเธอเข้า สถานสถานพยาบาลในที่สุด
สิ่งที่เราเห็นนั้น จอห์นดูแลไอริสเป็นอย่างดี อยู่เคียงข้างดูแลเธอ แม้บางครั้งอาจจะมีหงุดหงิด รำคาญบ้างแต่นั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ดูแลที่คงไม่มีใครอารมณ์ดีได้ทุกวัน สำหรับผู้ปวยอัลไซเมอร์แล้ว ความรักและความเข้าใจจากผู้ดูแลนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก .... ที่จะช่วยให้เราอยู่ร่วมกับผู้ป่วยได้อย่างมีความสุขทั้งสองฝ่าย
สุดท้ายขอยกคำพูดที่ ไอริสได้เคยพูดบรรยายให้นักศึกษาฟังว่า ความรักล้วนต้องการความเข้าใจ รักแท้หรือรักหมดใจรับรู้ได้ด้วยความรู้สึก และ ชีวิตเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความทรงจำอันพร่าเลือน เรียบง่าย สงบนิ่ง และเป็นสุข ซึ่งสัมผัสด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์
แก้ไขเมื่อ 26 ต.ค. 51 15:23:30
จากคุณ :
ผมอยากที่จะเชื่อ
- [
26 ต.ค. 51 15:21:52
]