Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    อ่านกี่รอบๆ ก็น้ำตาไหล....ใครไม่ไหล ให้กอดเลยเอ้า...T T

    'อย่าหนีนะ เจ้าเด็กขี้ขโมย'

        เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น

    พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่าน

    ฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว

    ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น

    แค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า

      'อ้าวนั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ'

      'ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ'

    ....................................

    ป้าคนนั้นชื่อว่า 'ป้าหนอม'เป็นแม่ค้าขายของชำ

    สารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่มีฐานะ

    จัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน

    และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ

    แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของ

    มากเกินไปหรือถามราคาแล้วไม่ซื้อป้าแกจะโวยวาย

    ชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว

    เสียงเอะอะดังมากขึ้นฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือ

    เด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบไล่เลี่ยกับฉัน

    ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ

    แม่จึงเดินเข้าไปถาม

    “พี่หนอม มีไรหรอคะ”

    “ก็คุณเด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ

    พอฉันหยิบส่งให้ มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย”

    พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที

    และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้

    'ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ'

    แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่

    'เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย

    พ่อแม่ไม่สั่งสอนยังเด็กตัวแค่นี้ก็รึจะเป็นขโมยซะแล้ว

    ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ'

    ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ

    ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่าแม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือน

    กำลังจะร้องไห้แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง

    แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า

    'อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอมเด็กมันคงอยากซื้อยา

    แต่ไม่มีเงินนะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะกี่บาทกันละ'

    ในที่สุดเรื่องก็จบลงโดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายา

    แก้ปวดกับยาธาตุแล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด

    แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่

    'ใจดีกับเด็กขี้ขโมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ'

    แม่ไม่ได้ตอบอะไรแต่พอเดินห่างจากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า

    'ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ'

    เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า

    'แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอผมก็เลยต้อง...'

    แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยืนผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็ก

    คนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า

    'ทีหลังอย่าขโมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ

    น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆนี่เองถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้า

    แทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไปฝากคุณแม่ซิคนป่วยนะต้อง

    กินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้มั้ย'

    แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะรับส้ม

    พร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป

    ............................................

    หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที

    'ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนันด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ'

    แม่ยิ้มแล้วตอบฉันว่า

    'ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขาย

    อยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอกแม่ซื้อขนม

    แกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง'

    'แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่'

    ฉันถามต่อ  แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า

    'แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆกับลูก

    จะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบรู้คุณค่าของเงินทุกบาท

    ทุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหนและคนที่มี

    ความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆ

    เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น'

    ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า

    'แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า'

    'ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร

    'แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอบ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือน

    บ้านป้าหนอมเขานะแม่'

    'ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนักแต่การที่ได้ช่วยเหลือคน

    ที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุขแล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ

    แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก'

    แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า

    'จำไว้นะลูก คนเรานะต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคน

    อื่นแก้ตัวเสมออย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะ

    รักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้'

    แล้วแม่ก็พูดต่อว่า

    'ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งทีผิด ใช่...แม่ไม่เถียงแต่บางครั้ง

    คนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆบ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูก

    อาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ'

    หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆกันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้

    ี้อีกเลยจนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีก

    ครั้งทั้งน้ำตา ว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ

    ...........................................

    หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏ

    แห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานในตัวจังหวัดนั้นเอง

    เงินเดือนก็พอประมาณ สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก

    ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้าเพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้าง

    หลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน แม่ยอมปิดร้าน

    แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน

    แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้อง

    ยอมตามใจแม่

    ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายเริ่มจาก

    ปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆไม่กี่วันก็หายหลังจากนั้นก็เริ่ม

    เป็นนานขึ้นเรื่อยๆ ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอแล้วฉันก็พาแม่

    ไปหาหมอในเมืองหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนัก

    มากเกินไปหมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆ

    จะได้หายเร็วๆ

    หลังจากกินยาตามที่หมอสั่งอาการปวดหัวของแม่ก็หายไป

    ฉันเริ่มสบายใจขึ้น แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน

    แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีกคราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว

    ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย

    ฉันกังวลใจมากพอถามหมอหมอก็บอกว่าต้องไปตรวจ

    ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯเพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่า

    โรงพยาบาลต่างจังหวัด

    หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯทันที

    ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งหลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่า

    มีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับ

    เส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรง

    ถึงขั้นเสียชีวิต ฉันตกใจมากของให้หมอผ่าตัดให้ทันทีแต่หมอบอกว่า

    โรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอก

    ในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า

    ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลง

    หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว

    แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจ

    อยู่ด้านนอก ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่และจากคำพูดของหมอ

    ที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้

    หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก

    โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัด

    จะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมอง

    ค่อนข้างสูง  เป็นหลักแสนบาท เมื่อรวมกับค่ายาระหว่างพักฟื้น

    คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท

    ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน

    ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้อง

    รักษาแม่ให้หายส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง

    ..........................................................

    หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลงเป็นโชคดีของแม่ทีการผ่าตัด

    ประสบผลสำเร็จและไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆทางโรงพยาบาล

    บอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้

    ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฏว่า

    เป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาทเป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น

    ฉันแปลกใจมากจึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่า

    คุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้ บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่

    โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ

    ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จ

    คุณหมอก็ถูกส่งตัว

    ไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ

    ผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่

    โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉัน พร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ

    ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้

    เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น

    เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน

    เนื้อความในจดหมายมีดังนี้

    ...............................

       ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์
    ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้

          ค่าผ่าตัด                          0 บาท
          ค่ายาทั้งหมด                      0 บาท
          ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ                0 บาท
          รวมเป็นเงินทั้งหมด                0 บาท

    ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วย....ยาแก้ปวด...ยาธาตุ...ส้มหนึ่งถุง...

    ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า

                                นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร


    ...........................
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความ

    และเพื่อนๆที่ FW Mail ดีๆมาให้

    ที่ลืมไม่ได้ขอบคุณท่านที่อ่านจนจบ

    และขอบคุณมากๆที่เผยแพร่ต่อไป

    ขอบคุณจริงๆ

    ......................

    ป.ล. จาก ฟอร์เวิร์ดเมล์ครับ

    จากคุณ : อาร์ตตัวพ่อ - [ 1 พ.ย. 51 17:35:51 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com