Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    >> โมงยามที่ซากุระร่วงโรย <<

    "ตามแผนการ ผมคิดว่าจะกลับญี่ปุ่นหลังจากสิ้นสุดสัญญาจ้างอาจารย์พิเศษ"

    มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังของประเทศไทยเป็นที่ทำงานที่จัดว่าไม่เลวนัก รายได้ดี
    สภาพแวดล้อมยอดเยี่ยม พออยู่ในฐานะอาจารย์ต่างชาติและเป็นชาติที่กำลังนิยม
    เรียกว่า "สินค้าขายได้ " และ " ขายดี "  กรรมการบริหารก็อยากให้เราอยู่กับเขานานๆ
    ลงทุนให้วิชาของผมเป็นวิชาเลือกแทบทุกสาขาวิชา  กวาดค่าลงทะเบียนเข้ากระเป๋าอีกโข
    ผมไม่ได้รังเกียจแนวคิดแบบนี้ ในเมื่อเราใช้ชีวิตอยู่ในระบบทุนนิยม แปลตรงตัว
    ต้องมี "ทุน" ถึงจะอยู่รอด ต้อง "นิยม" ถึงจะอยู่ได้

    เพื่อนชาวไทยของผมที่ญี่ปุ่น สนับสนุนให้ผมมาทำงานที่ประเทศของเขาอยู่เสมอ
    ทุกครั้งที่เรานัดดื่ม พอเขาเมาได้ที่ต้องพูดว่า

    " คนไทยแค่เช่าประเทศอยู่เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรที่เป็นเจ้าของเองสักอย่าง
    นายไปโกยเงินให้เยอะๆ หน้าตาญี่ปุ่น แถมพ่วงดีกรีอาจารย์วรรณคดี ที่ไหนๆก็แทบจะอุ้มเข้าไปทำงาน"

    บอกตรงๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องพูดอย่างนั้น จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากที่มาประเทศไทยได้สองเดือน
    ผมหมดชั่วโมงสอนตั้งแต่บ่ายสอง นักศึกษากลุ่มใหญ่เดินตามตั้งแต่ห้องบรรยายชั้นห้าจนถึงโรงอาหาร
    เพื่อขอให้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมศึกษาวัฒนธรรมญี่ปุ่น

    ระหว่างลงบันไดชั้นสอง อาจารย์ภาควิชามนุษย์ศาสตร์อาวุโสค่อยๆเกาะราวบันไดพยุงตัวขึ้นมาช้าๆ
    นักศึกษากลุ่มเดิมคนใดคนหนึ่งเบียดเขาหล่นจากบันได ยังดีที่แค่สามขั้น ผมรีบพยุงเขาขึ้นมา
    เขาบอกว่าไม่เป็นอะไรแล้วกล่าวขอบคุณท่าทีสุภาพและเป็นมิตร แล้วพอผมหันกลับไป
    ไม่พบว่าจะมีนักศึกษาสักราย ห่วงใยชายสูงอายุที่เพิ่งถูกพวกเขาเบียดตกบันได
    ไม่ว่าจะเหลียวมองกี่ครั้ง พวกเขาเหมือนปราศจากความรู้สึก
    เหมือนเหตุการณ์เมื่อครู่ เป็นมดถูกเหยียบโดยไม่รู้สึกตัว

    " เมื่อวานเป็นวันสิ้นสุดสัญญา ผมควรจะกลับญี่ปุ่นแล้ววางสัญญาเปล่าทิ้งไว้ .."

    ผมตอบปฏิเสธข้อเสนอของนักศึกษากลุ่มนั้นชัดเจน สองสามวันหลังจากนั้นได้ข่าวว่าพวกเขาได้อาจารย์ที่ปรึกษาใหม่
    เป็นคนชาติเดียวกับผม แว่วว่าเป็นคนโอกินาว่า เป็นผู้ชายหน้าตาดี
    ไมได้สนใจรายละเอียดมากมาย กลุ่มนักศึกษาที่คอยติดสอยห้อยตามหายไป
    ผมมีเวลากินข้าวเงียบๆในโรงอาหารช่วงบ่าย หมดสมัยความนิยม กลับกินข้าวอร่อยขึ้น
    อาจารย์คนนั้นกลายเป็นเพื่อนกินข้าวกลางวันของผม เขาเป็นชายสูงวัยสุขุมและสุภาพ

    ถ้าไม่นับเพื่อนของผมที่อาจมาอยู่ประเทศไทยก่อนหน้านี้ เขาจัดเป็นเพื่อนคนแรกในประเทศไทย

    ซาจิโกะเป็นกับผมเพียงคำว่าเพื่อน หยุดอยู่เพียงเท่านั้น อาจจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

    เธอผิดหวังในความรักจากชายคนหนึ่งของประเทศนี้ที่ไปอยู่ญี่ปุ่นสองสามเดือน
    ความรักต่างชาติต่างภาษา ก่อตัวขึ้นอย่างโรแมนติก คุณครูสอนภาษาสาวสวยกับลูกศิษย์หนุ่มจากบริษัทหลักทรัพย์ชื่อดัง
    เขาสองคนน่าจะไปได้สวย ตลอดเวลาสั้นในเมืองโอซากะ ช่วงที่ดอกซากุระสะพรั่ง
    ขณะนั้น ผมรับหน้าที่สอนนักเรียนอีกคนในโรงเรียนสอนภาษาเดียวกันกับเธอ มีบางครั้งที่พวกเรารวมกลุ่มกันไปดื่ม
    แต่เป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับเวลาที่พวกเขาอยู่กันสองคน

    เรื่องโรแมนติกส่วนใหญ่ไม่สมหวัง วันหนึ่ง หลังจากเราเพิ่งส่งศิษย์กลับประเทศ ซาจิโกะมาหาผมถึงบ้าน
    เวลาราวๆหกโมงเย็น ช่วงนั้นดอกซากุระกำลังร่วงโรย เป็นสัญญาณเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เธอถามผมว่ากำลังยุ่งหรือไม่
    ผมเพียงคิดว่าสำหรับเธอผมมีเวลาว่างเสมอ ผมชวนออกไปหาอะไรดื่มข้างนอก ในบ้านค่อนข้างรก
    บางครั้งการมาถึงของหัวใจก็เป็นสิ่งที่เราไม่ทันตั้งตัว จานชามกองใหญ่ในอ่างและถุงเท้าที่ยังไม่ถึงกำหนดซัก
    ไม่น่าจะใช่ ความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น

    สวนสาธารณะใกล้บ้านกำลังใกล้มืด เราเลือกม้านั่งที่พอมองดวงตะวันตกดินในเมืองได้ชัดๆ
    เธอจิบกาแฟอุ่นจากเครื่องขายอัตโนมัติ ส่วนผมนั่งไขว่ห้างซดเบียร์กระป๋อง
    ราวกับว่าบนม้านั่ง เราต่างคนต่างนั่งอยู่เพียงคนเดียว บางครั้งเธอเหลียวหาผม ท่าทีเหมือนต้องการพูดอะไรสักอย่าง
    แต่พูดไม่ออก  ขณะนั้น ผมได้แต่หัวใจเต้น ตระหนก ประหม่า เอาแต่คิดคำพูดที่ทำให้บรรยากาศดีและเข้าท่า
    ถ้าขณะนั้น ผมสังเกตสักนิด คงรู้ว่าเธอคิดจะมาประเทศไทย จนกระทั่งฟ้าทางฝั่งตกวันตกมืดสนิท
    ความเงียบระหว่างเรายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนว่าระหว่างเราจะต้องเป็นแบบนี้ตลอดกาล
    วูบหนึ่ง คิดว่าเธออาจเห็นถุงเท้าที่สุมในตระกร้าข้างชั้นวางรองเท้า
    พอกาแฟหมดถ้วย เธอจึงกลับบ้าน
    ผมขอไปส่ง แต่เธอเพียงยิ้มแล้วโบกมือลาช้าๆ

    เวลาบ่ายสามของอีกสองวันถัดมา ขณะที่ผมกำลังหย่อนถุงเท้าลงเครื่องซักผ้า โทรศัพท์สายด่วนจากนาริตะมาถึง
    ซาจิโกะ มีนามสกุลว่า ซากุระ
    ซากุระกำลังจะบานสะพรั่งที่ประเทศไทย
    ไปพบลูกศิษย์สุดที่รัก
    ผมได้แต่ถามย้ำกับตนเองว่า ทำไมเราไม่ซักถุงเท้าตั้งแต่วันนั้น และวันทั้งวันผมเอาแต่ซักถึงเท้า
    ทั้งที่อยู่ในตระกร้าและทั้งที่เหลืออยู่ในตู้เสื้อผ้า  ซักแล้วตาก แล้วดึงลงมาซักใหม่

    ผมได้แต่สงสัย ว่าเหตุใด ผู้หญิงถึงรู้สึกลึกซึ้งนักกับความรักที่ไม่มีทางเป็นความจริง
    ทั้งๆที่เธอก็ทราบอย่างเต็มหัวใจว่า ลูกศิษย์ของเธอมีคนรักและแต่งงานแล้ว
    หลังจากโทรศัพท์สายนั้น เธอก็ขาดการติดต่อ ราวกับไม่มีอดีตใดๆทิ้งไว้ในประเทศบ้านเกิดเมืองนอน
    เมื่อฟูมฟายอยู่พักใหญ่ ผมก็พยายามลืมเรื่องของเธอ แล้วตัดสินใจแต่งงานกับหญิงสาวที่พักอยู่อพาทเมนท์ฝั่งตรงข้าม
    การแต่งงานควรจะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ ควรกลบฝังความทรงจำเก่าๆ
    แต่ยิ่งผมพยายามจัดการชีวิตครอบครัวให้อบอุ่นสดชื่นมากเพียงใด
    ดวงตะวันที่ตกในสวนสาธารณะและรอยยิ้มของซาจิโกะยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
    ความพยายามที่จะลืมวันเวลาของเธอควรจะไปได้สวย จนกระทั่ง อายุแต่งงานครบสองปี
    ผมถึงรู้ว่า มันไปไม่ถึงไหน

    คืนหนึ่งในฤดูร้อน อากาศอบอ้าว ผมลุกจากเตียงดื่มน้ำเย็น นอนไม่หลับและกะว่าจะสะสางงานฆ่าเวลา
    มีอีเมล์ของซาจิโกะเข้ามา เนื้อความไม่ยาว พอสื่อให้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ สบายดีหรือไม่ ไม่ทราบ
    แต่พอทราบว่า ภรรยาของลูกศิษย์เธอเสียชีวิต จากนั้น เขาแต่งงานใหม่กับสาวสวยที่เป็นรุ่นน้องในบริษัท
    ความรักของเธอยังคงดื่มด่ำกับความผิดหวัง
    แม้ว่า ภรรยาของเขาจะเสียชีวิตอีกครั้ง ผมก็ยังคิดว่าความรักของเธอคงไม่มีวันสมหวัง
    ผมตอบอีเมล์ สารภาพความในใจทั้งหมดสั้นๆและขอให้เธอโชคดี
    เพราะรู้สึกว่า ถึงแม้เธอจะไม่สมหวัง ความรู้สึกของผมก็คงไม่มีวันสมหวังเช่นกัน
    ดวงตะวันลับของฟ้าทางตะวันตกไม่มีทางเปลี่ยนแปลง
    แน่นอน อีเมล์ไม่ได้รับการตอบกลับ แต่ผมยังส่งไปอีกหลายครั้ง
    ในที่สุด อีเมล์เหล่านั้นก็กลายเป็นจุดแตกร้าวของชีวิตสมรส

    " แล้ว..คุณก็เลยมาประเทศไทย " น้ำเสียงเนิบช้าจากชายสูงวัยแฝงด้วยความอบอุ่น

    " ไม่นานนัก หลังจากภรรยาของผมทราบเรื่อง ..ไม่มีปากเสียง ไม่พูดกันราวๆสี่วัน ก่อนตัดสินใจแยกกันอยู่  " ผมวางช้อนส้อมลง

    " เจอซากุระหรือเปล่า ? "

    ผมเพียงส่ายศีรษะตอบ ไม่มีเบาะแส ข่าวคราวใดๆ ผมไม่กล้าติดต่อหาลูกศิษย์ของเธอเพื่อถามว่าเธอติดต่อมาบ้างไหม
    ทั้งๆที่ถ้าทำแบบนั้น อาจมีโอกาสเจอกับซาจิโกะมากขึ้น สารภาพตามตรง ผมไม่ได้ออกตามหาเธอ ทุกวันนี้ ผมออกจากบ้านเช่า
    ขณะไขกุญแจรั้วผมจะเหลียงซ้ายแลขวาหวังว่าจะเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยก่อนจะพบเพียงถนนสายเล็กๆที่ว่างเปล่า
    ตอนเดินสวนกับผู้คนระหว่างมาทำงาน หวังเพียงลมจะพลิ้วกลิ่นกายที่คุ้นเคยจากทิศใดทิศหนึ่ง
    เป็นการกระทำโง่ๆ หวังลมๆแล้ง เหมือนที่ผมทำมาตลอดชีวิตและในสวนสาธารณะแห่งนั้น

    " ผมยังเอาแต่ดื่มเบียร์กระป๋อง ...." ผมพึมพำกับตัวเอง

    " พอจะมีรูปถ่ายของเธอไหมครับ ผมมีคนรู้จักเป็นคนญี่ปุ่นหลายคน พอจะช่วยกันได้ ช่วยกันหาหลายๆคนจะได้ไม่เหนื่อย "

    ชายชราข้างหน้ายิ้มอย่างอารีมีไมตรี  เหมือนมีลมอุ่นแผ่วๆในโรงอาหาร สัญชาตญาณทำให้ผมส่ายศีรษะ

    " มีบุหรี่ไหมครับ ผมอยากสูบบุหรี่ " ผมถาม

    " มีสิ แต่ที่นี่ห้ามสูบบุหรี่ คุณเองก็ทราบ " ชายสูงวัยแตะกระเป๋าเสื้อนอก

    " ช่างเถอะครับ...ผมจะหมดสัญญาอยู่แล้ว "

    ชายชราส่งเสื้อนอกให้ผมทั้งตัว บอกว่าไม้ขีดอยู่ในกระเป๋าด้านซ้าย แล้วขอตัวจากโรงอาหารเขาว่ามีชั่วโมงสอน
    และขอให้ผมได้พบกับซากุระในเร็ววัน หรือ ถ้าไม่ได้พบก็น่าจะกลับไปดูดอกซากุระบานที่ประเทศของตนอีกสักครั้ง
    เขาบอกอีกว่า ฝันอยากไปญี่ปุ่นสักครั้ง  ถ้าผมกลับติดต่อด้วย อย่างน้อยจะได้ช่วยแบ่งเบาค่าที่พัก

    " ด้วยความยินดีครับ " ผมยิ้ม

    ควันบุหรี่ลอยสู่เพดาน เส้นตรงสีขาวนวลสวย มีบางสายตาเหลือบมองแต่ไม่มีใครเตือนผม สิทธิพิเศษของชาวต่างชาติผมคิด
    ที่นี่เราแปลกหน้าจึงมีขอบเขต ที่ญี่ปุ่นเขาแปลกหน้าจึงเกิดขอบเขต ของที่แปลกแตกต่างมักจะเป็นของพิเศษมีคุณค่า
    สิ่งที่มีขอบเขตมักจะเชิญชวนให้บุกฝ่าคล้ายมีมนต์ประหลาดดึงดูดให้สนใจหลงใหล ไม่แปลกที่ซาจิโกะจะเผลอใจรักเขาที่มาจากต่างแดน
    แทนที่จะเป็นเพื่อนร่วมงานคนสนิท  ใกล้จนเป็นส่วนหนึ่ง เหมือนประตูบ้านที่เปิดอยู่ทุกวันแต่เราไม่เคยสนใจด้านที่พับเข้าผนัง
    อาจมีรอยเปื้อนหรือชำรุดอยู่แต่ไม่มีสิ่งใดสะกิดใจให้ชวนคิดถึง

    ให้ชวนคิดถึง ....

    ผมได้แต่ย้ำประโยคนั้นกับตัวเองไปมา เสื้อนอกของชายชรากองบนตัก เสื้อนอกสีกรมท่าซีดๆ ผ่านวันเวลาสมบุกสมบัน
    ไม่ใช่แบบที่ทันสมัยหรือประจวบกับวันวัยของผม แต่น่าแปลก ที่กลับรู้สึกคุ้นเคยและอบอุ่น เราอาจเป็นคนประเภทเดียวกัน
    เท่าที่ทราบ ชายชราท่าทีสุภาพคนนี้ เคยผ่านการหย่าร้างสองครั้ง จากปากคำของเขามันเป็นความจำเป็นทั้งสองครั้ง

    บางทีคนเราจากกันเพราะความจำเป็น ไม่ใช่หมดรัก แต่ เพราะจำเป็น

    ภรรยาคนแรกพบชายคนใหม่ที่เหมาะสมกว่าเขา บังเอิญที่ชายคนใหม่เป็นคนรักเก่าสมัยเรียน รักที่ยังกรุ่นก็เลยปะทุร้อน
    เร้ารุนแรงกว่าความรักในปัจจุบัน ภรรยาคนแรกจึงเลือกไปจากเขาเงียบๆในคืนวันหนึ่งขณะที่เขาไปสัมนาต่างจังหวัด
    ส่วนรายที่สองพบกันอีกสิบปีถัดมา ตอนนั้นเขาอายุสี่สิบห้า ฝ่ายหญิงอายุยี่สิบแปด  เขาเล่าว่าเป็นรักแรกพบ
    หนุ่มใหญ่กับสาวแรกรุ่น พบกันในชั่วโมงบรรยาย คบกันไม่นานก็ตัดสินใจแต่งงาน ใช้ชีวิตร่วมกันได้สามเดือน

    น่าเศร้า ... ฝ่ายหญิงเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว แล้วหนีจากเขาไปในวันหนึ่ง ทิ้งจดหมายว่าอย่าตามหาและขอให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

    ในความคล้ายคลึง เมื่อฟังจบ ผมถามว่าเขาออกตามหาผู้หญิงทั้งสองคนหรือไม่

    " ถ้า จำเป็นจริงๆ ...เราคงได้พบกันอีก  แต่ตั้งแต่นั้นมาก็นานแล้ว คงยังไม่จำเป็นหรอก ..บางที ในชีวิตหนึ่งนั้น
    ชายและหญิงอาจไม่จำเป็นต้องพบกันมากกว่าสองครั้ง ...."

    เขาตอบแล้วยิ้มอย่างอบอุ่น ผมยังได้แม่นยำจนถึงทุกวันนี้ รอยยิ้มจากความผิดหวัง...สองครั้ง ไม่รู้เขาทนได้อย่างไร


    โรงอาหารเริ่มร้างผู้คน แสงแดดลอดทาบบริเวณที่ผมนั่ง กลิ่นบุหรี่จางลง คนขายอาหารร้านตรงข้ามมองค้อนๆ
    ผมบอกตัวเองว่า กำลังจะหมดสัญญา คิดว่า ควรจะกลับญี่ปุ่น ซาจิโกะ คงมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งในประเทศไทย หรือ
    อาจจะกลับญี่ปุ่นไปแล้ว
    พอลุกจากเก้าอี้ ผมเหลียวซ้ายขวาไปมาสองรอบ ไม่มีเงาร่างใดๆที่คุ้นตาหรือรู้สึกว่าคุ้นเคย
    แม้จะเหลียวไปมาหลายสิบครั้งก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ทุกเวลาและทุกแห่งหน ไม่ว่าในญี่ปุ่นหรือประเทศไทยก็เหมือนกัน

    " ถ้า จำเป็นจริงๆ ...เราคงได้พบกันอีก  แต่ตั้งแต่นั้นมาก็นานแล้ว คงยังไม่จำเป็นหรอก ..บางที ในชีวิตหนึ่งนั้น
    ชายและหญิงอาจไม่จำเป็นต้องพบกันมากกว่าสองครั้ง ...."

    เสียงของชายชราแว่วเวียนในความนึกคิด ผมคิดถึงวันที่ดอกซากุระร่วงโรยและว่ากันว่าเป็นช่วงเวลาที่งดงามที่สุดของดอกซากุระ
    กลีบดอกปลิวล่อยลอยลู่ตามละอองลม แทบทุกปี ผมจะหาวันว่าง หอบเบียร์ลังใหญ่ ออกจากบ้านหลังเที่ยงคืน หามุมสงบ
    ดื่มเบียร์ท่ามกลางดอกซากุระตลอดทั้งคืน มีหลายครั้งที่ผมพยายามโทรศัพท์ชวนซาจิโกะออกมาด้วยกัน
    แต่ทุกครั้งจะมีเสียงสัญญาณแต่ไม่มีผู้ตอบรับ  เคยถามถึงเรื่องนี้ในอีเมล มีเพียงภาพดอกซากุระกำลังร่วงโรยตอบกลับมา

    ดอกซากุระ ร่วงโรยหมดแล้ว

    จากคุณ : กาแฟสอง - [ 10 พ.ย. 51 16:01:29 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com