Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    ชายได้ชายคือยอดชาย

    บอกไว้ก่อนนะคะ ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงค่ะ
    เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ชาย-ชาย
    เรื่องของคน 2 คน ที่ต้องไปเรียนที่เมืองจีนด้วยกันค่ะ
    และไม่ใช่เรื่องของดิฉันหรอกนะคะ เผอิญว่าไปอ่านเจอในบล็อกของน้องคนนึง
    เลยขออนุญาตน้องเขาเอามาลงค่ะ น้องเขาก็อนุญาตแล้ว
    ถ้ามีคนอ่านและชอบ  เขาก็จะมาเล่าให้ฟังต่อค่ะ

    **************************

    1 เดือนก่อนหน้านี้ ทางมหาวิทยาลัยติดประกาศการสอบชิงทุนแลกเปลี่ยน

    วัฒนธรรมและภาษากับประเทศใน เครือข่ายอีก 5 ประเทศ คือ บัลแกเรีย

    ออสเตรเลีย

    เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ และจีน

    โดยกติกา การสอบชิงทุนคือ นักศึกษาจะต้องเขียนเรียงความ ว่าแรงบันดาล

    ใจในการที่คุณใฝ่ฝันจะไปศึกษาต่อในประเทศนั้นๆคืออะไร และถ้าคุณได้

    โอกาสในการเป็นนักเรียนทุน

    คุณจะเอาวัฒนธรรมอะไรของไทยไปเผยแพร่ พร้อมระบุเหตุผลว่าทำไม ...

    แน่นอนว่าประเทศที่อยู่ในหัวคิดของบรรดานักเรียนชิงทุนมืออาชีพทั้ง

    หลาย ก็หนีไม่พ้นนิวซีแลนด์ ประเทศที่อยู่ต่ำเกือบที่สุดในโลกเมื่อมองจาก

    แผนที่

    โลก ดินแดนที่อยู่ใกล้ขั้วโลกใต้อันหนาวเหน็บ

    แต่เป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าน่าอยู่เป็นอันดับ 4 ของโลก ถ้าเป็นคุณ ก็คงต้อง

    เลือกไปประเทศนี้ ใช่ไหมครับ..

    แต่ผมไม่ครับ ประเทศที่ผมใฝ่ฝันที่สุดคือ จีน มังกรเอเชียที่ก้าวขึ้นเป็น

    ชาติมหาอำนาจอันดับ 4 ของโลกอย่างเต็มภาคภูมิ จากการจัดอันดับของ

    นิตยสารฟร็อบส์ ปี 2004

    หลังจากนั้น 2 วัน ห้องสมุดประชาชนก็ได้ต้อนรับไอ้บ้าคนนึง ที่เข้ามา

    ตั้งแต่ 9 โมงเช้า ตั้งแต่ห้องสมุดเปิดทำการ จนถึง ห้องสมุดปิด เวลา 3 ทุ่ม

    เป็นอย่างนี้อยู่ 5 วัน

    ในที่สุด ผมก็มีข้อมูลเกี่ยวกับประเทศจีนที่ใช้สมองไปดูดข้อมูลในห้องสมุด

    มาเต็มสมอง พร้อมที่จะเขียนเรียงความ ณ.บัดNOW.

    ความจริงแล้วผมก็บ้าอะไรที่เกี่ยวกับประเทศจีนอยู่แล้ว เพราะผมชอบ

    อ่านนวนิยายกำลังภายในของจีน

    เรียงความชิงทุนครั้งนี้กำหนดไว้ว่า จะต้องเขียนด้วยลายมือตัวบรรจง ความ

    ยาวไม่ต่ำกว่า10 หน้ากระดาษFOOLSCAP(F4)

    ผมก็นั่งนึกดูว่า การที่ผมไปขลุกอยู่ที่ห้องสมุด 5 วันนั้น มันจะเพียงพอให้

    ผมฝอยได้ครบ 10 แผ่นหรือเปล่า

    แต่พอเอาเข้าจริงๆ

    โอ้!!พระเจ้าแจ็ค!! เรียงความชิงทุนของผมใช้เนื้อที่ไปทั้งหมด 27 หน้า

    กระดาษครับพ่อแม่พี่น้อง

    พอถึงวันส่งผลงาน พี่ๆที่เป็นทีมงานถึงกับตะลึง ว่าเมิงส่งเชี่ยอะไรมาเนี่ย

    ตั้ง 27 หน้า

    คงนึกในใจว่า เมิงคงเป็นเจ๊กกลับชาติมาเกิดมั้ง

    หรือไม่ก็คงจะไล่เขียนมาตั้งแต่สมัยโครตเหง้าศักราชสองพันปีของจีนเลย

    มั้งเนี่ย

    แล้วผมก็กลายเป็นจุดเด่นของผู้สมัครในวันนั้นเลยจริงๆ

    ผมรู้สึกสงสารพี่ๆทีมงานคัดเลือกรอบแรกจริงๆเลยครับ ที่ต้องมานั่งอ่านอภิ

    มหาเรียงความของผม

    อีก 2 วัน ผลการประกวดรอบแรกก็มาถึง ผมก็ได้ผ่านเข้ารอบตามที่ รุ่นพี่ผม

    เก็งเอาไว้

    คนอื่นๆที่เข้ารอบ จะเป็นรุ่นพี่ปี3-4 ทุกคน ไม่มีปี1-2โผล่มาเลย ยกเว้นผม

    คนเดียว

    .เอาละสิครับพ่อแม่พี่น้อง ผมกลายเป็นผู้เข้ารอบชิงทุนคนเดียว

    ที่เรียนอยู่ปี1..ขอย้ำนะครับว่าปี1 ถึงแม้ผมจะหน้าแก่ก็ตาม.

    ++------------------------------------------------------++

    ในเรียงความที่เข้ารอบนั้น ผมบรรยายสรรพคุณปิดทองใส่หน้าตัวเองไว้ว่า

    ถ้าผมได้ทุนไปเมืองจีน วัฒนธรรมที่ผมจะนำไปเผยแพร่คือ 1. ลิเก 2.

    เพลงลูกทุ่ง เพราะว่าผมอยู่กับคณะลิเกมา

    ตั้งแต่ 4 ขวบ ก็เลยไม่มีปัญหาครับ สบายมาก

    . พอถึงวันคัดเลือกรอบที่2 ทุกคนมาพร้อมกันที่ชั้น3 อาคารวิทยบริการ

    ตรงเวลากันทุกคน

    ยกเว้นผม มาสายไปเกือบชั่วโมงครับ

    ก็จะไม่ให้สายได้ไงล่ะพระเดชพระคุณ

    ใน หนึ่งสัปดาห์ จันทร์ถึงอาทิตย์ ผมทำงานที่ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงสามทุ่ม

    ครึ่ง หลังจากนั้นก็ตาลีตาเหลือกเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปทำงานที่แมคโดนัลด์

    ต่อจน ถึงตีสอง

    ก็ถือว่ายังดีครับที่แมคโดนัลด์ผมทำวันจันทร์ถึงศุกร์.

    ............แต่ ! ยัง! ยังครับ!!มันไม่หมดแค่นั้นครับ

    .............เสาร์-อาทิตย์...หลังจากเลิกงานที่ตอนสามทุ่มครึ่ง ผม

    ก็มานั่งเสล่อเป็นสเตชั่นโครโปรแกรมที่คลื่นวิทยุคลื่นนึงอีก

    จนถึงตีสี่ครับ

    ฟังชื่อตำแหน่งแล้วดูโก้มากๆ หลายคนก็ฝันอยากจะเป็นกันน่าดู ไอ้สเตชั่น

    โครโปรแกรมอะไรเนี่ย

    แต่ขอบอกก่อนเลยว่า ไม่หมูอย่างที่คิด

    หลายท่านอาจจะแย้งในใจแล้วใช่ไหมครับ

    ว่ามันจะอะไรนักหนากับงานแค่นี้ ดีจะตาย ได้ทำงานอยู่คลื่นวิทยุดังซะด้วย

    (ไม่บอกว่าคลื่นไหน เดี๋ยวโดนอุ้ม)

    แต่ผมแทบสะอื้น เพราะต้องทำทุกอย่างครับ ตั้งกะสากกะเบือยันเรือดำน้ำ.

    เพื่อแลกกับค่าแรงชั่วโมงละ50บาท

    เริ่ม ตั้งแต่รับโทรศัพท์แฟนเพลงที่โทรมาขอเพลง บางคนก็กวนส้นเอา

    มากๆ บางทีทะเลาะกับแฟน กูไม่รู้จะโทรหาใคร กูก็โทรมาระบายที่คลื่น ให้

    ผมฟังซะงั้น

    บางทีผีเข้า อยากฟังเพลงฝรั่ง แต่ไม่รู้ชื่อเพลง ก็มาร้องให้ผมฟัง แล้วผมจะรู้

    มั๊ยเนี่ย ก็เลยร้องลูกทุ่งให้คนที่โทรมา ฟังซะเลย

    หน้าที่อีกอย่างก็คือ หาแผ่นเพลงเตรียมไว้เปิด เปลี่ยน

    ไมค์ทุกๆวัน เปลี่ยนเครื่องสแตนด์ฟร้อนท์ที่ใช้เล่นเพลงทุกวัน

    (ต้องสลับกันใช้ครับ เพราะคลื่นเปิด 24 ชั่วโมง) แล้วไอ้เครื่องห่า

    เหวอะไรนี่ก็หนักไม่ใช่เล่นเลยนะครับ ตั้ง 45 กิโลกรัม

    เรียกว่าถ้าคุณไม่เคยแบกข้าวสารแถวท่าพระจันทร์มาก่อนละก็ ...... ทำงาน

    นี้ยากครับ

    ส่วนบรรดาพีเจทั้งหลายนะเหรอ..ไม่อยากจะเซด...ทำยังกะกูเป็น

    เทพบุตรเทวดาฟ้าส่งมาเกิด

    ทำเชี่ยไรไม่ได้ นอกจากนั่งพูดอย่างเดียว.

    .วันดีคืนดี ใช้ผมไปซื้อโอเลี้ยงอีกแน่ะ

    . พ่อเมิงตาย!!เสือกอยากแดกโอเลี้ยงตอนตี2เนี่ยนะ ร้านพ่อเมิงคงจะเปิด

    ถึงตี2หรอก

    แต่ก็ได้แต่คิดในใจ กัดฟันเดินไปหาซื้อโอเลี้ยงมาให้มันกิน..

    จากคุณ : ปราการน้ำแข็ง - [ 10 พ.ย. 51 16:14:29 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com