Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    เพราะฉันไม่ใช่นางเอก ตอนที่ 11

    ตอนที่แล้ว

    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=smile-of-friendship&group=4  

    ==============


    ห้องประชุมราชพฤกษ์
    โต๊ะตัวยาวกลางห้องสีน้ำตาลเข้มตัดกับสีเหลืองอ่อนของฝาผนัง   ตรงมุมห้องประดับแจกันดอกราชพฤกษ์สีเหลืองสด  หน้าต่างใสบานใหญ่  ทำให้มองเห็นต้นราชพฤกษ์สีเหลืองสว่างสดใสรายล้อมอยู่ด้านนอกอาคาร   ถ้วยแก้วทรงสูงบรรจุน้ำเก๊กฮวยเย็นเฉียบวางเยื้องอยู่ทางขวามือ   แฟ้มเอกสารวางอยู่ด้านหน้าของหัวหน้างานทุกคน  ผู้เข้าร่วมประชุมทุกฝ่ายของไร่ตะเกียงไพรนั่งขบาบเต็มทั้งสองด้านของโต๊ะประชุม  ท่านประธานไร่ตะเกียงไพรนั่งเด่นเป็นสง่านั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ  ถัดไปด้านขวามือเป็นผู้จัดการไร่ตะเกียงไพร  

    สายตาทุกคู่กำลังมองไปที่หัวหน้าฝ่ายคลังสินค้าแจ้งยอดจำนวนข้าวทั้งหมดที่เหลืออยู่ในโกดังเก็บข้าว  ชี้แจงปัญหาเรื่องข้าวจะไม่พอขายจนถึงสิ้นปีนี้  เพราะลูกค้าแห่กันมาซื้อข้าวจำนวนมากจนข้าวในคลังสินค้าหมดลงอย่างรวดเร็ว    เนื่องจากข้าวทั่วไปขึ้นราคาเกือบเท่าตัว  มีผลมาจากจีนและเวียดนามถูกน้ำท่วมทำให้ข้าวขาดตลาด   ราคาจึงพุ่งทะลุขึ้นไปเป็นเท่าตัวอย่างนี้   อย่างไรก็ตามร้านค้าของไร่ตะเกียงไพรขายข้าวราคาเท่าเดิมซึ่งถูกกว่าที่อื่นมาก   ข้าวที่ขายนี้มาจากกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกข้าวแบบไร้สารพิษ   ฝ่ายการตลาดเสนอแนวทางแก้ปัญหาคือ  ให้ขายข้าวที่มีอยู่ให้หมดไปเลย  แล้วซื้อข้าวใหม่เข้ามาเพื่อบรรเทาความต้องการซื้อข้าวของลูกค้า  หรืออีกวิธีคือ  การจำกัดการขายข้าว  เพื่อที่ข้าวจะได้พอขายไปจนถึงสิ้นปีนี้  

    “ผมคิดว่าเราควรขึ้นราคาข้าวนะครับ  เพราะจะได้ทำให้ลูกค้าไม่แห่มาซื้อข้าวที่เราที่เดียว เพราะราคาถูกกว่าที่อื่นมาก”  หัวหน้าฝ่ายขายเสนอ

    “ขึ้นราคาตอนนี้ก็ไม่เสียหาย  เพราะข้าวที่ไหนก็ขึ้นราคากันทั้งนั้น”  หัวหน้าฝ่ายการตลาดสนับสนุน

    “ที่สำคัญเรามีหนี้สินที่ต้องชำระ  น่าจะถือโอกาสนี้ขึ้นราคาข้าวได้นะครับ”  ฝ่ายจัดซื้อเห็นด้วย

    “แต่เราไม่ควรเอาเปรียบลูกค้าในช่วงที่ข้าวขึ้นราคา  ในขณะที่ราคาต้นทุนของเราเท่าเดิม  มันไม่ยุติธรรมกับลูกค้า  และผิดหลักการนโยบายการค้าของเรานะครับ”  ผู้จัดการไร่คัดค้านการขึ้นราคาข้าว

    ผู้สนับสนุนให้ขึ้นราคาขายข้าวกับผู้คัดค้านสลับกันออกความคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง

    “ผมอยากให้พวกคุณคิดว่า   ข้าวไม่ใช่สินค้า  แต่เป็นอาหารที่เราต้องแบ่งปันกันกิน”  

    โรจน์รวี ท่านประธานไร่ตะเกียงไพรพูดขึ้นหลังจากฟังแต่ละฝ่ายแสดงความเห็นมาระยะหนึ่งแล้ว

    “หนึ่งในนโยบายของเรา  สินค้าคุณภาพดี   ราคาถูก  ไม่ฉวยโอกาส  และเราควรถือโอกาสนี้ช่วยเหลือลูกค้ามากกว่าที่จะเห็นแต่ผลประโยชน์  หวังว่าทุกท่านคงยังไม่ลืม”  

    ทุกคนที่อยู่ในที่ประชุมเงียบกริบเมื่อท่านประธานพูดถึงนโยบายของไร่ตะเกียงไพร

    “ผมขอเสนอให้ขายข้าวไร้สารพิษที่เรามีอยู่จำกัดนี้ให้เฉพาะลูกค้าประจำที่เป็นร้านอาหารเท่านั้น  ส่วนลูกค้าทั่วไป  เราน่าจะซื้อข้าวจากภายนอกมาขาย  อย่างน้อยประชาชนจะได้ข้าวราคาถูกกว่าซื้อที่อื่น  เพื่อบรรเทาความต้องการของประชาชนครับ”


    หลายคนพยักหน้าเห็นด้วยกับผู้จัดการไร่   แต่บางคนยังข้องใจเนื่องจากช่วงหลังนี้ราคาน้ำมันสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ   น้ำตาล  และ ข้าวของต่าง ๆ แพงขึ้น  ซึ่งทำให้ต้นทุนสูงขึ้น  แต่ราคาสินค้าของไร่ตะเกียงไพรแทบจะยังไม่เคยปรับราคาขึ้นเลย

    ท่านประธานไร่ตะเกียงไพรหยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวม  บอกให้ทุกคนพลิกแฟ้มเอกสารด้านหน้าไปที่หน้างบการเงิน  ชี้ให้ทุกคนดูงบการเงินว่ายังมีกำไรอยู่พอสมควร  ที่สำคัญน่าแปลกที่ยอดขายของไร่ตะเกียงไพรกลับดูมีแนวโน้มสูงขึ้นด้วยซ้ำ  เมื่อดูเปรียบเทียบกับปีที่แล้วในเดือนเดียวกัน  และปีนี้ของเดือนที่แล้ว  ตรงกันข้ามกับเศรษฐกิจโดยทั่วไปที่ค่อนข้างแย่    ถอดแว่นออก  แล้วตอบว่า

    “เรายังพอไหว  ขอให้ชะลอการปรับราคาสินค้าออกไปก่อน”

    รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏบนสีหน้าของผู้จัดการไร่ตะเกียงไพร มองท่านประธานด้วยความชื่นชมและเปี่ยมล้นด้วยความศรัทธา  คนที่คำนึงถึงประโยชน์ของคนอื่นมากกว่าตัวเองจะมีกี่คน   ปัญหาข้าวราคาแพงขึ้นเป็นเท่าตัว  ถ้าไม่มีไร่ตะเกียงไพร  ประชาชนจะหาข้าวราคาถูกได้ยากเต็มที ทั้ง ๆ  ข้าวที่รับซื้อไว้แล้ว อยู่ในคลังสินค้าราคาทุนไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย  แต่ราคาขายกลับขึ้นเอา ๆ  ที่สำคัญ  คนที่ได้กำไรจากการขึ้นราคาข้าวกลับเป็นพวกนายทุนมากกว่าชาวนา  พอข้าวขายได้ราคา  ประชาชนแห่มาปลูกข้าวกันยกใหญ่  ทำให้ปุ๋ยต้องขึ้นราคา  พอข้าวออกรวง  ข้าวก็ล้นตลาดเพราะคนปลูกกันมาก  ชาวนาก็ถูกกดราคาข้าวอีก  มันเหมือนเข้าสู่วังวนที่ไม่มีที่สิ้นสุด

    เขาภูมิใจที่ได้ทำงานอันทรงคุณค่านี้   ได้ผลิตอาหารดีดีสู่ประชาชน  ได้ช่วยเหลือประชาชนให้ได้ซื้อของใช้
    ราคาถูกยุติธรรม  ที่สำคัญการได้ร่วมงานกับคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันนี่สิ  เยี่ยมยอดที่สุด  หากเป็นองค์กรแสวงหากำไรทั่วไป  คงจะไม่มีใครยอมเสียโอกาสที่จะฉกฉวยผลประโยชน์นี้ได้เลย  

    การประชุมดำเนินมาถึงวาระพลังงานที่นับวันราคาน้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่มีท่าทีว่าจะลดลงง่าย ๆ   ไร่ตะเกียงไพรเริ่มมีโครงการศึกษาการจัดการเกี่ยวกับขยะ   ส่งเสริมให้มีการคัดแยกขยะ  โดยนำขยะเปียกไปหมักเพื่อทดลองทำไบโอแก๊ส  แล้วนำแก๊สที่ได้มาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการประกอบอาหารภายในไร่และร้านค้า  ส่วนขยะอื่นนำไปขายตามประเภทต่าง ๆ    ในอนาคตจะพัฒนานำแก๊สที่ได้มาใช้ปั่นกระแสไฟฟ้าด้วย  ผู้จัดการไร่พยายามศึกษาหาความรู้และเป็นตัวตั้งตัวตีผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่มาตลอด  แต่ทุกย่างก้าวมันไม่ใช่ง่าย ๆ เลย   การที่จะทำให้คนเปลี่ยนความเคยชินเดิม ๆ ของตัวเองมาเสียเวลาให้ความสำคัญกับการแยกขยะ    หันมาตระหนักและช่วยกันเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง   ซึ่งนับวันสิ่งแวดล้อมจะทวีความเลวร้ายขึ้นไปทุกขณะ  ระบิลเริ่มชี้แจงปัญหาให้ที่ประชุมทราบ

    ม่านโดยรอบถูกรูดมาปิดโดยอัตโนมัติเพื่อกันแสงสว่างจากภายนอก  จอโปรเจคเตอร์ถูกเลื่อนลงมาจากด้านบนเพื่อฉายภาพประกอบคำบรรยาย

    “จากการที่เรารณรงค์ให้มีการคัดแยกขยะภายในชุมชนของไร่ตะเกียงไพร   และชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงให้มีการคัดแยกขยะ  โดยมีโครงการขยะแทนเงิน   ถ้าชาวบ้านจะนำขยะต่าง ๆ ที่คัดแยกแล้วมาให้ที่ไร่ตะเกียงไพร  จากนั้นจะได้คูปองซึ่งใช้แทนเงินสด  สามารถซื้อของใช้จำเป็นที่ร้านค้าของไร่ตะเกียงไพรได้  ตอนแรกประชาชนยังไม่ค่อยสนใจมากนัก   คิดว่าถ้ามีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง  ชาวบ้านจะเข้าใจมากขึ้น  และให้ความสนใจโครงการนี้     จากการแยกขยะเพียง10%  ขณะนี้เรามีรายได้ต่อเดือนหนึ่งหมื่นบาทขึ้นไปครับ  ถ้าเราแยกได้ 100 %  เราจะมีรายได้มากขึ้นแน่นอน  โครงการโรงไฟฟ้าของเราน่าจะได้เริ่มโครงการเร็วขึ้น  เป็นการลดมลภาวะเป็นพิษ  เป็นการลดขยะที่นับวันจะไม่มีที่ทิ้ง  เป็นการช่วยสิ่งแวดล้อม  อยากให้พวกเราทุกคนช่วยกันนะครับ”  ผู้จัดการไร่ตะเกียงไพรกล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการ  

    “ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือ  การแยกขยะของแต่ละแผนกยังไม่ดีพอนะครับ  ขอให้แต่ละแผนกเคร่งครัด ในการคัดแยกขยะให้ถูกต้องด้วยครับ”  เป็นการพูดครั้งที่เท่าไหร่เขาจำไม่ได้แล้ว  ปัญหานี้ก็ยังต้องพูดซ้ำซากอยู่เรื่อยมา  วันนี้เขาจึงขอความร่วมมือให้ทุกแผนกช่วยกันแยกขยะ  ถ้ายังไม่ได้ผลจะมีมาตรการเข้มให้แต่ละแผนกเข้าเวรไปช่วยคัดแยกขยะด้วย

    “ผมหวังว่า  ทุกฝ่ายจะให้ความร่วมมือกับโครงการนี้เป็นอย่างดี  คราวหน้าคงได้ทราบข่าวการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง  และผลความคืบหน้าของการดำเนินงานโครงการนี้ด้วย”  ท่านประธานช่วยเน้นให้ความสำคัญ  และเป็นการให้กำลังใจผู้จัดการไร่ที่การอนุมัติขอกู้เงินเพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้านั้นถูกชะลอออกไปก่อน   ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไม่ค่อยดีนัก   เจ้าของไร่ตะเกียงไพร่มองเห็นแววตาความมุ่งมั่นของผู้จัดการไร่มาตั้งแต่ยังเด็กที่ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่าย ๆ  เขามั่นใจว่า  โครงการนี้จะต้องประสบผลสำเร็จในอนาคต

    ================  

    หยดน้ำเล็ก ๆ ถูกเหวี่ยงกระจายออกไปเป็นวงกว้างอยู่เหนือแปลงผักสีเขียวสดซึ่งฉีดน้ำออกมาจากเสาสปิ๊งเกอร์ที่อยู่กลางแปลงผักต่าง ๆ  หมุนเป็นวงกลม  แสงแดดยามสายสะท้อนกับหยดน้ำเป็นประกาย  คุณหนูตะเกียงหมุนก๊อกเปิดน้ำให้สปิ๊กเกอร์ทำงาน  เดินไล่เปิดน้ำรดแปลงผักระยะทางเป็นกิโลเลย  ว่าแล้วจึงนั่งพักใต้ร่มไม้ข้างแปลงผัก

    “อ้าว…ฟักทอง”  

    แมวหนุ่มสามสีเดินมาหาคุณหนูตะเกียง  โน้มหัวแป้น ๆ ของมันมาคลอเคลียหน้าแข้งของเด็กสาวอย่างออเซาะ  ก่อนจะล้มแผละ  อ้อนตามนิสัยของแมวขี้อ้อน

    “ว่าไง….”  สาวน้อยโน้มตัวก้มลง  ลูบหัวพ่อขนฟูอย่างเอ็นดู

    “แง้ว…….ว”  เจ้าเหมียวเงยหน้าขึ้นมาร้องอ้อน  นัยตาสีอำพันจ้องมองนายสาวอย่างประจบ ก่อนจะหลับตาพริ้มอย่างน่าเอ็นดูซะเหลือเกิน

    “เจ้านายของฟักทอง  ใจร้ายทิ้งฉันรู้รึเปล่า…”  คุณหนูตะเกียงฟ้องลูกน้องของผู้จัดการไร่  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขามีประชุมก็ยังอดบ่นให้ลูกน้องของเขาฟังไม่ได้

    แมวหนุ่มคอยืดคอยาวอย่างสบายใจเมื่อนายหญิงเกาคอให้  หลับตาพริ้มเชียว

    มองเห็นเจ้าฟักทองขนฟูนอนหลับอย่างขี้เกียจ   แหม…บทจะหลับก็หลับเอาดื้อ ๆ เลย   คุณหนูตะเกียงมองเจ้าแมวหนุ่มสามสีอย่างอดคิดไม่ได้  ทุกวันเธอไม่เห็นเจ้าพ่อขนฟูทำอะไร  วงจรชีวิตของมันนอกจากเดินไปเดินมา  หากิน  แล้วก็นอน  ผสมพันธ์  ชีวิตของมันมีเท่านี้เอง  

    เธอคิดว่า  จะไม่ยอมมีชีวิตเหมือนแมวที่วัน ๆ ไม่ทำประโยชน์อะไรเลย  เอาแต่นอน  เอาแต่วิ่งเล่นไปวัน ๆ  ชีวิตของเธอต้องมีคุณค่ากว่านั้น  ทำประโยชน์ได้มากกว่านั้น

    ใช่แล้ว!!!

    ชีวิตของเธอจะไม่ใช่แค่นี้   จะต้องมีคุณค่า  มีประโยชน์กว่านี้

    หลานสาวเจ้าของไร่คิด   แล้วรีบลุกขึ้น  เธอจะไม่นั่งอย่างไร้ประโยชน์แบบนี้  ต้องไปหาอะไรทำแล้วล่ะ

    แดดจ้ายามใกล้เที่ยงวันส่องแสงร้อนเปรี้ยง   สะกดต้นไม้ทุกต้นให้ยืนนิ่งสนิทราวกับถูกสาบ  ไม่มีลมไม่มีแล้งเอาซะเลย  หลานสาวเจ้าของไร่ถอดหมวกสานออกมาพัดวีให้หายร้อน  พลางยกแขนเสื้อซับเหงื่อไปพลาง   ซับแล้วซับอีก  รู้สึกหงุดหงิดกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวน่าดู   คุณหนูตะเกียงกลายเป็นหัวหน้าเด็กรวบรวมไพร่พลพาเด็ก ๆ ชั้นประถมของไร่ตะเกียงไพร  ช่วยกันเก็บแก้วน้ำในห้องประชุมราชพฤกษ์  หลังปิดการประชุมเรียบร้อยแล้ว  หัวหน้าแผนกต่าง ๆ ทยอยเดินออกมาจากห้องประชุม

    “ขอบใจจ้า….”  คุณหนูตะเกียงขอบใจเด็ก ๆ  ที่มาร่วมด้วยช่วยกัน    พร้อมกับแถมยิ้มให้กับหนู ๆ ตัวเล็กตัวน้อยลูกหลานของคนงานที่มาทำตัวให้เป็นประโยชน์  ดูน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน

    เจ้าของไร่ตะเกียงไพรเดินเคียงมากับผู้จัดการหนุ่มมองเห็นเด็ก ๆ ช่วยกันคนไม้ละมือก็อดยิ้มอย่างชื่นชมไม่ได้

    “คุณตา  เสร็จแล้วหรือคะ”   หลานสาวเจ้าตัวป่วนรีบเดินเข้าไปหา   พลางเหลือบสายตามองคนที่ยืนถัดไปจากคุณตาของเธอ   และพบว่าสายตานั้นรอสบตาเธออยู่ก่อนแล้ว   ใบหน้าเรียบเฉยของผู้จัดการไร่แต้มรอยยิ้มเล็กน้อย
    “ประชุมนานจังเลย”  อดบ่นไม่ได้

    “วันนี้มันมีหลายเรื่องน่ะ  ก็บอกแล้วว่าให้เข้าไปนั่งข้างในด้วยกัน”  คุณตาอยากให้หลานสาวของเขาคุ้นเคย  และเรียนรู้กิจการนี้ของท่านไปทีละเล็กละน้อย

    “ไม่ดีกว่าค่ะ  เด็กอย่างตะเกียงคงไม่รู้เรื่องอะไรหรอก”  สาวน้อยพูดพลางสั่นหัว

    “ฟังบ่อย ๆ  ต่อไปก็รู้เอง  ไม่เรียนรู้จะรู้ได้ยังไงล่ะ”  โรจน์รวี มองหลานสาวอย่างเอ็นดู     ปีนี้เธอดูโตขึ้นกว่าปีก่อน ๆ มาก  สมัยที่หลานสาวยังเด็กทั้งซน  ทั้งดื้อ  พูดอะไรไม่ฟังจนต้องแจกไม้เรียวเป็นประจำ

    “เห็นน้ำมันขึ้นเอา ๆ  มีผลกระทบต่อพวกเราไหมคะ”  เด็กสาวสงสัย  และได้ยินข่าวข้าวของพากันขึ้นราคา

    “มี  แต่ไม่มาก  เพราะสินค้าส่วนใหญ่เราผลิตได้จากไร่ของเราเอง   จะมีแต่ก็พวกน้ำมันที่ยังต้องซื้ออยู่  แต่ในอนาคตเราจะพึ่งตัวเอง  จนไม่ต้องซื้อให้ได้  ระบิลเขากำลังศึกษาค้นคว้าอยู่”  พลางบ่ายหน้าไปทางผู้จัดการไร่อย่างชื่นชม

    “มือขวาของตาช่วยตาได้เยอะเลย  ตะเกียงเรียนจบแล้วจะมาช่วยตามั้ยล่ะ”  สายตาจับจ้องใบหน้าหลานสาวด้วยความปราณี

    เด็กสาวเลิกคิ้ว

    “แบบนี้ตะเกียงก็กลายเป็นมือซ้ายของคุณตาสิคะ”  สายน้อยพูดกลั้วหัวเราะ  

    ทำให้ผู้สูงวัยต้องหัวเราะขำไปด้วยอย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ  เขาดีใจที่หลานสาวไม่ได้ปฏิเสธ  หลังจากที่ออกจะผิดหวังกับลูกสาวลูกชายที่ไม่สนใจงานไร่งานสวนเอาเสียเลย

    “หิวแล้วค่ะ  คุณตาไปทานข้าวกันดีกว่า” คุณหนูเปลี่ยนเรื่อง  ดึงมือคุณตาให้ลงจากเรือนราชพฤกษ์

    “วันนี้อากาศร้อนมาก   ดูสิคะ  ต้นไม้ไม่กระดิกเลย”  เธอชี้ให้คุณตาดูต้นไม้ที่ยืนนิ่งท่ามกลางแดดเปรี้ยงของยามใกล้เที่ยง  พลางพัดหมวกสานในมือไปมาถี่ยิบ

    “ก็มันใกล้เที่ยงแล้วนี่ครับ ไม่ใช่เวลาเช้าซะหน่อย”  ผู้จัดการหนุ่มที่เดินเงียบมานานเอ่ยปากขึ้น

    หันไปมองผู้จัดการหนุ่มมาดขรึมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ  ไม่มีทีท่าสะทกสะท้านกับอากาศร้อนเอาเสียเลย  เหงื่อเม็ดใสสะท้อนกับแสงอาทิตย์เป็นประกาย

    ไม่ร้อนบ้างหรือไงนะ?  

    “ระบิล  ร้อนรึป่าว  นายไม่ร้อนบ้างเหรอ”    คุณหนูตะเกียงสงสัยที่ไม่เห็นเขาต้องแสดงอาการอะไรอย่างเธอเลย  

    ชายหนุ่มหันมามอง

    “ไม่เท่าไหร่ครับ”

    คนถามเบิกตาโต  

    “หา……..!!”

    “ผมลืมครับ”

    คำตอบนั้นทำให้อีกฝ่ายตาค้างอย่างงงงวยสุด ๆ

    “อะไรนะ!!”  สาวน้อยขมวดคิ้วอย่างไม่อยากจะเชื่อ  

    “นายลืมร้อนเหรอ?”

    “ครับ  ผมไม่ได้ใส่ใจความร้อนน่ะครับ   รับรู้เฉย ๆ ว่ามันร้อน  ร้อนเป็นธรรมดา  แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมัน  ยิ่งทำเป็นร้อน   มันก็จะยิ่งร้อนมากขึ้นนะครับ”

    เมื่อเห็นคนฟังทำหน้างงจึงพูดต่อไป

    “ความร้อนทำให้เราขับพิษออกทางเหงื่อไงครับ  คิดเสียว่าได้เวลาขับพิษออกซะบ้างก็ดีนะ  วัน ๆ คนเราต้องมีเหงื่อออกบ้างถึงจะดี  แล้วที่จริงถ้าเราเลิกสนใจความร้อน  มันจะร้อนน้อยลงนะครับ”

    คุณหนูตะเกียงทำหน้าทำตาปริบ ๆ  อย่างงุนงงยังไม่หาย

    อย่างนี้ก็มีด้วย?  

    “คุณท่านครับ  พรุ่งนี้จะมีลูกค้ามาเยี่ยมชมไร่ตะเกียงไพรประมาณ  50 คนครับ”

    โรจน์รวีพยักหน้ารับทราบ  

    “พรุ่งนี้ผมต้องไปร่วมสัมมานาทางรอดของกสิกรรมไทย  ฝากดูแลด้วยนะ  ระบิล”  งานที่ระบิลเป็นคนดูแลรับผิดชอบ  เขาเชื่อมั่นว่าจะต้องผ่านไปด้วยดีเสมอ  แล้วหันไปทางหลานสาว

    “ตะเกียง  พรุ่งนี้ช่วยระบิลดูแลต้อนรับลูกค้าด้วยนะ” คุณตาเน้นเสียงเป็นการเป็นงาน

    สาวน้อยเบิกตาโต  กำลังจะอ้าปากโวยวายแต่ไม่ทัน…

    “ไม่มีแต่….  ต้องไปฝึก  เข้าใจรึเปล่า”  เสียงคุณตาเข้มขึ้นอย่างรู้ทัน  รีบพูดดักไว้ก่อนที่หลานสาวจะอ้าปากประท้วง

    รวิวารได้แต่อ้าปากค้าง   สีหน้าครุ่นคิด  เธอไม่ชอบคนเยอะ ๆ   แถมต้องคอยไปบริการคนอื่นอีก  มันไม่ถนัดเอาซะเลย  เฮ้อ….  

    เอาน่า…อาจจะมีเรื่องสนุกรอเธออยู่ก็ได้  ใครจะรู้    มีระบิลอยู่ทั้งคน   ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลย

    รีบปลอบใจตัวเอง  พยายามมองโลกในแง่ดีไว้ก่อน

    ===============  

    บรรยากาศยามเช้าวันนี้ของไร่ตะเกียงไพรค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษ  ทุกคนกำลังวุ่นวายตระเตรียมการต้อนรับคณะผู้มาเยี่ยมชมไร่ตะเกียงไพร  ครั้งนี้พิเศษกว่าครั้งก่อน ๆ ที่ผ่านมา  เนื่องจากลูกค้าแต่ละรายเป็นลูกค้าชั้นดีมีระดับ  มีวิสัยทัศน์กว้างไกลทั้งนั้น    มีแต่ระดับผู้บริหารจากบริษัทห้างร้าน  โรงแรม  โรงพยาบาล  ภัตตาคาร  ร้านอาหารต่าง ๆ  สถานเสริมความงาม  เป็นต้น

    ผู้จัดการไร่กำลังย้ำแผนงานกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการของไร่ตะเกียงไพรทุกคน  ถึงสถานที่ที่จะพาลูกค้าไปเยี่ยมชม  เวลานัดหมาย  ฝ่ายอาหาร  ตลอดจนรายละเอียดต่าง ๆ ของงานอีกครั้งหนึ่ง  หลังจากนั้นเดินตรวจดูความเรียบร้อย

    “เตรียมพร้อมรึยังครับ”  ระบิลหันไปถามผู้ช่วยจำเป็น

    หลานสาวเจ้าของไร่พยักหน้าเนือย ๆ
    “ฉันไม่ชอบคนเยอะ ๆ เลย”

    “ก็คิดว่า  ไร่ของเรามีดี  มีประโยชน์ที่จะเผยแพร่ออกไปให้ผู้คนรับรู้สิครับ  เขาจะได้เอาไปทำบ้าง  ไม่อยากให้มีไร่แบบเราเกิดขึ้นเยอะ ๆ หรือครับ”

    “แต่ฉันบริการใครไม่เป็นนี่นา”  เด็กสาวอิดออด

    “ก็คิดว่า  เวลาเราไปดูงานที่ไหน  เราอยากให้เขาต้อนรับเราอย่างไร  ก็ทำอย่างนั้น  เราคิดว่าทำอย่างไรที่จะให้คนที่มาไร่ของเรามีความสุข   ไม่มีอะไรยุ่งยากหรอก  เขาถามอะไรเราก็ตอบไป  แล้วก็ยิ้มให้เขา  แค่นั้นเอง  ทำเท่าที่คุณทำได้ก็พอครับ  ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา  ถามผมได้ตลอด  ผมจะช่วยคุณเอง”  ผู้จัดการไร่อธิบายเชิงให้กำลังใจ

    “ผมเชื่อว่า  คุณจะทำได้ดีนะ”

    เด็กสาวมองหน้าผู้จัดการหนุ่มด้วยคำถามว่า  จริง ๆ หรือ?

    ชายหนุ่มพยักหน้ารับ  ริมฝีปากเหยียดตรงอมยิ้มเล็กน้อย   ทำให้คุณหนูตะเกียงพอจะเริ่มยิ้มออกได้บ้าง  และบอกตัวเองว่า   เธอทำได้   ทำได้แน่นอน  และจะทำได้ดีอย่างที่เขาบอกด้วย  ยิ่งบอกตัวเองว่า  ทำไม่ได้   มันยิ่งไม่มีหนทางเป็นไปได้เลย   แต่เมื่อเราบอกตัวเองว่า  ต้องได้สิ   เราทำได้  เท่ากับเราได้ให้โอกาสตัวเราเองครึ่งทางแล้ว

    หลังจากที่ลูกค้าทยอยเดินทางมาถึง  และลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว  ผู้จัดการไร่ตะเกียงไพรจึงกล่าวต้อนรับ

    “สวัสดีครับ  ไร่ตะเกียงไพรยินดีต้อนรับครับ    ผม  ระบิล  ผู้จัดการไร่ตะเกียงไพร  จะเป็นผู้นำท่านเยี่ยมชมไร่ของเรา  ก่อนอื่นขอให้ท่านรับชมการแสดงเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเด็กนักเรียนซึ่งเป็นลูกหลานของชาวไร่ตะเกียงไพรครับ”

    เด็ก ๆ ตัวน้อย ๆ  สวมชุดไทยพื้นบ้าน  ทั้งเด็กหญิงเด็กชายปะแป้งแก้มขาวโพลน  ออกมารำอย่างพร้อมเพรียง  ท่ารำง่าย ๆ  แต่เด็ก ๆ  ทำอะไรก็น่ารักน่าเอ็นดูไปหมด  พอจบการแสดง  พวกหนู ๆ พากันวิ่งเข้าไปหาผู้ชมพร้อมกับมอบดอกไม้ให้เป็นการต้อนรับ      ผู้ชมต่างเซอร์ไพรส   ปรบมือเกรียวกราว  ยิ้มแย้มรับดอกไม้จากเด็ก ๆ  ด้วยความพึงพอใจ

    “ในระหว่างการเดินทางขอให้ทุกท่านอย่าเดินออกนอกเส้นทางนะครับ  เพราะไร่ของเรากว้างขวางมาก  อาจจะหลงทางได้  หากมีข้อสงสัยอะไร  ต้องการความช่วยเหลือ  หรือต้องการซักถาม  ขอให้ถามเจ้าหน้าที่ของเราได้ครับ”

    เมื่อจบการแนะนำผังรายการเรียบร้อยแล้ว  คุณหนูตะเกียงหนึ่งในเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ  รับหน้าที่เดินไปช่วยแจกหมวกสานเก๋ไก๋ที่ทำจากกล่องนมให้กับผู้เยี่ยมชมไว้ใส่กันแดด

    ชายหนุ่มภูมิฐานสวมทีเชิ้ตสีขาว  หันมารับหมวกสานจากหลานสาวเจ้าของไร่  เขาสะดุดเล็กน้อย  เหมือนคุ้นหน้าคนแจกยังไงชอบกล?  เหมือนเคยเห็นเธอที่ไหนซักแห่ง  เขามองตามเธอไปด้วยความสงสัยเป็นที่สุด  พยายามนึกว่าเคยเห็นเธอที่ไหนมาก่อนนะ?   อยากจะมองเห็นใบหน้าของเธอชัด ๆ กว่านี้   จึงเดินตามไป

    “ขอโทษครับ  ผมรู้สึกหิวน้ำ  จะทานน้ำได้ที่ไหนครับ”  เขาอยากให้ผู้ช่วยจำเป็นหยุดสนธนากับเขาสักครู่     เห็นเธอเอาแต่ก้มหน้าก้มตาแจกแต่หมวก

    รวิวารจึงหยุด  เงยหน้ามองคนถามเป็นครั้งแรก   เด็กสาวอึ้งไปชั่วขณะ   เมื่อมองเห็นใบหน้าหนุ่มหล่อมาดเข้มที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนนี้ชัดเจน

    เธอจำเขาได้!  

    แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 51 00:22:38

    จากคุณ : ริเศรษฐ์ - [ 21 พ.ย. 51 00:18:52 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com