Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    [นิยายแปล] จอมนางคู่บัลลังก์ บทที่ 11 เขียนโดย...เฟิงน่ง

    บทที่ 1 - 10  http://my.dek-d.com//story/view.php?id=423352


    บทที่ 11


    เหมันต์อำลา  วสันต์มาเยือน...

    บุปผาหลากสีผลิบาน ผีเสื้อโผผินบินผ่าน เกาะนิ่งยังปลายนิ้ว

    ณ หมู่บ้านขนาดใหญ่(๑)ซึ่งตั้งอยู่กลางภูผาชายแดนระหว่างกุยเล่อและเป่ยม่อ(๒) พิงถิงยืนอิงหน้าต่าง

    “ระยะนี้...เจ้าซูบไปไม่น้อย” เหอเสียซึ่งยืนอยู่ข้างหลังหญิงสาวถอนหายใจ “พิงถิง เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว”

    “เปลี่ยนไป ?” พิงถิงยิ้มละไม นิ้วขยับเบาๆ

    ผีเสื้อซึ่งเกาะพักนิ่งตระหนกจนบินผละจาก หญิงสาวหันไปหาผู้เป็นนาย

    “ใครเปลี่ยนไปกันเจ้าคะ ? พิงถิงก็ยังแซ่ป๋าย ยังติดตามนายน้อย ยังดีดพิณร้องเพลงอยู่ทุกวันเหมือนเดิมนี่นา”

    เหอเสียจ้องมองสาวใช้ตัวน้อยแน่วนิ่ง จวบจนนางทนต่อสายตาค้นคว้าไม่ไหวและเมินหน้าหนี จึงค่อยนำของสิ่งหนึ่งออกจากข้างหลังมาประคองด้วยสองมือตรงหน้านาง

    “ให้เจ้า”

    “อะไรหรือเจ้าคะ ?” หญิงสาวเอ่ยถามขณะจ้องมองอย่างละเอียด ปรากฏว่าคือกระบี่ที่ฉูเป่ยเจี๋ยทิ้งเอาไว้เป็นวัตถุพยานนั่นเอง “นี่มันวัตถุพยานของสองแคว้น มายกให้พิงถิงได้อย่างไรกันเจ้าคะ ?”

    “ฉูเป่ยเจี๋ยมีความเคยชินอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือทุกครั้งที่ออกรบ จะผูกกระบี่ไว้ที่เอวซ้ายขวาพร้อมกัน วัตถุพยานที่ทิ้งเอาไว้ในครั้งนี้ คือกระบี่ที่เอวซ้ายของเขา” เหอเสียเว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วอธิบายเสียงหนัก “กระบี่นี้...ชื่อว่า หลีหุน(๓)(พรากวิญญาณ)”

    นัยน์ตาพิงถิงเหลือบมองมายังกระบี่โบราณอายุร่วมร้อยปีเล่มนี้ มือเรียวบางยื่นออกไปลูบไล้ กล่าวทวนคำดั่งละเมอ

    “หลีหุน ?”

    “ในตอนนั้นข้ายังนึกสงสัยอยู่ว่าเหตุใดเขาจึงทิ้งกระบี่ที่เอวซ้ายซึ่งสำคัญต่อเขามากที่สุดเอาไว้ แทนที่จะทิ้งกระบี่เสินเวย(เทวานุภาพ)ที่เอวขวาซึ่งสำคัญรองลงไป มาบัดนี้ข้าเข้าใจแล้ว...กระบี่เล่มนี้เขาทิ้งไว้ให้เจ้า และตัวเจ้าเวลานี้...ได้ถูกพรากวิญญาณไปเสียแล้ว”

    เหอเสียยัดเยียดกระบี่ใส่มือพิงถิง แล้วถอนหายใจยาวอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

    ...พรากวิญญาณ ?...

    พิงถิงโอบกระบี่แนบอก ตัวกระบี่เย็นเฉียบสัมผัสผิวเนื้อ

    หญิงสาวจมสู่ห้วงภวังค์

    มิผิด...หัวใจของนางได้พรากจาก...ติดตามร่างสูงสง่าบนหลังม้านั้นไปแล้ว...

    จะให้ลืมฉูเป่ยเจี๋ยได้อย่างไร ? วสันต์อันตระการสดใส คือเวลาเหมาะสมที่จะเด็ดดอกไม้ปักผมพอดี

    หลังจากได้อยู่อย่างสงบ เวลาว่างช่างมีมากมายนัก ทำให้นางหวนระลึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างทุกเรื่องราวของฉูเป่ยเจี๋ย...อย่างละเอียดลออ...ทุกวันคืน

    ไยหัวใจจึงอ่อนระทวยดุจดินเลน ละลายเป็นสายน้ำ ลืมสิ้นความเท็จระหว่างกัน ลืมสิ้นร้อยเล่ห์แผนการ ผู้ชนะเป็นเจ้าผู้แพ้เป็นโจร จดจำได้เพียงสามคืนในคฤหาสน์ตระกูลฮัวที่เขายืนเฝ้าอย่างมุ่งมั่นเงียบงัน และร้อยรัดหัวใจนางไปครองแต่บัดนั้น

    “ท่านเป็นคนเช่นไรหนอ ?” หญิงสาวแหงนหน้าถามก้อนเมฆเบาๆ “ท่านแค้นข้า...หรือรักข้า ? คำกล่าวก่อนจากนั้น เป็นเพราะไม่อาจตัดใจ...หรือเพียงจะลวงหลอกข้า ?”

    เคียงคู่ทุกคืนวัน อ่อนหวานถึงทรวงใน มิใช่สิ่งลวง

    ต่างฝ่ายต่างอำพราง วางแผนล่อลวงกัน ก็มิใช่สิ่งลวง

    นางหลักแหลมมาชั่วชีวิต บัดนี้กลับโง่เขลา ราวพลาดจมสู่ปลักโคลน สุดจะถอนตัวได้

    ทันใดนั้นไหล่บางพลันถูกตบหนักๆ กะทันหันจากด้านหลัง

    พิงถิงสะดุ้ง หันขวับไปทั้งตัวทันควัน

    “ฮ่าฮ่า ! ใจลอยอีกแล้วหรือ ?” ตงจั๋วยิ้มเผล่ร้องทัก แต่ครั้นเห็นใบหน้าของหญิงสาวชัดตา เด็กหนุ่มก็รีบสลายรอยยิ้มทันควัน “อ้าว...เฮ้ ? ทำไมถึงร้องไห้เล่า ?”

    พิงถิงรีบเช็ดใบหน้าที่เปียกชื้น ขึงตาดุว่า

    “วันทั้งวันไม่เคยทำตัวจริงจังเสียบ้างเลย ครั้งก่อนที่เจอเจ้าตอนลำบาก ข้ายังว่าเจ้าดูก้าวหน้าขึ้นหน่อย นี่เข้ามาอยู่ได้แค่ไม่กี่วัน เจ้าก็เริ่มอยู่ไม่สุขอีกแล้วนะ”

    ตงจั๋วหัวเราะเจื่อนๆ พลางเกาศีรษะ เหล่ตามองหญิงสาว แล้วนั่งลงประคองถ้วยชาขึ้นมา

    “ข้าน่ะมาเยี่ยมเจ้า กะว่าจะมาหยอกเล่นให้เจ้าสบายใจขึ้นบ้าง แล้วดูเจ้าสิ พอเห็นหน้าข้าก็ตีหน้าขึงขังพูดจาสั่งสอนกันเลยนะ”

    เมื่อได้ฟังเด็กหนุ่มว่ามาดังนี้ พิงถิงก็ให้กระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที จึงก้มหน้าลงพูดอย่างกระดากกระเดื่อง

    “พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก ข้าสบายดี เดี๋ยวอีกไม่กี่วันก็หายเองนั่นล่ะ”

    “อีกไม่กี่วัน ? พวกเราจะไปกันพรุ่งนี้แล้วนะ เจ้ายังไม่รีบทำตัวให้ร่าเริงขึ้นอีก”

    “พรุ่งนี้ ?” พิงถิงตะลึง “จะไปไหนกันหรือ ?”

    ตงจั๋งชะงักงัน เหมือนนึกไม่ถึงว่าพิงถิงจะไม่ทราบ ใบหน้าเด็กหนุ่มปรากฏแววอึดอัดวูบขึ้น รีบเปลี่ยนน้ำเสียงทันควัน ออกตัวเป็นนัยๆ ว่า

    “ข้าก็แค่ได้ยินนายน้อยพูดให้ฟังครั้งสองครั้งเท่านั้น...ดูเหมือน...จะบอกว่าถึงที่นี่จะเป็นกิจการที่ทางวังลอบมาสร้างเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน แต่ยังไงก็อยู่ในเขตแดนของกุยเล่อ ตอนนี้ต้าหวางยังไล่ตามจับตัวพวกเราอยู่ เพราะงั้นระวังเอาไว้ก่อนจะดีกว่า รีบไปเสียแต่เนิ่นๆ......ไม่รู้เหมือนกันว่าไปที่ใด” ว่าแล้วก็หัวเราะแห้งๆ ตบหน้าผากตัวเองดังแปะ(๔) ออกตัวว่า “งานที่นายน้อยสั่งเอาไว้ จนป่านนี้ข้ายังไม่ได้ทำเลย”

    พิงถิงนิ่งมองตงจั๋วรีบร้อนจากไป เนิ่นนานให้หลังจึงค่อยรั้งสายตากลับ

    ความรู้สึกแปลกหน้าผุดขึ้นในบัดดล เมื่อย้อนนึกดู จะโทษนายน้อยกับตงจั๋วก็ไม่ได้จริงๆ นั่นล่ะ

    นับตั้งแต่กลับมาอยู่ข้างกายนายน้อย นางก็มีอาการเลื่อนลอยเหมือนคนไร้วิญญาณตลอดเวลา คนอื่นพูดมาสิบคำ นางจะเอ่ยรับเนือยๆ เพียงคำเดียว

    ที่ผ่านมาการดูแลเรื่องทั่วไปภายในวังจะเป็นหน้าที่ของนางทั้งหมด แต่หลังจากนางพลัดหลงไปอยู่ตงหลินเสียระยะหนึ่ง สภาพแวดล้อมก็ได้สร้างสาวใช้ที่รับหน้าที่ตรงนี้ได้ดีบางคนขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ เมื่อนางกลับมา จึงคร้านจะไปยุ่งกับเรื่องเหล่านั้นอีก

    ช่องว่างระหว่างนางกับทางวังจึงเริ่มก่อตัวขึ้นเช่นนี้เอง

    นายน้อยกังวลได้ถูกต้อง แม้ที่นี่จะเปลี่ยวร้างห่างไกลสายตาผู้คน แต่ก็ยังอยู่ในเขตปกครองของต้าหวางอยู่ดี หากเป็นกาลก่อน นางควรจะดูออกและเอ่ยเตือนนายน้อยเสียนานแล้ว มาบัดนี้......หรือการเคี่ยวกรำได้ทำให้นางสูญเสียไหวพริบไป ?

    วันถัดมา มีสาวใช้มาบอกให้นางเตรียมเก็บข้าวของจริงๆ

    พิงถิงถามว่า “พวกเราจะไปที่ใดกันหรือ ?”

    “ข้าก็ไม่ทราบเหมือนกันเจ้าค่ะ”

    “นายน้อยล่ะ ?”

    “นายน้อยกำลังยุ่งอยู่เจ้าค่ะ”

    หลังจากตามคนของทางวังขึ้นไปนั่งบนรถม้า หญิงสาวก็พบว่าตงจั๋วไม่อยู่ จึงหันไปถามว่า

    “ตงจั๋วไปไหนหรือ ?”

    “ข้าจะไปทราบได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ? พี่พิงถิง พี่ทำใจให้สบายแล้วนั่งรถไปเถอะ”

    “นายน้อยอยู่ในรถคันไหนหรือ ? ปกติข้าจะนั่งรถคันเดียวกับนายน้อย”

    “พี่พิงถิง นายน้อยเป็นคนสั่งให้พี่นั่งรถคันเดียวกับพวกเราเจ้าค่ะ ส่วนนายน้อยอยู่ในรถคันไหน ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน”

    ถามไปสิบไม่รู้เสียเก้า ตลอดการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค และแล้วก็มาถึงเรือนพักร้อนอีกแห่ง ดูเหมือนจะเป็นกิจการที่วังจิ้งอานหวางลอบมาสร้างเอาไว้ในกาลก่อนอีกเช่นกัน

    เมื่อความสงสัยเริ่มผุดขึ้น พิงถิงจึงมิอาจไม่รั้งสติกลับมาจากการหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องของฉูเป่ยเจี๋ยเสียสามส่วน แล้วพิจารณาทุกสิ่งรอบกาย

    ความห่างเหินเพิ่มพูนขึ้นทุกวันอย่างไร้สาเหตุ...

    ไม่ได้เห็นนายน้อยแม้แต่เงามาหลายวัน...ตอนที่มัวแต่เหม่อลอย นางไม่ทันได้สังเกตเรื่องนี้ แต่ตอนนี้นางสังเกตเห็นแล้ว

    “ทำไมถึงไม่เห็นเหล่าหวางเยี่ย(๕)เลยเล่า ?”

    “เหล่าหวางเยี่ยไม่ได้ร่วมทางกับพวกเราเจ้าค่ะ”

    “อย่างนั้นท่านอยู่ที่ใดหรือ ?”

    “ไม่ทราบเหมือนกันเจ้าค่ะ”

    เมื่อได้ทราบว่าพวกสาวใช้ไม่ทราบอะไรจริงๆ  หญิงสาวก็คิดจะออกจากห้องไปหานายน้อย แต่กลับถูกขวางเอาไว้ที่หน้าประตู

    “ถ้าพี่จะไปหานายน้อย พวกเราจะไปเชิญมาให้เองเจ้าค่ะ”

    ครู่หนึ่งให้หลังสาวใช้ก็กลับมาบอกว่า

    “นายน้อยไม่อยู่เจ้าค่ะ กลับมาเมื่อไรคงจะมาหาพี่เองกระมัง”

    ไม่ได้พบหน้าเหอเสียมาหลายวัน การข่าวเหมือนจะถูกตัดขาดจนหลงเหลือเพียงน้อยนิด พิงถิงมองไม่เห็นสภาพโดยรอบ ทั้งข้างกายและรอบนอกมีแต่ความเลือนรางทั้งสิ้น

    หญิงสาวมิอาจไม่หนาวเยือกในใจ แค่พลัดหลงไปอยู่ที่อื่นพักเดียว เหตุใดจึงเปลี่ยนแปลงไปได้มากเพียงนี้ ?

    นี่ทางวังเปลี่ยนไป...หรือนางเองที่เปลี่ยน ?

    ไม่นาน...อาการป่วยที่ไปติดมาเมื่อปีก่อนก็กำเริบขึ้นอีกครั้ง

    พิงถิงตื่นขึ้นกลางดึก แล้วไอไม่ได้หยุด จนต้องเชิญหมอมาตรวจและต้มยากันวุ่นวายไปทั้งคืน

    จากคุณ : Linmou - [ 21 พ.ย. 51 11:17:57 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com