บทที่ 1 - 11 http://my.dek-d.com//story/view.php?id=423352
บทที่ 12
ในสายลมวิกาล พิงถิงและตงจั๋วได้ผ่านพ้นเวรยามป้องกันอันแน่นหนาของเรือนพักร้อนมาโดยสวัสดิภาพ
แขนเรียวบางโอบห่อผ้าเรียบง่าย สหายด้านหลังมีตงจั๋วเพียงหนึ่งเดียว พิงถิงเหลียวกลับไป มองแสงโคมไฟจุดเล็กๆ ซึ่งซ่อนเร้นอยู่กลางไหล่เขา
...จุดใดหนอคือแสงไฟบนโต๊ะของนายน้อย ?...
ยามเบือนหน้ากลับ เหมือนก้อนสะอื้นจะตีตื้นขึ้นมา
ไม่ต้องไปส่งแล้วล่ะ พิงถิงห้ามเด็กหนุ่ม กลับไปเถอะ
ข้า...... ตงจั๋วทำท่าจะพูดแล้วกลับชะงัก ยื่นบังเหียนไปให้พิงถิง แล้วเมินหน้าหนี พูดอย่างอัดอั้น รักษาตัวให้ดีๆ ล่ะ
พิงถิงเหวี่ยงตัวขึ้นหลังม้า การออกแรงกะทันหันส่งผลให้หน้ามืดวูบโงนเงน แทบจะเสียหลักพลัดตกลงมา หลังจากกัดฟันข่มกลั้นนั่งได้มั่นคงแล้ว ยังไม่ทันได้สะบัดแส้ ตงจั๋วก็ร้องเรียกขึ้นเบาๆ
พี่พิงถิง......
พิงถิงมิอาจไม่หันกลับไปมอง
ดูเหมือนตงจั๋วจะซ่อนความในใจเอาไว้ไม่อยู่ จึงเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า
ความจริง...ข้าบอกเรื่องในคืนนี้กับนายน้อยหมดแล้ว
พิงถิงมองหน้าเด็กหนุ่ม แล้วอดไม่ได้ต้องหันไปมองเชิงเขาอันเป็นสถานที่ซึ่งเหล่าผู้คนในวังจิ้งอานหวางกำลังพักผ่อนอีกครั้ง
พรุ่งนี้...พวกเขาควรจะออกเดินทางกันอีก...เปลี่ยนไปสู่รังที่ปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม
ความอ้างว้างอาดูรได้พลุ่งมาจากรอบทิศทางอย่างเลือนราง หญิงสาวเอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์
นายน้อยว่าอย่างไรบ้าง ?
นายน้อยบอกว่า...หากเจ้าเชื่อใจตัวเอง เจ้าจะไม่มีทางไปจากพวกเรา ในเมื่อเจ้าจะจากไป พวกเราก็ไม่ควรรั้งไว้ และไม่สามารถรั้งไว้ได้
แล้วอย่างไรอีก ?
ตงจั๋วก้มหน้า ไม่มีแล้ว
พิงถิงขยับริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ถอนหายใจแผ่วเบา
ตงจั๋ว เจ้าโตแล้วจริงๆ...รู้จักโกหกเป็นแล้ว
ข้า...... ตงจั๋วก้มหน้าต่ำกว่าเดิม เนิ่นนานให้หลังจึงค่อยขยับริมฝีปากพูดเหมือนกระซิบ ......นายน้อยบอกว่า ความจริงเจ้าจะหนีไปด้วยตัวเองเพียงลำพังก็ได้ แต่เจ้ากลับมาให้ข้าช่วย เป็นเพราะ......เป็นเพราะแค่อยากจะใช้แผนกับนายน้อยอีกครั้ง...บีบให้นายน้อยต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเท่านั้น นายน้อยบอกว่าเดิมทีต่อให้ต้องยอมหลงกล นายน้อยก็จะรั้งเจ้าไว้ข้างกาย แต่ตอนนี้......
ตอนนี้คือช่วงเวลาคับขันที่เกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของวัง นายน้อยจึงมิอาจไม่ละทิ้งสาวใช้ผู้หนึ่งสินะ พิงถิงเอ่ยต่อให้อย่างเยือกเย็น แล้วแหงนหน้าขึ้นมองแสงดาวพร่างพราวฟ้า ก่อนจะยิ้มขื่นพร้อมกับพยักหน้า ข้าจะบอกให้นะ...นายน้อยไม่ได้ทายผิดหรอก
จบคำก็สะบัดแส้ม้าทันทีโดยไม่รอให้ตงจั๋วเอ่ยปาก
ยอดอาชาซึ่งผ่านการคัดสรรอย่างดีของทางวังแผดร้องก้อง ปล่อยฝีเท้าห้อตะบึงอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวกุมบังเหียน ปล่อยให้น้ำตากบสองตาจนฝ้าฟาง
...ลาก่อน...วังจิ้งอานหวาง ความรุ่งโรจน์โชติช่วงในวันวานของท่าน การซ่อนคมงำประกายในวันนี้ของท่าน จะไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับพิงถิงอีก...
...กระบี่หลีหุนวางอยู่บนขอบหน้าต่าง พรุ่งนี้เมื่อตะวันเบิกฟ้า แสงสะท้อนอันบาดตาจากกระบี่จะตกกระทบลงบนเตียงอันว่างเปล่าของข้า นั่นเป็นการละเล่นที่เราสองคนชอบเล่นกันบ่อยๆ เมื่อสมัยยังเด็ก...
...น่าเสียดายที่พิงถิงไม่เหี้ยมพอ...
...หากข้าเหี้ยมพอ โดยเอียงตัวกระบี่อีกเล็กน้อย ให้แสงสะท้อนสาดส่องไปต้องระฆังทองเหลืองขนาดใหญ่ซึ่งขัดจนมันวาวราวกับกระจกบนหลังคาฝั่งตรงข้าม แสงสะท้อนจากระฆังซึ่งสาดส่องสู่ที่ไกล...จะกระตุ้นให้เหล่าทหารของทางการที่กำลังไล่ตามสืบเสาะร่องรอยไปทั่วในละแวกใกล้เคียงรู้ตัว...
...นายน้อย...หึ...เหอเสีย...วันรุ่งขึ้น เมื่อได้เห็นหลีหุน ท่านจะคิดเช่นไร ?...
ดวงจันทร์หลบเร้นกายอยู่หลังม่านเมฆเบาบาง ดวงตะวันค่อยๆ ไต่ขึ้นมาเบื้องบูรพาทิศ
หนึ่งยอดอาชาสะกิดฝุ่นทรายฟุ้งตลบ ห้อตะบึงบนถนนดินเหลืองทอดสู่อุดรทิศ
คราบน้ำตาบนดวงหน้านวลได้ถูกสายลมและฝุ่นทรายกลบบัง พิงถิงเบือนหน้าไป หรี่ตามองดวงตะวันสีแสดแดง
ดวงตะวันใกล้จะขึ้นสูงแล้ว...ความรู้สึกอบอุ่นคงจะแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ กระมัง...
ย่าห์ !
หญิงสาวตวาดก้องอย่างฮึกหาญ สะบัดแส้อีกครั้ง
สายลมพัดมาปะทะใบหน้า
วิ่งไปเถิด เมื่อห้อตะบึงผ่านผืนดินเหลืองอันทอดยาวเหมือนไม่มีวันสิ้นสุดแห่งนี้ไป จะเป็นเป่ยม่อ...ที่ซึ่งไม่มีทั้งเหอเสีย...และฉูเป่ยเจี๋ย...
<>::<>::<>
ทุ่งหญ้ากว้างไพศาลเขียวขจีดั่งผืนพรม...งดงามสมกับที่หยางเฟิ่งเคยบอกเอาไว้จริงๆ
ในที่สุดก็มาถึงอาณาเขตของเป่ยม่อ...
สุดปลายของทุ่งหญ้า มีภูผาสูงใหญ่ อาจเป็นได้ว่าผ่านเหมันต์อันเหน็บหนาวทารุณ ลมหายใจอบอุ่นแห่งวสันต์จึงอวดศักดาอย่างลำพองยิ่งกว่าทางใต้อยู่บ้าง ใต้พฤกษ์ไพรอันอุดมยังมีพุ่มไม้แสนเริงร่ากอแล้วกอเล่าพากันเชิดหน้าชูคอ
ลำธารใสกระจ่างสายหนึ่ง ไหลคดเคี้ยวลงมาจากบนภูจนถึงเชิงเขา
อาคันตุกะจากแดนไกลเลือกช่วงริมธารที่น้ำใสสะอาดลงจากหลังม้า ผูกบังเหียนกับลำต้นไม้
อากาศซึ่งยังคงเย็นเฉียบอยู่เล็กน้อยโอบล้อมร่างบอบบางเอาไว้อย่างอ่อนโยน ดวงหน้าซึ่งไม่อาจกล่าวได้ว่างดงามค่อนข้างซูบเซียว ดวงตาของหญิงสาวสุกสกาวกว่าน้ำค้าง มือเรียวบางยกขึ้นป้องหน้าผากอย่างแช่มช้า ทอดตามองไปยังทุ่งหญ้ากว้างซึ่งเพิ่งจะขี่ม้าผ่านมาเมื่อสักครู่
ณ ที่ไกลตา เหล่าชนเลี้ยงสัตว์อันห้าวหาญเปิดเผยกำลังโก่งคอเปล่งเสียงขับขาน
อินทรีผู้โผบินมา ท้องฟ้ายิ่งใสกระจ่าง โอ้แม่นางผู้งดงามเอย ไล่ตามลูกม้าน้อยอยู่บนท้องทุ่งกว้าง......
พิงถิงคลี่ยิ้มอย่างอดไม่ได้ ย่อเอวลงกอบน้ำขึ้นมา
...เย็นเฉียบเชียว...คงจะเป็นน้ำจากหิมะละลายบนยอดเขาสินะ...
ดื่มอย่างชื่นใจไปหนึ่งคำ หญิงสาวพริ้มตาลงถอนหายใจอย่างแสนสบาย
...หวานจริงๆ...
ใกล้ถึงแล้ว...สุดปลายของการเดินทางอันแสนอ่อนเพลียทว่าชุ่มชื่นใจ คือสถานที่เร้นกายของสหายรักในห้องหอ
เลือกต้นไม้ใหญ่ชราซึ่งลำต้นเหยียดตรง นั่งลงพิงพักผ่อนชั่วครู่ หญิงสาวหลับตาลง
หนทางซึ่งหยางเฟิ่งเลือกเดินโดยไม่เสียดายกับการละทิ้งทุกสิ่ง เป็นหนทางที่ถูกต้องหรือไม่ ? ผ่านไปอีกครึ่งวันก็จะได้ทราบคำตอบ...
แล้วหนทางที่พิงถิงเลือกเล่า ? การมาเป่ยม่อน่าจะไม่ได้เลือกผิด ท้องฟ้าสีครามปุยเมฆสีขาวทุ่งหญ้าเขียวขจี บางทีโดยเนื้อแท้แล้วนางอาจจะเหมาะสมกับสถานที่เช่นนี้ก็เป็นได้...วิถีชาวบ้านอันเรียบง่ายใสซื่อ ธาตุแท้ดั้งเดิมของมนุษย์อันไร้ซึ่งการหักเล่ห์ชิงเหลี่ยม
สายน้ำระเรื่อยไหล ภูไพรทอดอิงแอบ
ระหว่างหลับตาผ่อนคลาย เสียงฝีเท้าได้ดังขึ้น
...มีคนหรือ ?... พิงถิงลืมตาขึ้นมองไปยังทิศที่มาของเสียงฝีเท้า
เห็นได้ชัดว่าอาคันตุกะผู้ผ่านทางอีกคนก็ติดใจทิวทัศน์อันน่ารื่นรมย์และลำธารสายน้อยของที่แห่งนี้เช่นกัน จึงกำลังลงจากหลังม้าจูงบังเหียนเดินตรงเข้ามา
อีกฝ่ายเป็นบุรุษ ไหล่บ่ากว้าง กระบี่ตรงเอวและคันธนูบนหลังดูท่าทางคงไม่เคยห่างจากกาย หนวดเครารกครึ้มเต็มหน้าจนคะเนอายุที่แน่ชัดไม่ออก นัยน์ตาทอประกายเจิดจ้า
เมื่อพบว่าที่ตรงนี้มีคนอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังเป็นสาวน้อยนัยน์ตากลมโต ชายผู้มาใหม่ก็มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย
ม้าดีจริงๆ
ชายผู้นี้ไม่สนใจพิงถิง สายตาเบนไปจับจ้องยังม้าของหญิงสาว นัยน์ตาทอประกายชื่นชม
พิงถิงยิ้มบางๆ ลุกขึ้นยืนพร้อมกับปลดสายบังเหียนจากลำต้นไม้
นางควรจะไปต่อได้แล้ว...
กูเหนี่ยง ม้าตัวนี้ขายหรือไม่ ?
เสียงถามดังลั่น เป็นเสียงของชายหนุ่มแห่งทุ่งหญ้าซึ่งเคยชินกับการร้องตะโกน
สายตาของชายคนนี้ไม่เลวเลย เพราะม้าตัวนี้คือม้าชั้นดีเลิศเป็นอันดับต้นๆ ของวังจิ้งอานหวาง เจ้าหนูตงจั๋วนี่นับว่าพอจะใจดีอยู่บ้างจริงๆ เพราะยกให้พิงถิงทั้งม้าชั้นเลิศและเงินทองก้อนใหญ่ไม่ใช่น้อย
ไม่ขาย
จบคำก็กระโดดขึ้นหลังม้าอย่างสง่างาม และค่าตอบแทนจากการแสดงออกอย่างโฉบเฉี่ยวจนเกินไปคืออาการหน้ามืดวูบในทันที
หญิงสาวนั่งหลับตานิ่งเพื่อให้อาการประท้วงของร่างกายที่ยังไม่หายป่วยดีนักสงบลง ครู่ใหญ่ให้หลังจึงค่อยลืมตาขึ้นถามว่า
พี่ชายท่านนี้ หมู่บ้านตัวตัวเอ่อร์(๑)อยู่ข้างหน้านี่เองสินะ ?
เจ้าจะไปหมู่บ้านตัวตัวเอ่อร์หรือ ?
ใช่แล้ว
เจ้าเป็นคนของหมู่บ้านตัวตัวเอ่อร์รึ ?
มิได้ ข้ามาหาคนน่ะ
ชายหนุ่มหัวเราะ คนในหมู่บ้านย้ายไปกันหมดแล้ว เจ้าไปหาก็ไม่พบหรอก
ย้ายแล้ว ? พิงถิงตะลึง ทำไมถึงย้ายเล่า ? แล้วย้ายไปที่ไหน ? สมองซึ่งไม่ยอมหยุดนิ่งเริ่มทำงานอย่างว่องไวอีกครั้ง
...หยางเฟิ่งไม่มีทางย้ายบ้านโดยไร้เหตุผลแน่ เว้นแต่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น...
เพื่อรักษาความลับ หลังจากได้ทราบแน่ชัดถึงสถานที่ซึ่งหยางเฟิ่งลงหลักปักฐานแล้ว หญิงสาวก็ไม่ได้ติดต่อหาเพื่อนรักอีก จึงจนหนทางจะได้รับเบาะแสสำหรับสันนิษฐานถึงเหตุผลกลนัยในการย้ายที่อยู่ของหยางเฟิ่งมากไปกว่านี้
จากคุณ :
Linmou
- [
22 พ.ย. 51 07:51:16
]