Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    เดินทางกับหนูมินท์ ๑

    ถนนที่หมาพากันเดินข้าม

    จำไม่ได้แล้วล่ะว่าตอนที่ผมกับหนูมินท์เริ่มออกเดินทางด้วยกัน เราตั้งใจจะไปที่ไหน
    ตอนแรกเราอาจจะมีเป้าหมายไปที่ใดที่หนึ่งนี่แหละ แต่พอออกเดินทางได้ซักพัก
    เป้าหมายของเราก็เริ่มเลือนลางไปเรื่อยๆตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น จนในที่สุด เป้าหมายก็
    หายไปพร้อมกับจุดเริ่มต้น แต่ช่างมันเถอะ ถึงผมจะไม่รู้จุดหมายว่าจะไปที่ไหน ผมก็
    พอใจที่จะเดินทางอย่างนี้กับหนูมินท์แบบนี้ไปเรื่อยๆ

    หนูมินท์เป็นรถไดฮัทสุ รุ่น มิร่า สีขาวนวล คันเล็กน่ารัก บางทีผมก็เรียกหนูมินท์ว่า
    กระป๋องแป้ง ซึ่งดูเหมือนเธอจะงอนหน่อยๆ เวลาที่ผมเรียกชื่อนี้ เพราะเวลาเรียกเธอ
    แบบนั้นทีไร จะเร่งเครื่องไม่ค่อยขึ้นทุกที

    เรากำลังขับไปบนถนนเส้นหนึ่ง  ถนนเส้นนี้แปลกมาก ป้ายบอกทางที่วิ่งถอยหลังหนี
    เราไปตลอดสองข้างล้วนแต่เหมือนกันไปหมด

    ป้ายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสีเหลืองที่มีรูปหมากำลังเดินข้ามถนน

    "หมายความว่าไงเนี่ย ?"
    ผมถามหนูมินท์ แต่ก็เหมือนที่เคยเป็น เธอไม่ได้ตอบผมกลับ ผมก็เลยต้องสงสัยต่อไป
    เราเดินทางต่อได้อีกไม่นาน ความสงสัยของผมได้คลี่คลายลง เมื่อได้เห็นภาพที่อยู่
    ตรงหน้า

    หมาห้าตัวกำลังพากันเดินเรียงแถวข้ามถนนอยู่

    แม้ว่าผมจะบีบแตรเตือนพวกมันไปแล้วแต่พวกมันก็ไม่ได้สนใจพวกมันยังคงพากันข้าม
    ถนนกันต่อไป ผมก็เลยต้องหยุดรอจนพวกมันพากันข้ามเสร็จถึงเดินทางต่อได้

    เราไปต่อกันได้สักหน่อยก็เจอหมาอีกตัวกำลังจดๆ จ้องๆ ตรงไหล่ทาง ทำท่าเหมือน
    กำลังจะข้ามถนน พอมันหันมาเห็นพวกเรา มันก็หยุดนิ่งจ้องมอง ผมเลยเบาใจว่ามันคง
    ไม่วิ่งตัดหน้า พอขับผ่านเลยไป ผมแอบมองมันผ่านทางกระจกหลัง มันหันซ้ายที
    ขวาทีอีกครั้งก่อนรีบวิ่งตัดถนนไปอีกฟาก

    ผมลอบยิ้มนิดๆ เออ หมามันมองซ้ายขวาก่อนข้ามถนนแฮะ ทำเหมือนกับคนเลย

    สายลมโกรกผ่านกระจกข้างที่ผมเปิดเอาไว้ ลมพัดเอาความเย็นสบายมาให้ผมและ
    หนูมินท์ เราเดินทางอย่างอารมณ์ดี



    "เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ? "
    ผมถามชายผู้หนึ่งที่กำลังเดินงุ่นง่านไปมารอบรถ

    รถของเขาแหกลงข้างทาง ล้อหน้าจมลงไปในหล่มโคลน ไม่ว่าเขาจะเร่งเครื่องยังไง
    รถก็ไม่ยอมหลุดออกมา เขาจึงลงมารถอย่างหัวเสีย ผมมาเห็นเข้าก็เลยหยุดหนูมินท์
    แล้วลงมาดู

    "หมาวิ่งตัดหน้าผม ผมหักหลบมันจนลงข้างทาง แล้วนี่ดูสิ รถดันติดหล่มอีก ซวยจริงๆ
    ไอ้หมาเวรเอ้ย !"
    เขาบ่นอย่างมีอารมณ์ พร้อมกับสบถให้กับตัวการของเรื่อง

    ผมกับเขาช่วยกันกอบก้อนกรวดและหินที่อยู่ไหล่ทางมาถมล้อข้างที่จมลงในหล่มโคลน
    พอได้ปริมาณเพียงพอกับการตะุกุย เขาก็ขึ้นขับรถเร่งเครื่องเต็มกำลังโดยมีผมช่วยดัน
    รถอีกแรง ในที่สุดรถของเขาก็กลับขึ้นมาบนถนนได้เหมือนเดิม

    "ขอบคุณมากเลยครับ ถ้าไม่ได้คุณช่วย มีหวังผมได้ติดอยู่นี่อีกนานแหงๆเลยครับ
    ไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี ตอนนี้ผมเองก็ไม่อะไรติดตัวซะด้วย ถ้ายังไงขอที่อยู่ของคุณ
    หน่อยสิครับ ผมจะได้ส่งของมาขอบคุณคุณ"
    "ฮ่ะๆ ผมไม่มีที่อยู่หรอกครับ ตอนนี้ผมกำลังออกเดินทางเลยไม่ได้อยู่เป็นหลักแหล่ง
    แล้วก็ไม่ต้องขอบคุณอะไรมากมายหรอกครับ ช่วยๆกัน"

    เขามองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งด้วยดวงตาที่มีแววของความตั้งใจ ก่อนจะเปิดกระเป๋าเงิน
    หยิบเอานามบัตรยื่นให้ผม
    "ถ้าคุณมีปัญหาอะไรหรือต้องการความช่วยเหลือ ติดต่อผมได้ตามนี้เลยนะครับ"

    หลังจากช่วยรถติดหล่ม เราเดินทางกันมาได้สักพักใหญ่ ระหว่างทางที่ผ่านมาเจอพวก
    มันข้ามถนนกันหลายตัวมาก ข้ามไปมาจากสองฟากถนน บางตัวก็ข้ามอยู่ไกลๆ บางตัว
    ก็ชอบวิ่งตัดหน้ารถ ผมรู้สึกเหนื่อยในการระวังพวกมันจนต้องยอมขับรถช้าๆ

    อะไรของพวกมัน ?

    ผมมีความสงสัยใหม่ขึ้นมา ทำไมถนนเส้นนี้ถึงมีได้มีหมาข้ามถนนเยอะแยะขนาดนี้ มัน
    คิดอะไรของมันกันหนอ บางทีถนนเส้นนี้อาจจะตัดขวางเส้นทางของพวกมันมั้ง ?
    สงสัยว่านี่คงจะเป็นสี่แยกของถนนคนและหมาก็ได้

    ผมเดินทางต่อไปพร้อมกับข้อสงสัยในใจ



    ผมบีบแตรเตือนเจ้าหมาที่กำลังจดๆจ้องจะข้ามถนนอยู่ พอมันได้ยินเสียงแตรมันก็สะดุ้ง
    แต่แทนที่มันจะหยุด มันกลับวิ่งข้ามถนนไปในทันที

    โครม !
    เอี๊ยดดดด !

    รถที่วิ่งตามหลังผมมากำลังตีคู่ขนาบข้างหนูมินท์เพื่อที่จะแซง แต่แล้วก็ชนเข้ากับหมา
    ตัวที่วิ่งตัดหน้าเราไปแล้วอย่างเต็มแรง เจ้าของรถเหยียบเบรคอย่างเต็มกำลังจนทำให้
    ถนนมีเส้นขนานสีดำเป็นทางยาว

    ผมพาหนูมินท์แอบข้างทาง เดินไปดูรถคันที่เกิดอุบัติเหตุ กันชนและหม้อน้ำของรถพัง
    ยับเยิน ไอน้ำร้อนๆพุ่งออกมาจนเป็นควันสีขาว เจ้าของรถกำลังบริภาษหมาผู้โชคร้าย
    ตัวนั้นอย่างรุนแรง

    "เป็นอะไรรึเปล่าครับ ?"
    ผมถามเขา

    แต่เขาไม่ตอบกลับ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสาย เขาคุยโทรศัพท์โดยไม่ได้
    สนใจผมเลย น้ำเสียงและคำพูดคำจาค่อนข้างจะแรงและกระแทก ดูเหมือนว่าเขากำลัง
    ถกเถียงกับใครสักคนหนึ่งอยู่

    ผมมองรอบๆที่เกิดเหตุ ไม่เห็นร่างของหมาที่โชคร้ายตัวนั้นเลย ไม่ว่าจะข้างหน้าหรือ
    ข้างหลังรถก็ไม่เห็น ผมเลยชะโงกดูใต้ท้องรถ หมาตัวนั้นนอนนิ่งอยู่ใต้ท้องรถ ร่างของ
    มันหันพลิกอย่างผิดธรรมชาติ

    มันคงตายแล้วล่ะ

    ผมเดินไปเปิดหลังหนูมินท์ หยิบเอากรวยจราจรออกมา 2 อัน วางไว้ทั้งข้างหน้าและ
    หลังรถคันนั้นเพื่อเตือนรถที่ขับผ่านไปมาให้ระวัง เพราะดูท่าเจ้าของรถจะไม่สนใจอะไร
    อย่างอื่นอีกแล้วนอกจากโทรศัพท์มือถือ

    รถที่ผ่านไปมาบางคันก็ขับช้าๆผ่านเลยไป บางคันก็หยุดถามไถ่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ผมยืน
    บอกพวกเขา พวกเขาพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะแสดงเห็นใจกับผม ก่อนขับจากไป

    เจ้าของรถยังคงคุยโทรศัพท์อยู่ ไม่ได้มารับฟังความเห็นใจแต่อย่างใด

    ต่อมาไม่นานนัก รถเปิดไซเรนคันหนึ่งก็มุ่งมาที่เรา พอมาถึงเจ้าหน้าที่สามคนก็ลงมา
    จากรถ หนึ่งในนั้นเดินเข้าไปถามและพูดกับเจ้าของรถที่หยุดคุยโทรศัพท์แล้ว สองคนที่
    เหลือเข้ามาถามหาหมา พอผมบอกไป พวกเขาก็รีบมุดเข้าใต้ท้องรถเพื่อช่วยเหลือหมา
    ทันที ร่างของหมาถูกนำออกมาจากใต้ท้องและถูกทำการกู้ชีพทันที เจ้าหน้าที่สองคน
    นั้นทำการกู้ชีพอยู่นานพอสมควรก่อนจะยอมถอดใจเอาผ้าขาวห่อร่างเจ้าหมาไว้
    หลังจากที่ไม่มีการตอบสนองจากสัญญาณชีพบนเครื่องช่วยหายใจภาคสนาม

    รถตำรวจมาถึง ผู้คนจำนวนหนึ่งที่ดูท่าว่าจะเป็นชาวบ้านแถบนี้ต่างทยอยกันเข้ามาถาม
    ไถ่กับเจ้าหน้าที่สองคนนั้น พอพวกเขาทราบข่าวว่าเจ้าหมาได้ตายไปแล้ว สีหน้าของ
    พวกเขาก็ดูสลดลง เด็กน้อยบางคนมีน้ำรื้นๆอยู่ในดวงตาของพวกเขา

    "อะไรนะ ! นี่มันบ้าไปแล้ว ! ทำไมผมต้องจ่ายค่าปรับข้อหาชนหมาตายด้วย มันมีที่ไหน
    กฎหมายบ้าๆแบบนี้ !"
    เจ้าของรถคันเกิดเหตุอุทานด้วยเสียงอันดัง

    ดูเหมือนว่าพอมาถึงตำรวจก็แจ้งข้อหากับเขา ซึ่งเขาไม่ยอมรับ แม้ว่าตำรวจจะพยายาม
    อธิบายให้เขาเข้าใจ แต่เขาก็ไม่สนใจ โวยวายใหญ่โตบอกกับตำรวจให้รอคุยกับตัวแทน
    ประกันภัยที่กำลังจะมา

    ผมละความสนใจจากทางนั้น มองไปที่เจ้าหน้าที่และชาวบ้านที่มา พวกเขากำลังทำการ
    ฝังศพหมาในหลุมที่พวกเขาขุดมา เมื่อทำการฝังศพหมาเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็นำป้ายสุสาน
    ที่เขียนว่า "ผู้จากไปขอจงไปสู่สุขคติ" มาปักไว้เหนือหลุมศพ ทุกคนต่างยืนสงบนิ่งไว้
    อาลัยครู่หนึ่ง พอเสร็จสิ้นพิธีเจ้าหน้าที่ก็ขับรถจากไป ชาวบ้านบางส่วนก็แยกย้ายกันกลับ
    บางส่วนก็จับกลุ่มคุยกัน

    ผมเดินไปหาพวกเขาแล้วถามผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มนั้น
    "เอ่อ ขอโทษครับ ทำไมถึงใส่ใจกับหมาจังเลยครับ ?"

    หญิงคนนั้นหันกลับมามองที่ผมครู่หนึ่งก่อนจะอธิบายให้ฟัง
    "คืออย่างงี้ แต่ก่อนเราก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก หมาพวกนี้ก็ไม่ใช่หมาที่พวกเราเลี้ยง
    มันมาจากที่ไหนเราก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าพวกมันเดินข้ามถนนแบบนี้มาตั้งนานแล้ว รถที่ผ่านไป
    มาชนพวกมันบ่อย เจ็บบ้างตายบ้าง บางครั้งก็มีหมาตายขึ้นอืดเกลื่อนข้างทาง แต่ก็
    ไม่มีใครสนใจ จนวันหนึ่งมีคนขับรถผ่านมาเห็นเข้า เขาก็เริ่มจัดการฝังหมาที่ตายตาม
    ข้างทาง พอฝังเสร็จเขาก็มาเข้ามาถามพวกเรา พอเขารู้ว่าไม่มีใครจัดการทำอะไร
    เกี่ยวกับหมาพวกนี้ เขาก็เลยเริ่มรณรงค์ให้เราเห็นความสำคัญของพวกมัน พวกเราจึง
    เริ่มตื่นตัว หน่วยงานต่างๆก็เข้ามามีส่วนร่วม ทุกคนต่างให้ความสำคัญกับพวกมัน จนมา
    เป็นอย่างที่เห็นนี่แหล่ะ"

    ผมพยักหน้าเข้าใจในเรื่องที่เธอพูด คุยกับเธอต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะขอตัวออกมา
    ผมเดินไปเก็บกรวยจราจรใส่หลังหนูมินท์ไว้เหมือนเดิม

    เราออกเดินทางกันต่อกันอย่างเอื่อยเฉื่อย ยังเหลือระยะทางอีกไกลกว่าจะพ้นถนนเส้นนี้
    ผมเหม่อมองนอกหน้าต่าง มีหลุมฝังศพประปรายเรียงรายตลอดสองข้างทาง

    พวกหมาก็ยังคงข้ามถนนผ่านหน้าพวกเราอยู่เรื่อยๆ


    งานเขียนนี้ได้แรงบันดาลในจาก "การเดินทางของคิโนะ" ของคุณ ชิกุซาวะ เคอิจิ

    แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 51 20:39:26

     
     

    จากคุณ : garnet19th - [ 9 ธ.ค. 51 17:36:22 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com