Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    บันทึก : ละคร ระบำ และความรัก

    “ ตกลง งานนี้ ผมมอบให้พี่เป็นไดเร็คเตอร์นะ “ ท่านผู้กำกับ (ที่รักยิ่ง) ของผม บอกผมมาเช่นนั้น

    “ก้อ …ได้…” ผมว่า พลางทำหน้าเจื่อน ๆ เพราะในชีวิตนี้ ไม่เคยมั่นใจในตัวเองเลยว่าจะทำได้อย่างที่ท่านผู้กำกับ (ที่รักยิ่ง) อุตส่าห์ไว้วางใจหรือไม่

    และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมก็ต้องเอาใจใส่อะไรต่อมิอะไรกับน้อง ๆ ทั้งหลาย ทั้งที่ไม่อยากทำ จนปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมด เพราะ สากกระเบือยันเรือรบ ก็มาอยู่ในหัวอกของผมคนเดียว…จนอยากจะบ้าตายวันละหลายร้อยหน แต่นั่นก็ยังไม่รู้สึกว่ามีความทุกข์เท่ากับที่…แทบจะต้องอดไปนั่งเพลิน ๆ กับเบียร์กระป๋อง เมื่อเวลาเลิกงานเลย…

    เรื่องของเรา นำเสนอแก่เด็กเล็ก ๆ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในงานประจำปีของมูลนิธิหนึ่ง โดยเนื้อเรื่องมีอยู่ประมาณว่า ในป่าแห่งหนึ่งมีดอกไม้ใหญ่ งดงาม ซึ่ง คุ้นเคย และทักทายกับเหล่าผีเสื้อแสนสวยอยู่เป็นประจำ จนกระทั่ง วันร้ายคืนร้ายวันหนึ่ง (…แถ่น…แทน…แท้นนน…) ก็มีเจ้านกเกเรตัวใหญ่ตัวหนึ่ง (หน้าตาคล้าย ๆ กับนกกระจอกเทศ) มารบกวนราวี จิกตีดอกไม้นั้น เหล่าผีเสื้อก็พยายามที่จะหาวิธีการปกป้องดอกไม้นั้นจนสำเร็จ เจ้านกร้าย (ซึ่งเป็นผู้ร้าย) ก็พ่ายแพ้ไปตามระเบียบ

    ทีนี้จะได้มาว่ากันถึงเรื่องวิธีการนำเสนอ หุ่นของเราเป็นหุ่นใหญ่เท่าตัวคน และไม่ต้องการโรงหุ่น เพราะเราเล่นในลักษณะที่เป็นละครเวทีไปเลยทีเดียวแหละ มีทั้งการเชิดหุ่น และผู้เชิดหุ่นนั้นเอง ก็เต้นระบำรำฟ้อนไปด้วยพร้อม ๆ กัน

    ในการกำหนดการจึงต้องสร้าง หุ่นดอกไม้ หนึ่งหุ่น (คนเชิดหนึ่งคน) หุ่นนกร้ายหนึ่งหุ่น (คนเชิดสองคน) และหุ่นผีเสื้อสี่หุ่น (คนเชิดสามคน)

    ท่านผู้กำกับการแสดง (ที่รักยิ่ง) ก็ได้กำหนดตัวแสดงในหมู่พวกเราไว้แล้วจนเกือบครบทุกคน ขาดเพียงคนเดียวก็คือ ผู้เชิดหุ่นผีเสื้อหนึ่งในสามคน คนหนึ่งเท่านั้น

    แต่แม่ผู้ประสานงาน (ในตอนเริ่มแรก) เธอก็ได้อุตส่าห์ไปสรรหา เฟ้นหา คนที่เธอคิดว่าจะมาเป็นผู้เชิดหุ่นผีเสื้อ ที่เหลืออีกหนึ่งตัวนี้อย่างขะมักเขม้น จนกระทั่งไปเอาสวิงไปครอบยายอะไรซักคนหนึ่งมาจนได้

    ส่วนในการปฏิบัติการสร้างหุ่นทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นหุ่นดอกไม้ หุ่นผีเสื้อ จนกระทั่งถึงหุ่นเจ้านกกระจอกเทศเกเรตัวนั้น พวกเราก็ต้องสร้างหุ่นที่ใหญ่เท่าตัวคนกันเอง ผมจึงได้ไปขอความช่วยเหลือจากน้องนายช่างวิศวกรคนหนึ่งในคณะละครของเรานั้นเอง ซึ่งเขาก็ได้ให้ความกระตือรือร้นที่จะร่วมมือด้วยอย่างเต็มใจ (จนเกินเหตุ ?) โดยเขาก็ค่อย ๆ เก็บรายละเอียดจากที่ผมได้บรรยายสรุปเล่าความต้องการให้ฟัง ว่าอยากจะให้หุ่นนั้น มีลักษณะเป็นอย่างไรบ้าง แล้วจึง มาเริ่มประดิษฐ์หุ่นเหล่านั้นขึ้นมาด้วยความรู้ความสามารถในเชิงช่างของเขา อย่างสวยงามและแข็งแรง เอาละ เป็นอันว่าตอนนี้เราก็ได้หุ่นครบทั้งหมดทุกตัวทุกสิ้นทุกประการแล้ว

    อ้อ ! ที่จะลืมกล่าวถึงมิได้อีกคนหนึ่งก็คือ น้องสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้เก็บรายละเอียดในตัวหุ่นเหล่านั้นด้วยความละเมียดละไม และทำให้หุ่นใหญ่ ๆ ของนายช่างนั้น มีความงดงามด้วยลายเล็กลายน้อยที่ประดับอยู่อย่างสมบูรณ์แบบ และเชิดชูความน่าสนใจ คล้ายกับจะเปรียบเทียบได้ว่า มีวิศวกรผู้กำหนดวิธีการก่อสร้างอาคาร และมีมัณฑนากรที่เป็นผู้ตกแต่ง ประดับประดาให้อาคารนั้นงดงามน่าอยู่ขึ้น ฉะนั้น  
     
                    ขออนุญาตถอยกลับไปคุยถึงน้องคนที่มาใหม่ และถูกกำหนดให้เป็นผีเสื้อตัวสุดท้าย อีกสักครั้งหนึ่งเถิดครับ เพราะไอ้หนูคนนี้ มีเรื่องราวที่น่าจะกล่าวถึงอีกมากมายทีเดียว

    คือในประการแรก เธอเป็นคนที่ “รู้รำ” ในขณะที่ผมเอง ถึงแม้ว่าจะได้รับการอุปโลก ให้เป็น ผู้กำกับการแสดง ก็ตาม แต่ผมก็มิได้มีความรู้ในทางด้าน นาฏศิลป์ เลยแม้แต่น้อยนิด จึงต้องขอให้น้องเขาช่วยออกแบบกันตั้งแต่ท่าเต้นระบำผีเสื้อเป็นต้นมา จนกระทั่งถึงกับช่วยกันฝึกซ้อม ในท่าทางที่เธอออกแบบมาให้นั้นเลยทีเดียวแหละครับ

    และประการที่สอง ซึ่งสำคัญยิ่ง ก็คือเธอเป็นเด็กที่ น่ารัก มากกกก… (บรรจุ ไม้ยมก เข้าไปประมาณ หนึ่งพันห้าร้อยไม้ยมก…หรือมากกว่านั้น) ทั้งนี้ มิได้หมายความถึงเพียงรูปลักษณ์ที่เห็นด้วยนัยน์ตา เท่านั้นดอก

    แต่ที่จริงแล้ว เมื่อผมรู้จักเธอ ผมก็รู้สึกได้ว่า เธอเป็นสาวน้อยที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านของนาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์สากล (ที่ผมขอให้เธอช่วยประดิษฐ์ท่าเต้นในงานของเรานั่นไง) หรือแม้แต่จะสัมผัสกันได้ในแง่มุมของ มนุษยสัมพันธ์ ก็ตาม

    และยิ่งเมื่อได้ (เสียมารยาท) ลองพิจารณาเธอแล้ว ผมก็ยอมรับสารภาพอีกว่า ผมไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า แม่สาวน้อยรูปร่างเล็ก ตาโต มีแววหวานใสซุกซน ภายใต้กรอบคิ้วเข้มคม และปลายจมูกเชิดรั้นนิด ๆ รับกับริมฝีปากบางงอน ที่ราวกับจะโปรยยิ้มให้กับมนุษยชาติทั้งปวงอยู่ตลอดเวลา คนนี้ จะเป็นที่ประทับใจผมได้ถึงขนาดนี้

    และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ผมเพิ่งจะมารู้ทีหลังชาวบ้านเขาเลยว่า มิใช่มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นดอก ที่สามารถจะสัมผัสความงามของเธอได้ดังนั้น

    แต่ยังมีอีกหนึ่งพระหน่อ ก็คือพ่อวิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้างหุ่นของผมรวมอยู่ด้วย !

    ที่ผมทราบ ก็เพราะเหตุมันเกิดขึ้นอยู่ในวันหนึ่ง ที่พวกเราหลายคนขึ้นรถเมล์กลับบ้านโดยทางไกล จากการที่ไปซ้อมละครมาจากบ้านของท่านผู้กำกับ (ที่รักยิ่ง) นั้น มาลงด้วยกันที่กลางทาง แล้วก็ปล่อยพวกแม่สาว ๆ เขาไปในทางของเขา พอเหลือกันอยู่เพียงสองคน พ่อนายช่างก็เริ่มต้นการสนทนากับผมว่า

    “ พี่…ผมว่าน่ารักนะ “

    “ ก็จริงว่ะ… “
                      ผมพยักหน้าเนิบ ๆ โดยไม่ต้องถามสักคำว่าหมอหมายถึงใคร  
                   “…ก็แล้วนายจะรักไหมเล่า…”

                    ผมหลุดปากออกไปอย่างส่งเดช ตามประสาที่ลูกผู้ชายเขาคุยกันนั่นแหละครับ

                “ โธ่…พี่…” อีตานายช่างแกถอนหายใจเฮือก  

                “…คนนี้นะพี่…ถ้าใครได้ใกล้ชิดแล้วไม่รัก ก็ควายแล้วพี่ “

                  ผมอึ้งไปนิดหนึ่ง

    “ อือม์ม์ม์ม์ม์…จ้ะ…พ่อนายช่างใหญ่…พ่อศิลปิน…” ผมลากเสียง

                “…ถ้างั้นก็หมายความว่า ข้าก็ควายละสิ…งานนี้น่ะ…”

    “ โธ่…พี่…”มันโอดครวญ เสียงอ่อย ๆพร้อมกับยกมือไหว้ประหลก ๆ

                “…ผมไม่ได้หมายถึงพี่ซักหน่อย ”

    “ เออ…ข้ารู้…รู้ตั้งแต่ต้นนั่นแหละ แต่ที่เหลือ ก็เป็นเรื่องของนายแล้วกัน พี่ไม่เกี่ยว…”

                 ผมพูดอย่างไม่มีเยื่อใย

    “ โธ่…พี่…” หมอนั่นออดอีกแล้ว

               “ เอาเป็นว่าประมาณนี้ก็แล้วกัน “ ผมตัดบท

    ว่าที่จริงแล้ว เรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องที่หนักอก ผู้กำกับมือใหม่อย่างผมอยู่เหมือนกันนะครับ

                   เพราะถ้าผู้ร่วมงานของเรา มีมุมมองในความคิดที่แหวกแนว ด้วยการทะลึ่งไปจีบกันเช่นนี้ มันก็จะกลายเป็นดาบสองคมไปเลยทีเดียวแหละ และก็จะเป็นดาบสองคมที่ คมกริบ ทั้งสองด้านโดยทุกสิ้นทุกประการ กล่าวคือ ถ้าทั้งสองคนตกลงปลงใจรักชอบกัน งานของเราทั้งในครั้งนี้และครั้งหน้า ก็คงจะไปได้สวยกว่าเดิม…ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ…

    แต่ถ้าทั้งสองไม่สามารถที่จะประสานความสัมพันธ์กันได้อย่างงดงามแล้วไซร้ หากเกิดอาการมองหน้ากันไม่ติดกันขึ้นมา อ้ายคนที่จะมีความรู้สึกเหมือนกับกำลังโดนเอากิ้งก่าอีกัวน่ายัดใส่กระเป๋ากางเกง ก็คือ ผม (ซึ่งเป็นผู้กำกับการแสดง) นั่นเอง…จริงไหมขอรับ…

    แล้วก็อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่พวกเรากำลังพักจากการซ้อมที่เหน็ดเหนื่อยหนักหนาสาหัส มานั่งเช็ดเหงื่อล้อมวงกินน้ำกินท่ากันอยู่ ผมก็เอ่ยถามพ่อนายช่างตัวดีคนนั้น ถึงเรื่องที่เราเคยคุยกันอยู่นานหลายวันแล้ว

    “ เฮ้ย…เห็นนายบอกว่าจะเขียนเรื่องสั้น แล้วเอามาให้พี่ดูไม่ใช่หรือ “
    หมอนั่นอมยิ้ม

    “ เขียนแล้วแหละพี่…มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก…”

    “ ยังไง “ ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเขาทันที เพราะมีความรู้สึกเหมือนกับลางสังหรณ์จะบอกว่า มันน่าจะ “เข้าทาง” อะไรบางอย่าง

    “ เป็นเรื่องของ…” หมอทำนัยน์ตาเคลิ้มฝัน “…วิศวกรหนุ่มคนหนึ่ง…”

    “ แล้วไง…” ผมรุก

    หมอชำเลืองมองไปทางน้องคนนั้นแวบหนึ่ง

                    “…ที่ไปหลงรักนางเอกละครเวทีไงล่ะพี่ “

                    ผมถึงกับสำลักน้ำแข็งเปล่าที่กำลังยกดื่มอยู่ออกจมูกเลยทีเดียวแหละครับ
                    พอหายใจทันแล้ว ก็ได้แต่หัวเราะ หึ…หึ…

               “ นายแน่มาก…แล้วเรื่องสั้นเรื่องนี้จะดำเนินต่อไปยังไงล่ะ “

                “ ผมก็ไม่รู้…พี่…” หมอทำหน้าตาอ้างว้างได้สมจริงสมจังมาก

               “ ก็คงแล้วแต่วาสนาซะละมั้ง…พี่…”

    อยู่มาจนกระทั่งถึงอีกวันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันซ้อมที่ท่านผู้กำกับ(ที่รักยิ่ง) ของผม เพิ่งจะได้มีเวลาว่าง (ซะที) ที่จะมาดูซ้อม และขัดเกลา ตะไบ สิ่งที่ผมได้เคยบอกเล่าให้น้อง ๆ เหล่านั้นทำมาตั้งแต่เริ่มซ้อมวันแรก ให้งดงาม กลมกลืนยิ่งขึ้น

    ทุกคนก็มาซ้อมกันโดยพร้อมเพรียง  ส่วนผมก็เลยได้พักผ่อน ด้วยการไปประจำหน้าที่เปิดเทปเพลงประกอบ ละคร ระบำ ชุดนี้ให้เด็ก ๆ ซ้อมให้ท่านดู

    ในวันนั้น พ่อนายช่าง จึงกลายเป็นคนว่างงานไปโดยอัตโนมัติ เนื่องจากหุ่นทั้งหลายที่เขาหน้าดำคร่ำเครียดประดิษฐ์ประดอยมาหลายวันนั้น ได้สำเร็จสมตามอารมณ์หมายของไดเร็คเตอร์หน้าใหม่อย่างผม และพร้อมที่จะซ้อม หรือแสดง เรียบร้อยแล้ว

    หมอจึงกลายเป็นคนดูไปอย่างสมบูรณ์แบบไปด้วยประการฉะนี้

    เขานั่งอยู่ตรงหน้าเวที (สมมุติ) ที่พวกเรากำลังซ้อมอยู่ในตำแหน่งที่ของคนดู ข้าง ๆกับท่านผู้กำกับ (ที่รักยิ่ง) ของผม แต่ผมนั้น ต้องนั่งอยู่ข้างหลังนักแสดง คือหมายความว่าหันหน้าไปหาคนดู ผมจึงอยู่ในตำแหน่งที่จำเป็นจะต้องประจันสายตากับหมอนั่นโดยตรง

    เชื่อไหมครับท่าน ว่าทุกครั้งที่ผมมองไปสบตากับเจ้านายช่างตัวดีของผมนั้น ผมสามารถที่จะเห็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมในความงาม และไล่แพนติดตามโฟกัส หรือจรดจ้องอยู่กับผีเสื้อแสนสวยตัวนั้น อยู่เพียงตำแหน่งเดียวโดยมิให้คลาดสายตา เว้นแต่เวลากระพริบเท่านั้น

    เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมเคยมีโอกาสนินทาปรารภ (ลับหลังนายนั่น) กับน้องนักแสดงอีกคนหนึ่ง ที่แสดงเป็นผีเสื้อบินว่อนอยู่บนเวทีนั้นในภายหลังเหมือนกันว่า

    “เชื่อไหมหนู พี่รู้จักมันมาก็นานแล้ว แต่พี่ยังไม่เคยเห็นมันคอนเซ็นเถรต นัยน์ตาหวานหยดย้อยขนาดนี้มาก่อนเลยว่ะ”

    ไอ้น้องนั่นหัวร่อคิก

    “พวกหนูก็เห็นกันทั้งเวทีเหมือนกันแหละค่ะ พี่”

    ผมเลยตบหน้าผากกึก

    “เออ…รอดไป พี่นึกว่าพี่ตาฝาดไปคนเดียวซะอีกว่ะ”

    พูดแล้วก็ได้แต่กลืนคำพูดประโยคต่อไปที่กำลังจะพูดว่า

    “แล้ว เจ้าตัวเล็กมันรู้เรื่องรึเปล่าวะ…?”

    เก้าะ…ดูเหมือนกับว่าจะเป็นการรู้กันเองโดยเฉพาะตัว ระหว่างเขาทั้งสองคน…เท่านั้น…

    ผมจึงขออนุญาตปล่อยให้เรื่องนี้เป็นความลับต่อไปก็แล้วกันนะ…ขอรับ…

    (ยังมีต่อ ขอรับ)

    จากคุณ : พจนารถ๓๒๒ - [ 9 ธ.ค. 51 21:25:41 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com