ตกลง งานนี้ ผมมอบให้พี่เป็นไดเร็คเตอร์นะ ท่านผู้กำกับ (ที่รักยิ่ง) ของผม บอกผมมาเช่นนั้น
ก้อ
ได้
ผมว่า พลางทำหน้าเจื่อน ๆ เพราะในชีวิตนี้ ไม่เคยมั่นใจในตัวเองเลยว่าจะทำได้อย่างที่ท่านผู้กำกับ (ที่รักยิ่ง) อุตส่าห์ไว้วางใจหรือไม่
และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมก็ต้องเอาใจใส่อะไรต่อมิอะไรกับน้อง ๆ ทั้งหลาย ทั้งที่ไม่อยากทำ จนปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมด เพราะ สากกระเบือยันเรือรบ ก็มาอยู่ในหัวอกของผมคนเดียว
จนอยากจะบ้าตายวันละหลายร้อยหน แต่นั่นก็ยังไม่รู้สึกว่ามีความทุกข์เท่ากับที่
แทบจะต้องอดไปนั่งเพลิน ๆ กับเบียร์กระป๋อง เมื่อเวลาเลิกงานเลย
เรื่องของเรา นำเสนอแก่เด็กเล็ก ๆ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในงานประจำปีของมูลนิธิหนึ่ง โดยเนื้อเรื่องมีอยู่ประมาณว่า ในป่าแห่งหนึ่งมีดอกไม้ใหญ่ งดงาม ซึ่ง คุ้นเคย และทักทายกับเหล่าผีเสื้อแสนสวยอยู่เป็นประจำ จนกระทั่ง วันร้ายคืนร้ายวันหนึ่ง (
แถ่น
แทน
แท้นนน
) ก็มีเจ้านกเกเรตัวใหญ่ตัวหนึ่ง (หน้าตาคล้าย ๆ กับนกกระจอกเทศ) มารบกวนราวี จิกตีดอกไม้นั้น เหล่าผีเสื้อก็พยายามที่จะหาวิธีการปกป้องดอกไม้นั้นจนสำเร็จ เจ้านกร้าย (ซึ่งเป็นผู้ร้าย) ก็พ่ายแพ้ไปตามระเบียบ
ทีนี้จะได้มาว่ากันถึงเรื่องวิธีการนำเสนอ หุ่นของเราเป็นหุ่นใหญ่เท่าตัวคน และไม่ต้องการโรงหุ่น เพราะเราเล่นในลักษณะที่เป็นละครเวทีไปเลยทีเดียวแหละ มีทั้งการเชิดหุ่น และผู้เชิดหุ่นนั้นเอง ก็เต้นระบำรำฟ้อนไปด้วยพร้อม ๆ กัน
ในการกำหนดการจึงต้องสร้าง หุ่นดอกไม้ หนึ่งหุ่น (คนเชิดหนึ่งคน) หุ่นนกร้ายหนึ่งหุ่น (คนเชิดสองคน) และหุ่นผีเสื้อสี่หุ่น (คนเชิดสามคน)
ท่านผู้กำกับการแสดง (ที่รักยิ่ง) ก็ได้กำหนดตัวแสดงในหมู่พวกเราไว้แล้วจนเกือบครบทุกคน ขาดเพียงคนเดียวก็คือ ผู้เชิดหุ่นผีเสื้อหนึ่งในสามคน คนหนึ่งเท่านั้น
แต่แม่ผู้ประสานงาน (ในตอนเริ่มแรก) เธอก็ได้อุตส่าห์ไปสรรหา เฟ้นหา คนที่เธอคิดว่าจะมาเป็นผู้เชิดหุ่นผีเสื้อ ที่เหลืออีกหนึ่งตัวนี้อย่างขะมักเขม้น จนกระทั่งไปเอาสวิงไปครอบยายอะไรซักคนหนึ่งมาจนได้
ส่วนในการปฏิบัติการสร้างหุ่นทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นหุ่นดอกไม้ หุ่นผีเสื้อ จนกระทั่งถึงหุ่นเจ้านกกระจอกเทศเกเรตัวนั้น พวกเราก็ต้องสร้างหุ่นที่ใหญ่เท่าตัวคนกันเอง ผมจึงได้ไปขอความช่วยเหลือจากน้องนายช่างวิศวกรคนหนึ่งในคณะละครของเรานั้นเอง ซึ่งเขาก็ได้ให้ความกระตือรือร้นที่จะร่วมมือด้วยอย่างเต็มใจ (จนเกินเหตุ ?) โดยเขาก็ค่อย ๆ เก็บรายละเอียดจากที่ผมได้บรรยายสรุปเล่าความต้องการให้ฟัง ว่าอยากจะให้หุ่นนั้น มีลักษณะเป็นอย่างไรบ้าง แล้วจึง มาเริ่มประดิษฐ์หุ่นเหล่านั้นขึ้นมาด้วยความรู้ความสามารถในเชิงช่างของเขา อย่างสวยงามและแข็งแรง เอาละ เป็นอันว่าตอนนี้เราก็ได้หุ่นครบทั้งหมดทุกตัวทุกสิ้นทุกประการแล้ว
อ้อ ! ที่จะลืมกล่าวถึงมิได้อีกคนหนึ่งก็คือ น้องสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้เก็บรายละเอียดในตัวหุ่นเหล่านั้นด้วยความละเมียดละไม และทำให้หุ่นใหญ่ ๆ ของนายช่างนั้น มีความงดงามด้วยลายเล็กลายน้อยที่ประดับอยู่อย่างสมบูรณ์แบบ และเชิดชูความน่าสนใจ คล้ายกับจะเปรียบเทียบได้ว่า มีวิศวกรผู้กำหนดวิธีการก่อสร้างอาคาร และมีมัณฑนากรที่เป็นผู้ตกแต่ง ประดับประดาให้อาคารนั้นงดงามน่าอยู่ขึ้น ฉะนั้น
ขออนุญาตถอยกลับไปคุยถึงน้องคนที่มาใหม่ และถูกกำหนดให้เป็นผีเสื้อตัวสุดท้าย อีกสักครั้งหนึ่งเถิดครับ เพราะไอ้หนูคนนี้ มีเรื่องราวที่น่าจะกล่าวถึงอีกมากมายทีเดียว
คือในประการแรก เธอเป็นคนที่ รู้รำ ในขณะที่ผมเอง ถึงแม้ว่าจะได้รับการอุปโลก ให้เป็น ผู้กำกับการแสดง ก็ตาม แต่ผมก็มิได้มีความรู้ในทางด้าน นาฏศิลป์ เลยแม้แต่น้อยนิด จึงต้องขอให้น้องเขาช่วยออกแบบกันตั้งแต่ท่าเต้นระบำผีเสื้อเป็นต้นมา จนกระทั่งถึงกับช่วยกันฝึกซ้อม ในท่าทางที่เธอออกแบบมาให้นั้นเลยทีเดียวแหละครับ
และประการที่สอง ซึ่งสำคัญยิ่ง ก็คือเธอเป็นเด็กที่ น่ารัก มากกกก
(บรรจุ ไม้ยมก เข้าไปประมาณ หนึ่งพันห้าร้อยไม้ยมก
หรือมากกว่านั้น) ทั้งนี้ มิได้หมายความถึงเพียงรูปลักษณ์ที่เห็นด้วยนัยน์ตา เท่านั้นดอก
แต่ที่จริงแล้ว เมื่อผมรู้จักเธอ ผมก็รู้สึกได้ว่า เธอเป็นสาวน้อยที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านของนาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์สากล (ที่ผมขอให้เธอช่วยประดิษฐ์ท่าเต้นในงานของเรานั่นไง) หรือแม้แต่จะสัมผัสกันได้ในแง่มุมของ มนุษยสัมพันธ์ ก็ตาม
และยิ่งเมื่อได้ (เสียมารยาท) ลองพิจารณาเธอแล้ว ผมก็ยอมรับสารภาพอีกว่า ผมไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า แม่สาวน้อยรูปร่างเล็ก ตาโต มีแววหวานใสซุกซน ภายใต้กรอบคิ้วเข้มคม และปลายจมูกเชิดรั้นนิด ๆ รับกับริมฝีปากบางงอน ที่ราวกับจะโปรยยิ้มให้กับมนุษยชาติทั้งปวงอยู่ตลอดเวลา คนนี้ จะเป็นที่ประทับใจผมได้ถึงขนาดนี้
และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ผมเพิ่งจะมารู้ทีหลังชาวบ้านเขาเลยว่า มิใช่มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นดอก ที่สามารถจะสัมผัสความงามของเธอได้ดังนั้น
แต่ยังมีอีกหนึ่งพระหน่อ ก็คือพ่อวิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้างหุ่นของผมรวมอยู่ด้วย !
ที่ผมทราบ ก็เพราะเหตุมันเกิดขึ้นอยู่ในวันหนึ่ง ที่พวกเราหลายคนขึ้นรถเมล์กลับบ้านโดยทางไกล จากการที่ไปซ้อมละครมาจากบ้านของท่านผู้กำกับ (ที่รักยิ่ง) นั้น มาลงด้วยกันที่กลางทาง แล้วก็ปล่อยพวกแม่สาว ๆ เขาไปในทางของเขา พอเหลือกันอยู่เพียงสองคน พ่อนายช่างก็เริ่มต้นการสนทนากับผมว่า
พี่
ผมว่าน่ารักนะ
ก็จริงว่ะ
ผมพยักหน้าเนิบ ๆ โดยไม่ต้องถามสักคำว่าหมอหมายถึงใคร
ก็แล้วนายจะรักไหมเล่า
ผมหลุดปากออกไปอย่างส่งเดช ตามประสาที่ลูกผู้ชายเขาคุยกันนั่นแหละครับ
โธ่
พี่
อีตานายช่างแกถอนหายใจเฮือก
คนนี้นะพี่
ถ้าใครได้ใกล้ชิดแล้วไม่รัก ก็ควายแล้วพี่
ผมอึ้งไปนิดหนึ่ง
อือม์ม์ม์ม์ม์
จ้ะ
พ่อนายช่างใหญ่
พ่อศิลปิน
ผมลากเสียง
ถ้างั้นก็หมายความว่า ข้าก็ควายละสิ
งานนี้น่ะ
โธ่
พี่
มันโอดครวญ เสียงอ่อย ๆพร้อมกับยกมือไหว้ประหลก ๆ
ผมไม่ได้หมายถึงพี่ซักหน่อย
เออ
ข้ารู้
รู้ตั้งแต่ต้นนั่นแหละ แต่ที่เหลือ ก็เป็นเรื่องของนายแล้วกัน พี่ไม่เกี่ยว
ผมพูดอย่างไม่มีเยื่อใย
โธ่
พี่
หมอนั่นออดอีกแล้ว
เอาเป็นว่าประมาณนี้ก็แล้วกัน ผมตัดบท
ว่าที่จริงแล้ว เรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องที่หนักอก ผู้กำกับมือใหม่อย่างผมอยู่เหมือนกันนะครับ
เพราะถ้าผู้ร่วมงานของเรา มีมุมมองในความคิดที่แหวกแนว ด้วยการทะลึ่งไปจีบกันเช่นนี้ มันก็จะกลายเป็นดาบสองคมไปเลยทีเดียวแหละ และก็จะเป็นดาบสองคมที่ คมกริบ ทั้งสองด้านโดยทุกสิ้นทุกประการ กล่าวคือ ถ้าทั้งสองคนตกลงปลงใจรักชอบกัน งานของเราทั้งในครั้งนี้และครั้งหน้า ก็คงจะไปได้สวยกว่าเดิม
ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ
แต่ถ้าทั้งสองไม่สามารถที่จะประสานความสัมพันธ์กันได้อย่างงดงามแล้วไซร้ หากเกิดอาการมองหน้ากันไม่ติดกันขึ้นมา อ้ายคนที่จะมีความรู้สึกเหมือนกับกำลังโดนเอากิ้งก่าอีกัวน่ายัดใส่กระเป๋ากางเกง ก็คือ ผม (ซึ่งเป็นผู้กำกับการแสดง) นั่นเอง
จริงไหมขอรับ
แล้วก็อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่พวกเรากำลังพักจากการซ้อมที่เหน็ดเหนื่อยหนักหนาสาหัส มานั่งเช็ดเหงื่อล้อมวงกินน้ำกินท่ากันอยู่ ผมก็เอ่ยถามพ่อนายช่างตัวดีคนนั้น ถึงเรื่องที่เราเคยคุยกันอยู่นานหลายวันแล้ว
เฮ้ย
เห็นนายบอกว่าจะเขียนเรื่องสั้น แล้วเอามาให้พี่ดูไม่ใช่หรือ
หมอนั่นอมยิ้ม
เขียนแล้วแหละพี่
มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก
ยังไง ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเขาทันที เพราะมีความรู้สึกเหมือนกับลางสังหรณ์จะบอกว่า มันน่าจะ เข้าทาง อะไรบางอย่าง
เป็นเรื่องของ
หมอทำนัยน์ตาเคลิ้มฝัน
วิศวกรหนุ่มคนหนึ่ง
แล้วไง
ผมรุก
หมอชำเลืองมองไปทางน้องคนนั้นแวบหนึ่ง
ที่ไปหลงรักนางเอกละครเวทีไงล่ะพี่
ผมถึงกับสำลักน้ำแข็งเปล่าที่กำลังยกดื่มอยู่ออกจมูกเลยทีเดียวแหละครับ
พอหายใจทันแล้ว ก็ได้แต่หัวเราะ หึ
หึ
นายแน่มาก
แล้วเรื่องสั้นเรื่องนี้จะดำเนินต่อไปยังไงล่ะ
ผมก็ไม่รู้
พี่
หมอทำหน้าตาอ้างว้างได้สมจริงสมจังมาก
ก็คงแล้วแต่วาสนาซะละมั้ง
พี่
อยู่มาจนกระทั่งถึงอีกวันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันซ้อมที่ท่านผู้กำกับ(ที่รักยิ่ง) ของผม เพิ่งจะได้มีเวลาว่าง (ซะที) ที่จะมาดูซ้อม และขัดเกลา ตะไบ สิ่งที่ผมได้เคยบอกเล่าให้น้อง ๆ เหล่านั้นทำมาตั้งแต่เริ่มซ้อมวันแรก ให้งดงาม กลมกลืนยิ่งขึ้น
ทุกคนก็มาซ้อมกันโดยพร้อมเพรียง ส่วนผมก็เลยได้พักผ่อน ด้วยการไปประจำหน้าที่เปิดเทปเพลงประกอบ ละคร ระบำ ชุดนี้ให้เด็ก ๆ ซ้อมให้ท่านดู
ในวันนั้น พ่อนายช่าง จึงกลายเป็นคนว่างงานไปโดยอัตโนมัติ เนื่องจากหุ่นทั้งหลายที่เขาหน้าดำคร่ำเครียดประดิษฐ์ประดอยมาหลายวันนั้น ได้สำเร็จสมตามอารมณ์หมายของไดเร็คเตอร์หน้าใหม่อย่างผม และพร้อมที่จะซ้อม หรือแสดง เรียบร้อยแล้ว
หมอจึงกลายเป็นคนดูไปอย่างสมบูรณ์แบบไปด้วยประการฉะนี้
เขานั่งอยู่ตรงหน้าเวที (สมมุติ) ที่พวกเรากำลังซ้อมอยู่ในตำแหน่งที่ของคนดู ข้าง ๆกับท่านผู้กำกับ (ที่รักยิ่ง) ของผม แต่ผมนั้น ต้องนั่งอยู่ข้างหลังนักแสดง คือหมายความว่าหันหน้าไปหาคนดู ผมจึงอยู่ในตำแหน่งที่จำเป็นจะต้องประจันสายตากับหมอนั่นโดยตรง
เชื่อไหมครับท่าน ว่าทุกครั้งที่ผมมองไปสบตากับเจ้านายช่างตัวดีของผมนั้น ผมสามารถที่จะเห็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมในความงาม และไล่แพนติดตามโฟกัส หรือจรดจ้องอยู่กับผีเสื้อแสนสวยตัวนั้น อยู่เพียงตำแหน่งเดียวโดยมิให้คลาดสายตา เว้นแต่เวลากระพริบเท่านั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมเคยมีโอกาสนินทาปรารภ (ลับหลังนายนั่น) กับน้องนักแสดงอีกคนหนึ่ง ที่แสดงเป็นผีเสื้อบินว่อนอยู่บนเวทีนั้นในภายหลังเหมือนกันว่า
เชื่อไหมหนู พี่รู้จักมันมาก็นานแล้ว แต่พี่ยังไม่เคยเห็นมันคอนเซ็นเถรต นัยน์ตาหวานหยดย้อยขนาดนี้มาก่อนเลยว่ะ
ไอ้น้องนั่นหัวร่อคิก
พวกหนูก็เห็นกันทั้งเวทีเหมือนกันแหละค่ะ พี่
ผมเลยตบหน้าผากกึก
เออ
รอดไป พี่นึกว่าพี่ตาฝาดไปคนเดียวซะอีกว่ะ
พูดแล้วก็ได้แต่กลืนคำพูดประโยคต่อไปที่กำลังจะพูดว่า
แล้ว เจ้าตัวเล็กมันรู้เรื่องรึเปล่าวะ
?
เก้าะ
ดูเหมือนกับว่าจะเป็นการรู้กันเองโดยเฉพาะตัว ระหว่างเขาทั้งสองคน
เท่านั้น
ผมจึงขออนุญาตปล่อยให้เรื่องนี้เป็นความลับต่อไปก็แล้วกันนะ
ขอรับ
(ยังมีต่อ ขอรับ)
จากคุณ :
พจนารถ๓๒๒
- [
9 ธ.ค. 51 21:25:41
]