บันทึก : ละคร ระบำ และความรัก # ๒
แล้วอยู่มาอีกวันหนึ่งที่หลังจากเลิกซ้อมตามปรกติแล้ว พวกเราก็ต้องออกมารอรถเมล์สายต่อกลับบ้านกันเช่นเคย แต่มาวันนี้ พอลงจากรถต่อแรกปุ๊บ แม่น้องอีกคนหนึ่งที่เคยนั่งรถเมล์กลับบ้านสายเดียวกันกับผมทุกครั้ง เธอก็ออกตัวว่า
พี่ วันนี้หนูไปสาย 3 นะคะ จะไปธุระต่อ
เออ พี่นั่งไปด้วยก็ได้ เพราะสาย 3 ก็ผ่านบ้านพี่เหมือนกัน
แล้วผมก็หันไปหาพ่อนายช่างที่มาด้วยกัน
แล้วนายล่ะ ไปด้วยกันสิ สาย 3 ก็ผ่านเหมือนกันใช่ไหมเล่า
หมอไม่ตอบทันที แต่กลับหันไปหาเจ้าตัวน้อยที่นั่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่ข้าง ๆ พลางก้มตัวลงถามอย่างอ่อนโยน และเป็นที่น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก
หนูกลับสายอะไรคะ ?
108 ค่ะ หนูไปได้สายเดียว
พี่ไปสาย 3 กันเถอะค่ะ หนูกลับเองได้
เจ้าหนูตอบยิ้ม ๆ ท่าทางไม่ได้ซีเรียสอะไรหนักหนา
แต่พระเอกของเรากลับหันมามองที่ผมและเพื่อนของเขาด้วยแววตาที่เด็ดเดี่ยว อย่างชนิดที่ว่า ถ้าใครขวางก็คงจะได้เห็นดีกันเป็นแน่แท้
น้องเขากลับสายอะไร ผมก็กลับสายนั้นแหละพี่
ผมแลเลยไปสบตาหวาน ๆ ของน้องเขาอย่างบังเอิญได้เพียงแวบเดียว แต่ยังไม่ทันที่จะ เก๊ท อะไรได้ เธอก็เมินหลบสายตาของผมอย่างช้า ๆ และไร้ร่องรอยพิรุธโดยสิ้นเชิง
ผมเลยหันกลับมาทางแม่เพื่อนของนายช่างเขา ที่จะกลับสาย 3 ด้วยกันนั่นแหละ แล้วก็พูดทีเล่นทีจริงด้วยน้ำเสียงที่กลั้วหัวเราะ
งั้นวันนี้คงต้องควงคนแก่ซักวันนะหนูนะ ปล่อยให้หนุ่ม ๆ สาว ๆ เขาไปกันเองเถอะ
ค่ะ พี่ หนูก็ไม่ค่อยชอบเป็น ก.ข.ค. ใครเหมือนกัน เธอรับมุขด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ
รถเมล์สาย 3 มาพอดี แม่คนที่จะรีบไปธุระก็กระวีกระวาดเผ่นไปก่อน แต่ผมยังหันกลับมายิ้มให้คู่นั้นอีกครั้งหนึ่ง
เจ้านั่นกลับขยับทำท่าจะวิ่งตามผมมา
ผมไปด้วยคนนะพี่
ผมสะดุ้งเฮือก วิ่งหน้าตั้งไปที่รถสาย 3 ที่ยังไม่ทันได้ออกจากป้าย แล้วก็หันกลับมาตะโกนเสียงหลง
เฮ้ย
อย่านะโว้ย
แต่พอเห็นพวกเขาหัวเราะกันทั้งสองคน ก็รู้สึกหน้าแหกเป็นอันมาก เลยเสชี้หน้ามันพร้อมกับสำทับแก้เขินไปว่า
ฝากน้องด้วยนะโว้ย
หมอนั่น ยกมือขึ้นตะเบ๊ะผมอย่างล้อ ๆ
ด้วยชีวิตครับผม
ผมเลยโดดขึ้นเกาะรถเมล์ แล้วก็สาวราวเดินไปหาน้องที่ขึ้นมาก่อน พลางปรารภลอย ๆ
น้ำเน่าจังว่ะ เพื่อนเธอนี่
เธอตอบสั้น ๆ แต่ได้ใจความ ตามสไตล์ของเธอว่า
เห็นด้วยค่ะ
พอวันรุ่งขึ้นพวกเราก็ยังมาซ้อมกันอีกวันหนึ่ง วันนี้ ผมว่าผมมาแต่เช้าแล้วนะ แต่พอโผล่หน้าเข้าไปในอ๊อฟฟิศก็เจอพ่อนายช่างคนขยันกำลังนั่งตกแต่ง ซ่อมแซมหุ่นอยู่ซะแล้ว
สวัสดีครับพี่ เขาปฏิสันถาร
สวัสดีน้อง เออ ดี ๆๆๆๆ ดีมาก เอาการเอางานเข้มแข็งแบบนี้ คงมีคนเห็นใจเข้าซักวันหนึ่งหรอก ผมสัพยอก
หมอทำสีหน้าประหลาด แต่ตาเป็นประกายวาวเชียว แล้วก็หลุดคำพูดออกมา อย่างที่ผมก็รู้ว่าปากกับใจมันไม่ตรงกันหรอก
โธ่
พี่
ใครเค้าจะมาสนใจโพ้ม
เอาน่า
ผมตบไหล่เขา
ชั้นว่าชั้นเห็นอยู่รำไรแล้วแหละ
หมอนั่นยิ้มยังกะเด็กได้ของเล่นถูกใจ ผมเลยพูดต่อ
เมื่อวานกลับบ้านเลยรึเปล่า ผมหยั่งเสียงเล่น ๆ
เปล่าพี่
ยิ้มเขิน ๆ
ผมไปบางขุนนนท์มา
อ้าว
?? ผมแกล้งงง
ไปทำเบื๊อกอะไรมาล่ะ
ก้อ
หัวเราะแหะ แหะ
ก้อพี่บอกว่า
ฝากน้องด้วย
ไม่ใช่เหรอฮะ
โธ่
ผมจุ๊ปากจึ๊กจั๊กเป็นจิ้งจก ยกมือเกาหัวอย่างที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้ดีไปกว่านั้นแล้ว
อ้ายศรีธนญชัย
แล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง จึงจ้องหน้าหมอเขม็ง
เฮ้ย
ไอ้น้อง
ครับผม
เวลานี้
เหรียญปั่นแล้ว
ตั้งแต่เมื่อเย็นวาน
ผมลากเสียงช้า ๆ อย่างเป็นปริศนา
นายนั่น อ้าปากหวอฟังอย่างงง ๆ
แล้วไงพี่
ก็เลยอยากจะถามว่า
จนกระทั่งถึงชั่วโมงนี้
นายคิดว่า
มันควรจะออกหัวหรือออกก้อย
หรือว่า
ยังปั่นอยู่โดยไม่สามารถคาดการณ์ได้
นายช่างของผม คิดเพียงวิบเดียว แล้วก็ค่อย ๆ เผยอยิ้ม ตอบผมอย่างปัญญาชนมือชั้นวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิตว่า ยังปั่นอยู่ครับพี่ แต่หมุนช้าลง และมีความน่าจะเป็น ว่าจะเอียงออกไปทางหัว
ครับ
แน่นะ
ผมมองเขาอย่างเต็มตา
หมอไม่หลบสายตาผม แล้วก็ยังตอบอย่างหนักแน่นเสียด้วย
แน่ครับ
พี่
ผมเลยยิ้มออกมาได้ เอื้อมมือไปตบไหล่น้องมันดังป้าบ
ดีมาก
พี่เอาใจช่วยว่ะ
เขายกมือไหว้ผม
ขอบคุณมากครับ
พี่
และในที่สุด ก็ถึงวันงานแสดงจริง
มูลนิธิเจ้าภาพเขานัดตั้งแต่เก้าโมงเช้า เพื่อที่จะเตรียมงานและทำความคุ้นเคย ก่อนที่จะแสดงจริงในตอนเย็นแดดร่มลมตก เพราะเราแสดงกันที่เวทีกลางแจ้ง ผมมาก่อนเวลานัดประมาณสิบนาที และก็นั่งรออยู่ในบริเวณงานนั้นเอง
เก้าโมงสิบห้านาที พ่อนายช่างคนดีของผมก็มาถึง เราโบกมือให้กันแต่ไกล ในวินาทีนั้น ผมเห็นเขาแล้วก็อดนึกเลยไปไม่ได้ว่า เจ้าหนูนั่นจะมาทันเวลาหรือเปล่า
เพราะเรื่องอุตลุดอุตรังของแม่ผีเสื้อสาวน้อยคนนี้ก็คือ จริง ๆ แล้วเธอติดงานอื่นแต่เช้า และจะสามารถมาสมทบกับคณะพรรคได้ในเวลาห้าโมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่ฉิวเฉียดกับกำหนดการแสดงจริงเป็นอันมาก ท่านผู้กำกับ (ที่รักยิ่ง) ของผมจึงฟันธงว่า ถ้างั้นก็คงจะค่อยมาร่วมงานกันใหม่ในโอกาสหน้าเถิดหนูเอ๋ย ถ้าเธอไม่สามารถมาทันเตรียมงานในครั้งนี้ได้จริง ๆ
คนที่หน้าเสียอย่างกระทันหันเป็นคนที่สาม นอกจากเจ้าหนูน้อยแล้ว ก็คือกระผมเองนี่ไง ขอรับ (ส่วนคนที่สองนั้น ไม่ต้องบอกท่านก็คงจะเดาถูกใช่ไหมครับ)
ก็แล้วผมจะไปหาใครมาแทนได้ในแผ่นดิน ในเวลาที่แสนจะจำกัดจำเขี่ยขนาดนี้น่ะ
!
ท่านผู้กำกับ (ที่รักยิ่ง) หากิ้งก่ายักษ์ มาใส่กระเป๋าผมจนได้สิน่า
!
วิธีหาเฉพาะหน้าอย่างขายผ้าเอาหน้ารอดของผมในชั่วโมงนั้นก็คือ จะใช้วิธีโอนผีเสื้อของเจ้าหนูไปให้น้องอีกคนหนึ่งซึ่งมือยังว่างอยู (เพราะเชิดผีเสื้อเพียงตัวเดียว) ทั้งนี้ก็จะกลายเป็นว่า แม่สาวคนหนึ่ง จะต้องรับผิดชอบเชิดหุ่นผีเสื้อคนละสองตัวเลยทีเดียว
แต่พอไปนึกดูให้รอบคอบอีกครั้งหนึ่ง ก็แล้วระบบของท่าเต้น กับตำแหน่งที่กำหนดไว้อย่าง สมดุลย์และชัดเจนแล้วบนเวที ซ้ำยังซ้อมกันอย่างคล่องแคล่วขึ้นใจแล้วนั้นเล่า มิต้องรื้อใหม่กันให้สับสนอลหม่าน ทั้ง ๆ ที่จวนจะเล่นมิเล่นแหล่อย่างนี้น่ะหรือ
?
ผมเหงื่อแตกซิก ทั้ง ๆ ที่ในห้องซ้อมนั้นติดแอร์เย็นเฉียบ โธ่
กูเอ๋ย
อีกัวน่าที่ท่านผู้กำกับ (ที่รักยิ่ง) เอามายัดใส่กระเป๋าให้ผมในครั้งนี้ ดูเหมือนจะขยายขนาดกลายเป็นโคโมโดดราก้อนขึ้นมาในทันใด
แต่ในวินาทีเกือบจะสุดท้าย ไอ้ตัวเล็กก็ได้เข้ามาบอกกับผมว่า เธอได้แลกเปลี่ยนงานในเวลาที่ตรงกันนั้นกับเพื่อนของเธอเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น เธอจึงสามารถที่จะรับงานละครหุ่นในครั้งนี้ได้อย่างเต็มความสามารถ
ขออนุญาตถอนหายใจโล่งอ ก ในวินาทีนั้นสักเฮือกใหญ่ ๆ เฮือกหนึ่งเถิดขอรับ
แต่
ยัง
ยังขอรับท่าน
เวรกรรมของผมก็ยังไม่หมดสิ้น
พอค่ำวันที่วันรุ่งขึ้นจะเป็นวันงาน หนูน้อยนั่นก็โทรมาหาผมที่บ้านอีกครั้งหนึ่ง
แสดงเวลาห้าโมงเย็นครึ่งใช่ไหมคะพี่
จ้ะ ทำไมหรือ
พอดีว่าเพื่อนที่เขาเปลี่ยนงานกับหนูเขาเกิดเบี้ยวขึ้นมาน่ะค่ะพี่
หา
หนูก็เลยต้องไปทำงานแทนเขา
แล้วไง
ผมครางออกมาอย่างกับจะสิ้นใจ มือกำหูโทรศัพท์แน่น
แต่หนูจะเสร็จงานประมาณครึ่งวัน แล้วจะรีบไปให้เร็วที่สุดเลยค่ะพี่
จะบึ่งแท็กซี่ไปเลย
พี่เชื่อหนู
พี่ไว้ใจหนู
ผมจำได้ว่าพึมพำออกไปได้เพียงแค่นั้น
ผมพูดได้แค่นั้นจริง ๆ
ท่านผู้อ่านก็คงจะพอนึกสภาพออกนะครับ ว่าผมเองในวินาทีนั้น จะมีความผันผวนในจิตใจขนาดไหนบ้าง
เรียกว่าพอเสร็จงานนี้แล้ว ก็คงจะสามารถโทรเรียกรถแอมบูล้านซ์ มารับตัวผู้กำกับการแสดงมือใหม่คนนี้ ไปสงบสติอารมณ์ที่โรงพยาบาลศรีธัญญาได้อย่างสบาย ๆ และประกอบด้วยเหตุผลในการแอ๊ทมิทอย่างครบถ้วนเลยทีเดียวแหละขอรับ
หวนกลับเข้ามาหาบรรยากาศในวันงานอีกครั้งหนึ่ง
เวลานี้เก้าโมงครึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครมาสมทบเพิ่มอีกเลยแม้แต่สักคน ผมก็ได้แต่นั่งนิ่งสงบ และพร้อมที่จะเป็นคนไข้โรคจิต อยู่กับพ่อวิศวกรเพื่อนตายคนสุดท้ายในเวลานั้น อยู่อย่างนั้น
เวลาค่อย ๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า
และน่ากลัว
เก้าโมงสี่สิบเจ็ดนาที ก็ปรากฎร่างคนกลุ่มหนึ่ง กำลังเดินบ่ายหน้ามาทางบริเวณลานจัดงาน ทุกคนคุยกันโขมงโฉงเฉง และแบกข้าวของกันพะรุงพะรังทีเดียว
ผมกำมือแน่น และผุดลุกขึ้นเขม้นมองไปที่คนกลุ่มนั้น แล้วจึงถอนหายใจออกมาได้ พลางทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมอย่างอ่อนใจ แต่ก็โล่งหัวอกขึ้นมาเป็นกอง
เพราะเหล่าผู้คนที่ผมเห็นมาแต่ไกลนั้น ก็คือน้อง ๆ นักแสดงและทีมงาน ที่กำลังช่วยกันแบกหุ่นตัวใหญ่เท่าคนมานั่นเอง
หลังจากที่ปฏิสันถารทักทายกันอย่างอุตลุดแล้ว พ่อนายช่างของผมก็ขออนุญาตขอตัว
ก่อนบ่ายผมจะรีบกลับมาพร้อมกับน้องเขา
พี่รอหน่อยนะ
นายจะไปรับ
??
ครับ
โอเค มาให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน
อ้อ
ฝากบอกไอ้หนูนั่นด้วยว่าถ้ามาไม่ได้จริง ๆ ก็ไม่เป็นไร
อ้าว
?? หลายเสียงอุทานออกมาพร้อมกัน
แต่พรุ่งนี้ก็ไปเยี่ยมพี่ที่ ศรีธัญญา ได้เลย ผมหลุดปากออกไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก
คราวนี้น้อง ๆ ทุกคน ต่างพากันอมยิ้มไปตาม ๆ กัน
และนับตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา
ผมก็ขอตัวจากน้อง ๆ ไปนั่งสงบสติอารมณ์
ตั้งจิตเสี่ยงสัตยาธิษฐาน
เอากุศลผลบุญญาบารมีแต่ในบูรพชาติมาเป็นที่ตั้ง
ขอให้งานนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีเถิด
พร้อมกันนั้นก็แผ่เมตตาให้แก่
สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์
เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ว่าจงอย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย
นั่นไง
ยังไม่ทันไรก็ชักจะเริ่มเพี้ยนเสียแล้วไหมเล่า
จนกระทั่งเที่ยงครึ่งกว่า ๆ สองคนนั้นจึงโผล่เข้ามาที่บริเวณงาน ท่ามกลางความลุ้นระทึกของพวกเราทุกคน
ไม่ถึงกับล้มกับตายแล้วฉัน
งานนี้
คุณพระคุณเจ้าช่วย
สวรรค์ยังไม่ทอดทิ้งข้าพเจ้า
ผมนึกอยู่ในใจ
(ต่อได้ทันที ใน comment 1 ครับ)
แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 11:17:32
แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 06:30:32
จากคุณ :
พจนารถ๓๒๒
- [
11 ธ.ค. 51 06:17:58
]