Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    เดินทางกับหนูมินท์ ๒

    ถนนที่ต้องขับรถถอยหลัง

    จำไม่ได้แล้วล่ะว่าตอนที่ผมกับหนูมินท์เริ่มออกเดินทางด้วยกัน เราตั้งใจจะไปที่ไหน
    ตอนแรกเราอาจจะมีเป้าหมายไปที่ใดที่หนึ่งนี่แหละ แต่พอออกเดินทางได้ซักพัก
    เป้าหมายของเราก็เริ่มเลือนลางไปเรื่อยๆตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น จนในที่สุด เป้าหมายก็
    หายไปพร้อมกับจุดเริ่มต้น แต่ช่างมันเถอะ ถึงผมจะไม่รู้จุดหมายว่าจะไปที่ไหน ผมก็
    พอใจที่จะเดินทางกับหนูมินท์แบบนี้ไปเรื่อยๆ

    หนูมินท์เป็นรถไดฮัทสุ รุ่น มิร่า ที่ระบบเกียร์ยังเป็นคงเป็นเกียร์กระปุกอยู่ สำหรับผู้ที่ไม่
    คุ้นเคย เวลาเข้าเกียร์จะค่อนข้างเข้ายากนิดหนึ่ง แต่สำหรับผมที่อยู่กับหนูมินท์มานาน
    จนรู้ใจกันเป็นอย่างดีนั้น เกียร์กระปุกของหนูมินท์ไม่เคยสร้างปัญหาให้กับผมเลย



    "อ้า คุณต้องไปกลับรถตรงที่กลับรถตรงนั้น แล้วขับถอยหลังจนสุดทางก็จะถึงเมือง
    ข้างหน้าครับ พอไปถึงแล้วก็ค่อยขับรถตามปกติ"
    "ขอบคุณครับ"
    ผมเอ่ยคำขอบคุณคุณตำรวจที่เดินออกจากป้อมยามมาบอกผม ก่อนจะไปกลับรถตรงที่
    เขาชี้บอก พอกลับรถเสร็จผมก็เริ่มขับรถถอยหลังไปสู่เมืองข้างๆ ซึ่งเป็นจุดหมายของ
    การเดินทางในครั้งนี้

    สงสัยใช่ไหมล่ะว่าทำไมต้องขับรถถอยหลัง

    เรื่องของเรื่องก็คือ ผมกับหนูมินท์วางแผนกันว่าจะลองไปเมืองข้างหน้ากัน พอขับมาถึง
    ทางแยก ก็มีป้ายบอกทางที่จะไปเมืองข้างหน้าอยู่สองป้าย ทางซ้ายบอกระยะทางว่า
    อีก 50 กิโล ทางขวาบอกว่าอีก 5 กิโล แทบไม่ต้องตัดสินใจคิด ผมเลี้ยวขวาทันที
    พอขับรถมาถึงป้อมยาม คุณตำรวจก็เป่านกหวีดดังปรี๊ด บอกให้พวกเราหยุด พอเราหยุด
    เขาก็เดินมาบอกเราถึงข้อบังคับของถนนเส้นนี้ ผมฟังคุณตำรวจและปฏิบัติตามแต่โดย
    ดี ไม่แม้แต่จะถามถึงสิ่งที่สงสัย

    พูดคุยกับคุณตำรวจมากเกินไปมันไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร ใช่ไหม ?



    ผมเริ่มปวดคอแล้ว

    จากการที่ต้องเอี้ยวคอขับรถถอยหลังมาเกือบ 20 นาที ทำให้กล้ามเนื้อที่ต้องทำหน้าที่
    นี้รับภาระหนักเกินไป แถมยังต้วมเตี้ยมได้แค่ครึ่งทางเอง ในขณะที่รถคันอื่นขับแล่นฉิว
    แซงผมไปเรื่อยๆ ทั้งรถเก๋ง ปิ๊คอัพ รถบัสไม่เว้นแม้กระทั่งรถสิบล้อที่บรรทุกเต็มคันรถ
    ก็ยังสามารถอืดอาดแซงผมไปได้ สงสัยว่าพวกเขาคงจะชำนาญกับการขับรถถอยหลัง
    บนถนนเส้นนี้ แต่ที่น่าแปลกใจคือถนนนี้ยังมีรถมอเตอร์ไซค์ที่ติดซาเล้งข้างหลายคัน
    วิ่งถอยหลังสวนไปมาด้วย เออ มอเตอร์ไซค์วิ่งถอยหลังได้ด้วยแฮะ ผมเพิ่งรู้

    ไม่ไหวๆ ผมต้องแวะพักซะหน่อยแล้ว ผมเลยสอดส่ายข้างทาง มีป้ายที่เห็นเด่นชัดป้าย
    หนึ่งซึ่งเขียนบอกว่าเป็นร้านกาแฟ ผมเลยตัดสินใจเลี้ยวเข้าไปในร้านนั้นทันที



    "ขอชาเขียวร้อนครับ"
    ผมสั่งเครื่องดื่มหลังจากที่ได้นั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงเคาท์เตอร์แล้ว

    ร้านกาแฟนี้ขนาดกระทัดรัด มีโต๊ะประมาณสี่ ห้าโต๊ะ แขกเข้ามาจับจองนั่งจิบเครื่องและ
    คุยกันอยู่สองโต๊ะ ดูท่าน่าจะเป็นคนในแถบนี้เพราะดูพวกเขาอ้อยอิ่งเหมือนไม่ได้รีบ
    เดินทางไปไหน

    "ชาเขียวร้อนได้แล้วค่ะ"
    พนักงานที่ดูท่าน่าจะเป็นเจ้าของร้านยื่นชุดชาเขียวร้อนให้ ผมหันกลับไปรับพร้อมกับ
    ส่งยิ้ม

    ผมรินชาจากกาใส่จอกใบเล็กที่มาด้วยกัน สูดดมเอาความหอม เป่าผิวน้ำนิดหนึ่งก่อน
    จะจิบ รสขมนิดๆแผ่ไปทั่วทั้งปาก กลิ่นใบชาฟุ้งไปทั่วกระพุ้งแก้ม

    ชารสดี

    ระหว่างดื่มด่ำกับชาชา ผมก็บิดคอพร้อมกับใช้มือนวดต้นคอ มันยังไม่คลายเมื่อยดี
    เท่าไรนัก นี่ขนาดขับมาครึ่งทางยังเมื่อยขนาดนี้แล้วอีกตั้งครึ่งทางที่เหลือ คอผมจะไม่
    เคล็ดกันพอดีเรอะ

    พอเจ้าของร้านเห็นผมนวดคอก็ยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยถามผม
    "เพิ่งขับบนถนนเส้นนี้เป็นครั้งแรกเหรอคะ ?"
    "อ่ะ อ้า... ครับ รู้ได้ไงครับว่าผมเพิ่งมาขับเป็นครั้งแรก"
    "ฮิ ฮิ คนที่มาขับบนถนนเส้นนี้ครั้งแรกก็จะเป็นเหมือนคุณทุกคนแหละค่ะ"
    "งะ งั้นเหรอครับ"

    ผมยิ้มแหยๆ แสดงว่าทุกคนที่มาขับบนถนนเส้นนี้ครั้งแรกคงจะปวดคอเหมือนกันหมด
    ทุกคน ซึ่งมันลำบากมากเลยการขับรถถอยหลังแบบนี้ ไม่รู้นึกอะไรกันถึงได้ออกกฎแบบ
    นี้ขึ้นมา

    "ว่าแต่ว่าทำไมถนนเส้นนี้ถึงต้องขับถอยหลังล่ะครับ ?"
    ผมถามเธอขึ้นมาหลังจากที่เห็นเธอเลิกง่วนกับงานแล้ว

    เธอหันกลับมายิ้มให้ก่อนตอบผม
    "เรื่องนี้มันค่อนข้างยาวค่ะ คุณรีบอยู่รึเปล่าล่ะคะ ?"
    "อ๋อ ผมไม่รีบหรอกครับ เรื่องมันยาวขนาดนั้นเลยเหรอครับ"
    "ค่ะ เอ... จะเริ่มยังไงดีน้า..."

    เธอหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนจะถามผมกลับ
    "คุณเห็นทางแยกที่จะมาถนนเส้นนี้รึเปล่าคะ ?"
    "ครับ ผมเห็น ตอนแรกผมว่าจะไปเมืองข้างหน้านี่ พอมาถึงทางแยก ทางเส้นหนึ่ง 50
    กิโล อีกเส้นบอก 5 กิโล ผมก็เลยมาทางเส้นนี้ พอมาถึง ตำรวจก็บอกให้ขับรถถอยหลัง
    จนมาถึงนี่แหละครับ จะว่าไป ผมเองก็สงสัยเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ทำไมทางไปเมือง
    เดียวกันถึงได้ระยะทางไม่เท่ากันแบบนี้"

    เธอพยักหน้าหงึกๆ รับรู้เรื่องที่ผมถามก่อนจะตอบกลับ
    "แต่ก่อนก็ไม่มีทางเชื่อมระหว่างเมืองสองเมืองนี้หรอกค่ะ เพราะที่ดินทั้งหมดล้วนแต่
    เป็นไร่นาซึ่งเจ้าของที่ทุกคนต่างก็ไม่ยอมให้ทำถนน ดังนั้นถนนเส้นแรกที่ตัดขึ้นมาจึง
    ต้องตัดอ้อมเลี่ยงที่ดินเจ้าปัญหาพวกนี้เป็นระยะทางไกลขนาดนั้นไงล่ะคะ"

    ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ เธอจึงพูดต่อ
    "เวลาผ่านไป เสียงบ่นของผู้คนทั้งสองเมืองถึงเรื่องถนนที่ต้ดอ้อมจนยาวผิดปกติแบบนี้
    ก็เริ่มหนาหูขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเจ้าของที่บางคนก็ยอมให้เวนคืนที่ ถึงสามารถตัดถนน
    เส้นนี้ขึ้นมาได้"
    "อ้าวก็ดีแล้วนี่ครับ ย่นระยะทางได้กว่าเดิมตั้งสิบเท่า"
    "ใช่คะ แต่ว่าพอเริ่มใช้ได้ไม่นานนักก็เกินปัญหาขึ้นมา"
    "ปัญหาอะไรเหรอครับ ?"

    เธอหยุดยิ้มนิดหนึ่งก่อนตอบ
    "ก็ถนนเส้นนี้มันสั้น รถทุกคนก็เลยพากันขับผ่านเส้นนี้ไม่จะเป็นรถยนต์ รถบัส รถบรรทุก
    โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์จะมากันวิ่งบนถนนเส้นนี้เป็นจำนวนมาก"
    "อ้าวก็เป็นเรื่องธรรมดานี่ครับ"
    "ใช่คะ แต่พอรถวิ่งกันบนถนนเส้นนี้เยอะ อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นทุกวัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการ
    เฉี่ยวชนกัน โดยเฉพาะรถมอเตอร์ไซค์จะเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าเพื่อน"

    ผมพยักหน้าหงึกๆ ใช่แล้วล่ะ รถมอเตอร์ไซค์เป็นอะไรที่น่ารำคาญสำหรับผู้ที่ขับรถยนต์
    ทุกคนเพราะรถพวกนี้จะขี่กันแบบค่อนข้างตามใจฉัน ทั้งแซงซ้าย แซงขวา เวลาจะ
    เลี้ยวก็ไม่เปิดไฟเลี้ยว นึกจะหยุดก็หยุด แถมบางทียังขี่ซ้อนคันกันมา

    ต้องระวังรถมอเตอร์ไซค์อยู่เสมอ

    "แล้วยังไงต่อเหรอครับ"
    "ก็เป็นแบบนั้นมาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นมา รถมอเตอร์ไซค์ที่รีบพา
    ภรรยาไปทำคลอดที่โรงพยาบาลเฉี่ยวเข้ากับรถรับส่งนักเรียน รถมอเตอร์ไซด์ล้มแล้ว
    โดนรถที่ตามข้างหลังทับเอา ทั้งคนขี่และคนท้องตายหมด ส่วนรถนักเรียนก็หักลงข้าง
    ทางจนพลิกคว่ำ มีเด็กนักเรียนตายไปสามคน เป็นเจ้าหญิงนิทราอีกคนหนึ่ง"

    "งั้นเหรอครับ แย่มากเลยครับที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น"
    ผมรู้สึกสลดกับเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นบนถนนเส้นนี้

    "คะ มันแย่มาก ทางราชการทางก็แก้ปัญหาโดยกำหนดให้รถมอเตอร์ไซค์วิ่งได้เฉพาะ
    ไหล่ทางเท่านั้น แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพราะว่าสุดท้าย รถมอเตอร์ไซค์ก็ยังคง
    ออกมาวิ่งนอกไหล่ทางอยู่ดี ไม่ว่าจะมีการกวดขันแค่ไหนก็ตาม"
    "อ้าวแล้วทำไมถึงออกมาวิ่งนอกช่องล่ะครับ ?"
    "ก็เหมือนกับรถยนต์นี่แหละคะ เวลาจะแซงกันก็ต้องกินเลนอื่น แล้วไหล่ทางเองก็ไม่ได้
    กว้างพอให้รถมอเตอร์วิ่งได้สองคัน นอกจากนี้รถมอเตอร์ไซค์ยังต้องกลับรถบ้าง เลี้ยว
    เข้าออกจากซอยบ้าง ห้ามกันไม่ได้หรอก สุดท้ายอุบัติเหตุก็ยังคงเกิดขึ้นเหมือนเดิม"

    นั่นสินะ คงจะเป็นการยากที่จะจำกัดการสัญจรของรถมอเตอร์ไซค์แบบนั้น

    "พอไอ้ที่กำหนดไว้ไม่เป็นผล อุบัติไม่ลดลง ทางราชการก็สั่งห้ามรถมอเตอร์ไซค์วิ่งบน
    เส้นทางนี้"
    "อ้าว แล้วเขาจะไม่ประท้วงกันเหรอครับ"

    เธอยิ้มก่อนพยักหน้าตอบรับ
    "ค่ะ ประท้วงกันใหญ่โตเลย รถมอเตอร์ไซค์จำนวนมากมายมาปิดถนนไม่ยอมให้รถอื่น
    ผ่าน บอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม การประท้วงรุนแรงจนแทบจะเกิดจราจลเลยคะ"
    "แล้วทำยังไงเรื่องถึงได้คลี่คลายครับ"
    "ตอนแรกก็จัดการประชุมร่วมหาทางแก้ปัญหา แต่ก็ไม่ได้ได้ข้อตกลงอะไร มีการจัด
    ประชุมไปหลายครั้งก็ยังไม่ได้เรื่อง จนสุดท้ายมีคนเสนอให้รถทุกคันขับถอยหลัง โดย
    อ้างว่ารถที่ขับถอยหลังจะมีความระมัดระวังสูงกว่าปกติ ทำให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ยาก"
    "อ้าว มอเตอร์ไซค์เขายอมกันเหรอครับ รถมอเตอร์ไซค์ขี่ถอยหลังไม่ได้นี่"
    "ใช่คะ มอเตอร์ไซค์ก็เถียงไม่ยอม แต่เขาคนนั้นก็บอกว่าถ้าปรับแต่งรถสักหน่อยก็
    สามารถขับถอยหลังได้และยังบอกให้ทางราชการช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดัด
    แปลงรถ"

    มิน่าล่ะ ผมถึงได้เห็นรถมอเตอร์ไซค์ติดซาเล้งวิ่งถอยหลังกันให้ขวักไขว่ ที่แท้ที่มาก็เป็น
    อย่างนี้นี่เอง

    "แล้วทั้งสองฝ่ายยอมเหรอครับ ผมว่ามันฟังดูไม่ขึ้นยังไงก็ไม่รู้"
    "นั่นสิคะ แต่ก็น่าแปลกที่ทั้งสองฝ่ายต่างยอมรับข้อเสนอนี้ คงเป็นเพราะอยากให้เรื่องนี้
    รีบจบๆ ลงไปซะทีละมั้ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถนนเส้นนี้ต้องขับรถถอยหลัง แล้วเชื่อไหม
    คะว่าตั้งแต่เริ่มขับรถถอยหลังกัน อุบัติเหตุเกิดขึ้นน้อยครั้งมากๆ อย่างดีก็แค่ตกข้างทาง
    แค่นั้น ไม่มีการชนกันเลย น่าตลกดีจัง"
    "อืม อย่างนี้หรอกเหรอ ก็น่าแปลกดีนะครับ"

    คุยกับเธอจนชาหมดกา ผมก็เลยจ่ายเงินพร้อมกับขอบคุณที่เธอเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เธอยิ้มให้
    บอกกับผมว่า ถ้ามีโอกาสก็แวะมาอีกนะ ผมเลยหยอดคำหวานไปว่า แน่นอน ผมจะมา
    ที่นี่อีกเมื่อมีโอกาส

    ผมกับหนูมินท์เริ่มออกเดินทางกันต่อบนถนนเส้นนี้ ยังหรือระยะทางให้ปวดคออีก
    ประมาณสองโลครึ่ง รู้สึกรำคาญใจยังไงก็ไม่รู้ แต่อยู่ดีๆผมก็ขำพรืดออกมา

    เรากำลังเดินทางด้วยก้นของหนูมินท์นี่ ฮ่ะๆๆ


    งานเขียนนี้ได้แรงบันดาลในจาก "การเดินทางของคิโนะ" ของคุณ ชิกุซาวะ เคอิจิ

    แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 51 20:37:50

    แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 19:30:42

     
     

    จากคุณ : garnet19th - [ 11 ธ.ค. 51 17:12:59 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com