บันทึกจากเมื่อต้นปี
ในขณะที่ผมยังต้องรับการบำบัดจากสถานบำบัดจิต
ด้วยโรคเครียดซึมเศร้า
เป็นบันทึกในวันที่เริ่มใกล้หายและมีสติ
เป็นบันทึกที่ มาจากคำแนะนำของหมอ ว่าการระบายลงในบันทึก
จะช่วยนำแผลในใจสิ่งสับสนในใจออกมามองเห็น
และยังเป็นบันทึกที่ผมเก็บรักษามันอย่างดีในทุกวันนี้
เพื่อมองดูตัวเอง ในวันเก่า
เป็นบทเรียนสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต
จากรักครั้งนึงในหลายครั้งของผม
แต่เป็นรักครั้งเดียวที่ผมมีให้กับคนในอินเทอร์เนท
และเป็นบทเรียนราคาแพงมากมายในชีวิต
บันทึกนี้เดิมทีเขียนด้วยภาษาที่สับสนและขาดสติ
ยากสื่อสารให้ใครเข้าใจ
ผมจัดเรียงมันใหม่ ในวันนี้อย่างรักษาความรู้สึกที่มีในตอนนั้น
อย่างคงเดิมในทุกอย่าง
ขอฝากมันไว้เผื่อใคร ที่ต้องเผชิญปัญหารัก
หวังว่ามันอาจช่วยอะไรคุณได้บ้าง
เธอชื่อโอ
ผมพบเธอเมื่อ4ปีก่อน และรักกับเธอ3ปี
ผมพบเขาในขณะที่ผมอายุ26และโออายุ22
ทำไมผมรักโอมากและทำไมโอมีอิทธิพลล้ำค่าต่อชีวิตของผม
ผมว่ามันต้องเกี่ยวกับสภาพชีวิตก่อนจะมาเจอเขา สิ่งที่ผมระลึกได้คือ
ช่วงชีวิตก่อนมาเจอเขา
ผมพบเจอแต่เรื่องที่มันหนักกับชีวิต เจอแต่เรื่องที่มันน่าสุดกู่
และผมทอดทิ้งชีวิตทำตัวไม่สมวัยมามากในหลายช่วงวัย
และผมเองยังเผชิญกับชีวิตที่ผ่านเหตุการณ์ ร้ายๆ
ในช่วงที่ผมเป็นโรคที่เรียกว่า โรคกลัวสัจธรรม!
ผมต้องเจอเรื่องรุนแรงในจิตใจ ใน8ปีก่อนที่จะมาเจอเขา
ช่วงนั้นผมเจอภาพแย่ๆมากมายที่ผมเอาตัวเองไปมองไปดูไปรู้สึกร่วม
กับสารพัดสิ่ง ที่เป็นความโหดร้ายในโลกใบนี้
ช่วงนั้นผมพบบางสิ่งโดยบังเอิญ
ภาพบังเอิญที่เกิดขึ้น มัน
มาจากการที่ผมมีสาเหตุให้คนตาย4คนทางอ้อมอย่างไม่ตั้งใจ
ผมถูกความสำนึกเสียใจเหล่านั้นกลืนกิน
ประกอบกับต้องถูกรถชน สมองกระทบ ในเวลานั้น
หลังจากสมอง ที่ทำงานไม่เต็มที่ไม่ฟื้นตัว ในเวลานั้น
ทุกอย่างถูกคิดอย่างสับสน ปนกับความเสียใจ
จิตใจพิการของผมคิดฟุ้งซ่านเลยเถิดไปถึง
ภาพน่ากลัวมากมายที่มีในโลกใบนี้
ที่ทำให้รู้สึกว่าโลกใบนี้น่ากลัว
ตอนนั้นผมช๊อครุนแรง และขยายความโรคนี้
ด้วยการนำตัวเองออกไปขุดมองค้น
เรื่องสารพัดชนิดที่น่ากลัว น่าเศร้าในโลกนี้ที่มีอยู่จริง
ชีวิตผมกลายเป็นเด็กวัยรุ่นคนนึง ที่กำลังมีความสุขกับค่านิยมอย่างเต็มที่
และค่อนข้างจะเสียคน แต่กลับต้องถูกการรับรู้
สิ่งที่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ อย่างช๊อคอย่างเสียขวัญ ตะลึงลาน
สมองที่ถูกรถชน มารวมกับเรื่องเลวร้ายที่ผมก่อไว้อย่างไม่ตั้งใจ
และการครุ่นคิดถึงเรื่องลึกๆในโลกใบนี้
คิดด้วยปัญญาอันเยาว์วัย ไม่มีวุฒิภาวะพอ
มันยิ่งส่งเสริมให้ผมฟุ้งซ่านประสาทหลอนไปเรื่อยๆ
ผมตกในอาการโคม่าทางจิตมาก
ผมมองโลกด้านเดียวและประสาทหลอน มีพฤติกรรมจิตใจไม่ปรกติ
หลังจากผม ต่อสู้กับอาการเหล่านั้นเรียนรู้เข้าใจโลกนี้ ผ่านมาได้
แต่ผมยังต้องรับกับอการข้างเคียงต่างๆต่อ
ผมยังผ่านจุดของโรคซึมเศร้าโลกเก็บตัว
ผมเคยรับรสความเหงาเงียบสนิทไร้คนเข้าใจเป็นปีๆ
ช่วงเวลาที่ผมเอาใจไปสัมผัสกับเรื่องลึกๆในโลกใบนี้
ผมไม่ได้ทำไปอย่างผู้ประสงค์จะ บรรลุหรือเป็นนักบวช
ผมทำไปเพื่อลบล้างความกลัวตัวสั่นของผม
ที่ต้องนอนร้องไห้คนเดียวกับภาพติดตา ที่ถูกตัวเองบังคับไปพบไปมองทุกวัน
ด้วย ความกลัว ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมบังคับตัวเองไปในสถานที่ที่จะมีภาพสยองภาพเศร้าให้ผมพบเห็น และผมก็ช๊อคกับมันทุกครั้ง
อดีตที่ผมจำมันได้ ตอนนั้นใจลึกๆผมอยาก
ใช้ชีวิตวัยรุ่นมีความสุขกลับคืนดังเดิม
อยากทำไม่รู้ไม่เห็นไม่สน วัฏสงสารที่มีอยู่จริงในโลกใบนี้
แต่ผมจัดการตัวเองไม่ได้ ตอนนั้นผมป่วยทางจิต
สมองผมคิดไม่หยุด แม้แค่เวลาจะคุยกับแม่ผมยังหยุดคุยไม่ได้
คืนทุกคืนผมต้องหลับไปในสภาพที่ล้าไปเองทั้งน้ำตา
ผมบอกได้เลยว่า ความรู้สึกของคนที่พยายามอยากจะหยุด
คุยกับแม่ ความรู้สึกของคนที่เห็นแม่กังวลร้องไห้ ที่ลูกตัวเอง
อาการหนักแบบนี้ ความรู้สึกของคนที่ต้องการ
จะหายจะหยุดแต่ควบคุมตัวเองไม่ได้
ได้แต่ใจลอยคิดไม่หยุด มันเป็นความรุ้สึกที่เจ็บปวดมาก
ผมน้ำตาไหลแต่ตอบใครในบ้านไม่ได้
ผมแทบไม่คุยกับใครเลย ผมจำความรู้สึกที่ทารุณเหล่านั้นได้ดี
สมองผมหมกมุ่นกับเรื่องวัฏสงสาร ความพรากจาก
ความสูญเสีย ความไม่ยั่งยืน
ความเจ็บไข้ ความน่าสังเวท เวทนามากมาย
ผมหมกมุ่นกับมันมากไปจนจิตสัมผัสของผมพัฒนา มากเกินไป
จิตสัมผัสผมสามารถรับรส รู้สึกต่อสิ่งต่างๆ
สามารถรับรสของผู้อื่นเหมือนเป็นตนเองถูกกระทำ
ผมไม่กล้ามองไม่กล้าเห็นภาพใดๆไม่กล้าฟังเรื่องราวใดๆ
ผมกลัวความรู้สึกที่โหดร้ายจะเฉียบเข้าทำร้ายหัวใจผม
ผมควบคุมตัวเองบังคับตัวเองไม่ได้
8ปีก่อนที่ผมจะมาเจอโอนั้น ผมต้องต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้
ผมค้นหาหลายสิ่งมากมาย มีหลายอย่างที่ประเสริฐมากที่คอยช่วยผมมาได้
แต่การต่อสู้ครั้งนั้น มันก็ทำให้ผมลืมโลกสังคมภายนอกไปนาน
โดยไม่รู้ตัวเองเลยว่า ทอดทิ้ง ความรู้สึกจิตใจอย่างผู้คนในสังคมไปนานแล้ว
ช่วงที่ผมพึ่งหายป่วยนั้น
แม้ผมจะเข้าใจโลกนี้และอยู่กับมันได้อย่างสงบใจบ้างแล้ว แต่
ผมก็กลายเป็นคนที่เซ้นส์ซิทีฟ
เป็นคนที่ละเอียดอ่อน และอ่อนไหวรุนแรงอยู่บ้าง
แต่ สิ่งประเสริฐหลายๆอย่างที่ทำให้ผมหายมาได้
ก็ทำให้ผมรู้สึกรักโลกที่เงียบสงบ
ผมไม่ดูทีวี ไม่ฟังวิทยุ ไม่ค่อยพูดกับใคร
แต่นั่นมันก็ทำให้ผมค้นพบ ความสุขมากมาย
ที่คนทั่วไปมักไม่มองเห็นในโลกใบนี้
ผมพบสุขนั้นปะปนไปกับความเหงาสนิทเฉียบจับหัวใจ
ผมไม่รู้จะบรรยายอย่างไร ของความรู้สึกของคนที่รู้จักโลกที่เงียบกริบ
เป็นเวลายาวนาน
ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ถึงความหดหู่ ในช่วงวัน
ที่ผมเอาตัวเองไปนั่งดู คนไข้ชรานอนรอความตาย
ทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก ตามโรงบาล
นั่งดูอย่างนั้นเช้ายันค่ำ ทุกวัน
ท่ามกลางเสียงรถเสียงผู้คนที่ครึกครื้นอยู่ข้างนอก
ผมไม่อาจอธิบายความช๊อคกับการเอาตัวเองไป มองหลายๆสถานที่หลายๆสิ่ง
ที่มีภาพจับใจโหดร้ายต่อชีวิต
การเอาตัวเองมองภาพในหนังสือ หรือนำเอาเรื่องราว
ของคนอื่นเก็บมาคิดมารู้สึก
อย่างหยุดตัวเองไม่อยู่
นั่นคือนรกที่ผมสู้กับมันเป็นปีๆ ท่ามกลางจิตใจที่ไม่เป็นสมาธิ
ท่ามกลางจิตใจที่
ลนลานหาทางออกอย่างกระสับกระส่าย
ท่ามกลางอาการของคนบ้า บ่นคิดพึมพำ เดินวนคนเดียว
บางคืน ทุบตีตัวเอง โกรธเครียดตัวเองที่หาทางออกจากความกลัวไม่ได้
ชีวิตมันเหมือนคุณถูกความรุ้สึกกลัวหนังผีเล่นงานคุณ24ชั่วโมง
กว่าผมจะหลุดจากจุดนั้นมาได้ผมต้องเจอชีวิตที่สุดขีดต่อความรู้สึกมากมาย
มันมีหลายภาพหลายความรู้สึกที่ฝังใจ อยู่เยอะจริงๆ
ผมออกจากโลกนั้นมา อย่างไม่ใช่ผู้บรรลุ แต่เป็นแค่เพียงผู้เข้าใจตระหนักถึงสิ่งที่มีในโลกนี้ และมีเจตนาที่ยังอยากเป็นมนุษย์ผู้มีชีวิตชีวาในอัตตา
เสพกิเลศพื้นฐานทั่วไป เหมือนเช่นคนอื่น
ผมคิดถึงโลกธรรมดาของผมมาก ผมกลับมาในโลกสังคมอีกครั้งอย่างตื่นเต้นในโลกใบเก่าที่รู้สึกใหม่อีกครั้ง
ใจผมแม้จะมีสุขกับโลกสันโดษที่สงบ มีสุขที่ใกล้ชิดรู้สึกได้
กับสิ่งที่ผู้คนมักละเลยรอบตัว
แม้มันจะสุข แต่พอนานไปมากขึ้น มันก็เริ่มเป็นโลกที่เริ่มเหงา
จิตใจผมเริ่มแกว่งอีกครั้ง ความเหงาที่มากมาย
ทำให้ผมเริ่มลืมคุณค่าของจิตวิญญาณในโลกเหล่านั้น
ผมเริ่มอยากจะสัมผัสหลายๆสิ่งเดิมๆที่เคยสัมผัสได้เมื่อครั้งยัง
สนุกกับรสชาติทางสังคม ผมจำไม่ได้แล้วว่าโลกสังคมค่านิยมต่างๆ
บางสิ่งปะปนไปด้วย พิษร้ายความเสื่อมที่พร้อมกลืนจิตใจคนอย่างไรบ้าง
ผมจำไม่ได้ผมไม่สนใจ และผมคิดตื้นๆเพียงว่า
โลกนี้มันบ้า เพราะฉนั้น ชีวิตผมจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน
ผมคิดแบบนี้ในเวลานั้น และมันทำให้ผมเอาตัวเองมาตั้งใจแบ่งใจเรียนรู้
อะไรๆในสังคมกลับคืนมาบ้าง
แต่ผมยังต้องผจญกับอาการประหม่าสังคม ทำตัวไม่ถูก
เพราะทิ้งมันไปนาน
แม้แต่คำพูดหรือ การสื่อสารต่างๆกับผู้คน ผมก็ทำมันได้ไม่ดี
ผมมักถูกคนบอกว่าผมพูดไม่รู้เรื่อง
ผมยังประสบปัญหากับการไม่มีความรู้สึก กลมกลืนเป็นไปแบบเดียวกับคนในสังคม
อะไรรอบตัวที่คนอื่นเขามีปฏิกริยายังไง ผมมักรู้สึกไปตามโลกส่วนตัวของผม
เพราะช่วงที่ผมหายจากโรคทางจิตออกมา ผมยังใช้เวลากับโลกส่วนตัวแสนสุขบางอย่างของผม อยู่หลายปี กับสิ่งละเอียดอ่อนรอบตัว
ที่ผมสื่อสารกับมันด้วย ความรู้สึกในแบบโลกของผม
ผมกลับมาในโลกภายนอกอีกครั้งอย่าง สอนตัวเองในเวลานั้นว่า
ในเมื่อสิ่ง ที่ผู้คนในสังคมต่างเวียนว่ายกันนั้น หลายๆสิ่ง
มันคืออัตตาที่ไร้สาระ ผมก็ไม่จำเป็นต้องไปยึดติด
ผมไม่จำเป็นต้องไปเชื่อใคร ว่านั่นมันคือโลกความจริง
ผมบอกตัวเองว่ามันแค่เพียงเป็นโลกที่คนหมุ่มากยึดถือกันว่าคือโลกความจริงแค่นั้นเอง
ผมบอกตัวเองว่าโลกส่วนตัวของผม ที่ผมสร้างมันขึ้นในจิตใจ
โลกส่วนตัวของผม ที่ใครๆมักมากล่าวหาว่า ไม่ใช่โลกความจริง
แต่ผมไม่คิดเช่นนั้น ผมคิดว่า โลกสังคมทั่วไปมันก็ไร้อัตตาเช่นเดียวกันกับโลกของผม ดังนั้นหากจะถือว่ามันคือโลกความจริง
โลกขอองผมก็ต้องเป็นโลกความจริงเช่นกัน
โลกส่วนตัวของผม
มันเป็นโลกที่ค่อนข้างเก็บตัวและสันโดษ
อยู่ในเมืองแต่จิตใจแยกออกจากสังคมเมือง
มีความสุขกับวิถีเรียบง่ายๆหลายๆอย่าง แต่หลายๆสิ่งมันก็
ห่างไกลกับ วิถีความรู้สึกนึกคิด การใช้ชีวิตของคนหมู่มากเหลือเกิน
ผมอยู่อย่างนั้นต่อหลายปีและค่อยๆเข้าสังคม แต่ก็เป็นการเข้าสังคมอย่าง
ที่จิตใจไม่ถูกกลืนกิน จิตวิญญาณไม่ขายให้
และไม่คิดเรียนรู้กลมกลืนอะไรกับใคร
แต่ผมก็มีมิตรสหายได้ แม้สิ่งหลายๆอย่างที่คนอื่น พูดกระทำหรือสื่อกับผม
สิ่งที่ผมรู้สึกต่อเขาและเขารู้สึกต่อผม
แม้มันจะเป็นคนละโลกกัน แต่เราก็เข้ากันได้ดี
ผม เริ่มกลับมามีเพื่อนมีความสัมพัณธ์กับผู้คนมากมาย รวมทั้งมีแฟน
ชีวิตผมช่วง2ปีก่อนจะมาพบโอ
ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับ การทำกิจกรรม ด้านกีฬา ด้านฝึกฝน
ผมชอบ ความจับเจ่า ความให้สมาธิกับสิ่งเรียบง่าย
และผมพึ่งพา ความเหนื่อย ความเจ็บจากการฝึก
เพื่อสะกดไม่ให้ผมรู้สึก เจ็บบางอย่างกับภาพในอดีต
ผมอยู่ในชีวิตแบบนั้น ทุกวัน ชีวิตวนเวียนแบบนั้น รักที่จะอยู่อย่างนั้น
แต่แน่นอนเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผมก็สะสมความสุขกับสิ่งทางสังคมและค่านิยมสังคม
หลายๆอย่างที่เคยมี กลับมาได้
ผมเริ่มชอบนู่นนี่อยากได้อยากมี ซื้อนู่นนี่
มีความต้องการในหลายๆสิ่งเหมือนใครๆ ได้อีกครั้งในหลายๆอย่าง
และผมก็เริ่มทำงาน และสุขไปกับโลกส่วนตัวของตัวเอง
ผม มีแฟน มีงาน มีเงิน มีเพื่อน มีเที่ยวกินดื่ม
แต่ยังทำมันไม่เต็มตัวสักเท่าไหร่
มันเป็นการผสมกันของชีวิต ที่ปล่อยวันผ่าน
ผมยังมีอาการแอบขวานผ่าซากเหนื่อยหน่ายโลกนี้
อยู่บ้าง ผมยังเก็บจิตใจของผมให้วนเวียนแต่เรื่องของโลกตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เป็นส่วนใหญ่
ชีวิตผมยังสับสนอยู่ ผมคบคนอย่างไม่เลือก
และความขวานผ่าซาก ของผมก็เริ่มรุนแรงมากขึ้น
ผมเริ่มไม่ชอบความรู้สึกเจ็บปวด เวลาที่เซ้นส์ซิทีฟไปกับบางเรื่องที่พบเจอ
ผมจึงเริ่มพึ่งบางสิ่งด้านมืด ผมเริ่มสั่งสมความรู้สึกนึกคิด
ในเชิงก้าวร้าว แข็งกร้าว เข้ารู้สึกกับบางสิ่งที่ทำให้โลกนี้ไม่สวยงาม
ผมฝึกใจหล่อหลอมตัวเองบางอย่างให้ด้านชา
และเริ่มนิยมที่ จะศรัทธาในคำว่าความเข้มแข็ง
ผมเริ่มที่จะมองว่าสิ่งอื่นๆ ต้องเข้มแข็งด้วยให้ได้
แนวความรุ้สึกนึกคิดเช่นนี้ มันก็เริ่มบ่อนทำลาย
ความละเอียดอ่อนความอ่อนโยนต่อบางเรื่องในชีวิตของผม
และมันก็ทำให้ชีวิตถูกแทรกด้วยความจำเจน่าเบื่อในบางสิ่ง
การใช้ชีวิตอย่างขวานผ่าซาก ไม่สนใจชีวิตของผม
มันก็นำพาการคบหากับวงการ ของผู้คนในด้านมืด
มิตรสหายที่เป็นคนสูงอายุ มิตรสหายจากสถานที่อัปโคจร
ก็มีเข้ามาผสมในชีวิตของผม
เป็นชีวิตบ้าๆที่มีทั้งรับรสสุขละเอียดอ่อน
ทั้งรับรสโลกส่วนตัว
และทั้งรับรสความยังปวดร้าว ในบางอย่างแอบลึกๆ
ยิ่งเห็นสิ่งสวยงาม ยิ่งอาลัย กับโลกที่ทำไมไม่ใจดีต่อสิ่งพวกนี้
ทั้งรับรสความเหนื่อยหน่ายทิ้งขว้าง บางสิ่งในชีวิต
มันเป็นจุดชีวิตที่สับสน บางครั้งในเวลาที่อยากสัมผัสกับโลกส่วนตัว
ที่ละมุนน่ารัก ก็ต้องแอบสายตา กลุ่มเพื่อนบางกลุ่มทำ
มันเป็นความสับสนปรับตัวไม่ถูกกับ การใช้ชีวิตไปกับ
อารมณ์ที่ไม่แน่นอน บางเวลาใจอ่อนบางเวลาแข็งกร้าว
ช่วงเวลานั้นผมเริ่มรู้จักกับอินเทอร์เนท
และใช้มันผ่อนคลายไปกับ บางส่วนของจิตใจที่ต้องการหาทางออก
ให้บางร่างที่แฝงอยู่ในคนเดียวกัน
ช่วงเวลานั้นกลางวันไม่ว่าผมจะพบเจอเรื่องหนัก หรือเรื่องใด
แต่เมื่อกลับบ้าน ที่ห้องผมจะมีคอมให้
เข้าไปพบเจอกับโลกของเด็กๆอยู่เสมอ
และเป็นโลกที่ผม จะไม่เอาเรื่องหนักๆใดเข้ามาเกี่ยว
มันเป็นโลกน่ารักที่ผม ได้ระบายบางอย่าง สามารถอ่อนแอได้
ไปกับโลกน่ารักเช่นนี้ อย่างหลบสายตาคน
สายตาคนที่ผมไม่ต้องการอ่อนแอ เหยาะแหยะให้เห็น
ไม่ต้องการ เผยความอ่อนโยน
ต่อเรื่องละเอียดอ่อนอันใดให้คนภายนอกรู้
และต่อมาผมก็พบกับโอ โอที่
ผมไม่เข้าใจทำไมทุกวันนี้ผมยังรักเขา
ถ้ามันเริ่มจากความชอบ สิ่งที่ผมทบทวนความทรงจำและความรู้สึกที่ผ่านมา
ด้วยการสงบความรู้สึกเพื่อมองเห็นทุกอย่าง
ผมมองเห็นการคบหากับแฟนผมคนนึง ที่เป็นเด็กเกเรมีพฤติกรรมเกเรอยู่บ้าง
เคยหลอกให้ผมจีบเขา เพราะช่วงนั้นผมกำลังชอบเสป๊คตาดุปากเจ็บข้อเท้าเล็กอย่างหนัก แต่ต่อมาเขาแกล้งผม
เขาแกล้งเฉลยหลอกๆผมว่าแท้จริงเขาเป็นผู้ชาย
ซึ่งมันทำให้ผมโกรธและอาย แต่ผ่านไป1เดือน
เขาเข้ามาขอคืนดีกับผม คบผมเป็นเพื่อน และสารภาพความจริงว่าเป็นผู้หญิง
ตอนนั้นผมคุยกับเขาปรกติ แต่จิตใจผมก็มักคอยแอบที่จะอ่านเขา...
จริงแล้วผมสัมผัสกลิ่นของเขาออก ตอนนั้นเขายังเด็ก
ความรู้สึกที่ผมแอบมองเขาในตอนนั้น
ผมมองเขาเป็นเด็กวัยรุ่นเอาแต่ใจธรรมดาทั่วๆไปคนนึง
เขาดูเป็นคนที่ดูมีพลังของชีวิตที่ครื้นเครง
มีนิสัยใจคอบุคลิกเป็น เด็กทั่วๆไปที่มีอารมณ์ทั่วๆไปของเด็กผู้หญิง
ที่มีพฤติกรรมอารมณ์ต่อสิ่งยั่วยุทั่วๆไป
ความชอบวงการเพลง และอีกหลายบุคลิกที่เป็นไปตามวัยตามสภาพสังคมของเขาในตอนนั้น
เขาเข้ามาคลุกคลีกับผม ผมไปอ่านในไดอารี่ของเขา ผมฟังเรื่องเล่าของเขา
ผมพอจะเดาบางอย่างในตัวเขาออก ตอนนั้นความรู้สึกที่ผมมี
ผมชอบใจในสิ่งธรรมดาทั่วๆไปพื้นๆของผู้หญิง คลั่งไคล้ศิลปิน เจ้าชู้ นินทาเม้า ชีวิตวัยรุ่นชีวิตกลุ่มก๊วน
ชีวิตแนวๆ ตอนนั้นสิ่งที่ผมรู้สึกคือสิ่งพวกนี้เป็นสิ่งทั่วๆไปที่ผมเคยผ่านเคยเห็น
จนเข้าใจรูปแบบจิตใจของ สังคมวัยรุ่นแบบนี้ โลกที่ผมผ่านมานั้นผ่านการพบเห็นสิ่งเหล่านี้
มามากมาย จนเข้าใจดี
ผมเลยไม่เกิดความอยากสนใจ และหลายสิ่งผมเองก็เคยทำเคยเป็นเคยเห็น
แต่รสชาติเหล่านั้น มีอะไรสักอย่างที่ผมต้องการ
ในขณะนั้นในความรู้สึกมันเหมือน เป็นจังหวะของชีวิตที่ผ่านเจอแต่สิ่งที่หนักความรู้สึก
มานานในชีวิต
ผมรู้สึกว่าชีวิตวัยรุ่นธรรมดาๆของโอ มีหลายอย่างที่มองหรือฟังแล้วก็ผ่อนคลาย
สีสรรไปตามประสาวัยของเขาแบบนี้ ในขณะนั้นคือสิ่งที่มันสร้างความรู้สึก หลายอย่างให้กับผม
เขามักพูดเรื่องไปเที่ยวห้างไหนมา ไปนั่งกินขนมที่ไหนมา ไปดูคอนเสิตร์ไปนั่นทำนี่
มันเป็นชีวิต วัยรุ่นที่สมวัยและผมลืมมันไปนานจริงๆ ตัวผมตอนนั้นแวดล้อมด้วยสภาพชีวิต
ที่ลืมสิ่งเหล่านี้ไปมากมาย ลืมสัมผัสรู้สึกต่อสิ่งเหล่านี้ไปมาก
ตอนนั้นผมมีชีวิตที่ค่อนข้างเก็บตัว จะมีโผล่ไปข้างนอกก็แค่ไปฝึก
หรือไปเที่ยวกินเหล้า หรือไปในสถานที่ที่มันค่อนข้างมีเรื่องหนักๆ
ส่วนพวกดูหนังฟังเพลงดูทีวีเที่ยวทั่วไป
ก็ทำก็ไปแต่ไม่สัมผัสไม่สนใจด้วยความรู้สึกนึง
ตอนนั้นโอทำให้ผมเอะใจว่าผมจำความรู้สึกต่อสิ่งพวกนี้ ไม่ได้เแล้ว
ผมทำชีวิตให้มันเข้มข้นไปมาก จนผมลืมความรู้สึกแบบวัยรุ่นตามวัยไปแล้ว
ผมมักชอบฟังโอ บรรยายความรู้สึกต่อสิ่งต่างๆที่ไปที่ทำ พูดถึงเรื่องต่าง มุมมองต่างๆ
หลายสิ่งที่ผมลืมสัมผัสประสาทเหล่านั้น ชีวิตง่ายๆเด็กๆแบบนั้นผมทำมันเลือนไปนาน
มันคงเป็นความรู้สึกที่อยากผ่อนคลาย
อยากคลุกคลีกับสิ่งธรรมดาเรียบง่ายเปื้อนฝุ่นทั่วๆไป
และมันขาดหายไปนานจากรสชาติของชีวิตผม มากๆในขณะนั้น
มันเหมือนผมเองก็เหนื่อยกับชีวิตตัวเอง ผมอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเหลวไหลลืมคืนวัน
แบบที่เคยเป็นหลายสิ่งมันมีความสุขใจง่ายๆ
แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 04:26:40
แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 04:24:11
แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 03:48:03
แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 03:46:36
แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 03:40:20
แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 03:29:02
แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 03:12:43
แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 03:08:32
แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 02:27:02
แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 02:12:05
แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 01:52:37
แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 01:50:08
จากคุณ :
ตึ๋งนิวเครียร์
- [
12 ธ.ค. 51 01:28:29
]