บ้านว่างให้เช่า
ราสส์ กิโลหก
บ้านว่างให้เช่า เป็นข้อความบนป้ายไม้ขนาดกว้าง 50 เซนติเมตร ยาว 80 เซนติเมตร พื้นสีขาวตัวหนังสือสีแดงมองเห็นสะดุดตา และถัดลงมาเป็นอักษรหมายเลขโทรศัพท์ แขวนอยู่ที่บานประตูรั้วหน้าบ้านหลังหนึ่ง ผมเดินผ่านไปมาบ่อยๆเพราะบ้านที่ผมเช่าอาศัยตั้งอยู่ลึกเข้าไปในซอยห่างจากบ้านหลังนี้เข้าไปอีกเกือบ 500 เมตร บ้านที่ผมเช่าอยู่เป็นบ้านไม้หลังเล็กๆชั้นเดียว หน้าบ้านมีต้นจามจุรีต้นใหญ่ ส่วนเจ้าของบ้านก็อาศัยอยู่ที่บ้านอีกหลังใกล้ๆกัน
บริเวณแถวๆนี้เป็นพื้นที่ชานเมืองกรุงเทพฯเรียกว่าแทบจะออกไปนอกเขตจังหวัดก็เป็นได้ ความลึกระยะทางจากถนนใหญ่ไปจนสุดปลายซอยประมาณ 1.5 กิโลเมตร ด้านสุดปลายซอยจะเป็นลำห้วยเล็กๆขวางก้นซอยอยู่ เหมือนเป็นขอบเขตกั้นปลายซอยกับที่ดินของคนอื่น
เนื่องจากความเจริญยังมาไม่ถึง สภาพพื้นถนนในซอยจึงเป็นเพียงดินลูกรัง กว้างไม่ถึง 6 เมตรรถยนต์พอขับสวนกันได้ บ้านเรือนตั้งอยู่เป็นหย่อมๆไม่ติดต่อกัน ถ้ากลับบ้านตอนกลางคืนในซอยจะมืดเหมือนเดินเข้าถ้ำเพราะไม่มีไฟฟ้าส่องข้างทาง
สภาพบ้านส่วนใหญ่จะสร้างมาแต่เดิมและเป็นบ้านไม้เก่าๆ ส่วนบ้านสร้างเป็นตึกใหม่ๆมีให้เห็นไม่กี่หลัง บรรยากาศเงียบๆเพราะบ้านแต่ละหลังตั้งอยู่ห่างกันเป็นฟัน หลอ ประเภทบ้านใครบ้านมันไม่ค่อยมีสังคมต่อกัน
บ้านหลังที่ติดป้ายให้เช่า เป็นบ้านไม้สักหลังใหญ่ ลักษณะเป็นบ้านแบบโบราณอายุน่าจะเป็นร้อยปี สภาพเก่าทรุดโทรมแต่ดูยังแข็งแรง ประตูรั้วหน้าบ้านเป็นประตูไม้บานใหญ่ 2 บานปิดเปิดโดยอาศัยบานพับ ส่วนรั้วรอบๆตัวบ้านเป็นรั้วสังกะสี เก่าแก่จนเป็นสีแดงเพราะสนิมเกาะกิน เนื้อที่ทั้งหมดคงประมาณ 200 ตารางวา ในพื้นที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หลายต้น บางต้นดูแล้วอายุคงพอๆกับตัวบ้าน ความร่มเย็นมากเกินจนเป็นความรกครื้มจากต้นไม้ใหญ่ๆ
ตำแหน่งที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวห่างไกลจากหลังอื่นๆ มีเพียงบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ใกล้ที่สุด คืออยู่ตรงกันข้าม อยู่อีกฝั่งของถนน ไม่ตรงกับหน้าบ้านโดยตรง แต่เยื้องไปทางปากซอยประมาณ 50 เมตรปลูกเป็นเพิงหมาแหงน มีชายหญิงผัวเมียสูงอายุ เปิดเป็นร้านขายของประเภทโชห่วย แต่ไม่ใหญ่โตอะไรมากนัก ก็มีคนในซอยที่ผ่านไปมาแวะซื้อของบ้างประปราย..
ผมเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯและมาเช่าบ้านอยู่ในซอยนี้เพียงลำพัง ผมไม่มีรถส่วนตัว ใช้การเดินเท้า เพื่อออกไปรอขึ้นรถเมล์ประจำทางที่ปากซอย เวลาเดินผ่านบ้านนี้ผมชอบมองดูที่ป้าย บ้านว่างให้เช่า ที่แขวนอยูที่ประตูรั้วหน้าบ้าน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องชอบมอง จริงๆแล้วป้ายที่แขวนไว้ตามหน้าบ้าน บอกบ้านว่างให้เช่า ก็มีตั้งหลายหลังในซอยแห่งนี้ ผมก็ไม่เคยสนใจอะไรเพราะผมไม่ต้องการจะหาบ้านเช่า มองเห็นก็เฉยๆไม่สะดุดตาอะไร แต่สำหรับป้ายที่หน้ารั้วบ้านหลังนี้มันเหมือนมีอะไรดลใจให้ผมต้องมองต้องสนใจทุกครั้งที่เดินผ่าน จะว่าผมอยากจะเช่าบ้านหลังนี้ก็ไม่ใช่เพราะรายได้ต่อเดือนชองผมมันน้อยนิดเดียว คงไม่มีปัญญาจะเช่าบ้านใหญ่ขนาดนี้ได้
เช้าวันหนึ่งเดินจากบ้าน ไปขึ้นรถเมล์ประจำทางที่ปากซอยไปทำงานเหมือนทุกๆวัน พอเดินผ่านที่หน้าบ้านหลังดังกล่าวผมมองไปที่หน้าประตูบ้านด้วยความเคยชิน ปรากฏว่าป้าย บ้านว่างให้เช่า ไม่อยู่ที่เดิมผมมองหาที่พื้นคิดว่าหล่นไปหรือเปล่า ? ก็ไม่มี หรือมีคนมาติดต่อขอเช่าไปแล้ว เจ้าของบ้านคงมาปลดเอาป้ายออกไป
ตอนเย็นกลับจากที่ทำงานลงรถเมล์ที่ปากซอย แล้วเดินเท้าเข้าซอยเพื่อกลับบ้าน เดินมาถึงตรงหน้าบ้านหลังที่ผมเดินผ่านเมื่อเช้า หลังที่เคยติดป้ายบ้านว่างให้เช่า ประตูบานใหญ่เปิดออกทั้งสองบาน มองเข้าไปในบ้านเห็นมีรถหกล้อ บรรทุกสิ่งของเครื่องใช้ประเภท ตู้เตียง โต๊ะเก้าอี้ และของใช้ต่างๆ ฯ มีคนผู้ชาย 4-5 คนกำลังขนของและผู้หญิงหลายคนทำความสะอาดที่ตัวบ้านและหน้าบ้าน
มีคนเช่าแล้ว ! ดีเหมือนกันเวลาเดินผ่านจะได้ไม่เหงาผมนึกในใจ
เมื่อไม่มีป้าย บ้านว่างให้เช่าติดอยู่ ความรู้สึกของผมก็ไม่ได้สนใจกับบ้านหลังนี้อีกต่อไป..
หลายวันต่อมา น่าจะสัก 7 วันได้ ผมเดินผ่านบ้านหลังนี้ ในตอนเย็นหลังเลิกงานปรากฏบานประตูไม้อันใหญ่หน้าบ้านเปิดออก ภายในบริเวณบ้านมีรถหกล้อจอดอยู่โดยหันทางด้านท้ายไปจ่อที่หน้าตัวบ้าน หันหัวรถออกมาทางด้านหน้าประตูรั้ว มีชายหนุ่มๆหลายคนช่วยกันขนของขึ้นรถ มองเห็นเป็นพวกโต๊ะ ตู้ เตียง เก้าอี้เครื่องใช้ต่างๆ ฯ ข้างรถหกล้อยังมีรถเก๋งสภาพกลางเก่ากลางใหม่อีก 1 คันมองเห็นผู้หญิงและเด็กๆ 2 คนยืนอยู่ข้างรถเก๋ง ผู้หญิงสวมชุดดำทั้งชุด
ความจริงผมไม่ใช่คนสอดรู้สอดเห็นอะไร แต่สำหรับบ้านหลังนี้มีความรู้สึกเหมือนมีความผูกพันกับผมอย่างประหลาด ผมพยายามมองเข้าไปในบ้านเพื่อดูว่า เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงมีการขนของกลับทั้งที่เพิ่งขนย้ายเข้ามา ก็ได้แต่มองดูไม่กล้าเข้าไปพูดคุยหรือไถ่ถามจากคนในบ้าน แต่เก็บความสงสัยไว้ในหัวสมอง
(มีต่อ)
แก้ไขเมื่อ 19 ธ.ค. 51 10:12:54