เป็นว่าแนวชายขอบชายกะลังขึ้นกระทู้แนะนำเป็นพรืดๆ เลยปัดฝุ่นเรื่องเก่าๆ เอามาให้อ่านกันครับ
ไม่เหมาะไม่สมอย่างไร กรุณาโวยวาย
๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
รักชั่วคราว
"ก็ไหนว่ารักนักรักหนา แล้วทำไมไม่อยู่เป็นเพื่อนเค้าก่อนเล่า หน้าตาก็ดีลีลาก็เด็ดเธอจะหาที่ไหนได้ง่าย ๆ "
ผมจำต้องเอ่ยปากเพราะทนเห็นความโลเลจากหัวใจคนตรงหน้ามาหลายครั้งหลายคราวจนนึกระอาและเหนื่อยหน่ายแทน
เธอยังไม่ตอบคำ หลังจากลงนิ้วนวดครีมรักษาผิวให้ซึมเข้าไปในหนังหน้า ครู่หนึ่งพอหน้ามันได้ที่ก็ใช้ครีมสีเนื้อนวลแตะไปตามตำแหน่งต่างๆ ทั้งหน้าผาก ขมับ ใต้ตา โหนกแก้ม ปลายจมูก และลูกคาง
ใช้นิ้วนางก้อยค่อยเกลี่ยให้มันกลืนกับสีผิวจนทั้งหน้านั้นเนียนงามได้อย่างน่าอัศจรรย์
"แล้วจะทิ้งเขาไว้อย่างนี้น่ะหรือ ถ้าเกิดฉกฉวยอะไรติดมือไปจะทำยังไง" ผมออกอาการเป็นห่วงแทนเธอไปทำไมกัน?
มันได้ผล ระหว่างที่หยิบตลับเล็กตลับน้อยขึ้นมาพิจารณา เธอจึงหันหน้ามากล่าวกับผมอย่างอารมณ์รื่นเต็มที่
"เถอะน่า....เขาเสียแรงไปเยอะ ไว้แต่งเนื้อแต่งตัวแล้วค่อยปลุกก็ได้....รับรองว่าผู้ชายอย่างนี้ไม่ลุกขึ้นมาขอรอบสี่รอบห้าแน่ค่ะ"
เธอลงท้ายน้ำคำด้วยเสียงสุภาพเกินกว่าเหตุ
"ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ แล้วนี่ยังคิดจะออกไปข้างนอกอีกหรือ หรือว่ายังไม่อิ่ม"
"ฮื่อ" เธอส่งเสียงจากลำคอเพราะเริ่มป้ายๆ ครีมสีเข้มกว่าเมื่อครู่ตรงหน้ากกหู สันกรามและข้างจมูก
"ต้องเต็มที่ขนาดนี้เลย?" ผมถามด้วยความประชดประชันเล็กน้อย
เมื่อเกลี่ยครีมนั้นตามตำแหน่งต่างๆ จนโครงหน้างามชัดขึ้นอีกโข เธอก็ตอบเป็นคำพูดอีกคราว
"นี่มันเพิ่งจะห้าทุ่มกว่า ๆ ราตรีนี้ยังอีกยาวไกลนัก อย่ามาทำเป็นอาลัยอาวรณ์มันหน่อยเลยน่า รู้ก็รู้ว่าผู้ชายมันเป็นยังไง...."
"ก็รู้น่ะสิ ถึงบอกว่าอย่างเขาน่ะหายาก ทำไมไม่คิดจะเก็บเค้าไว้ก่อนล่ะ อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะเบื่อเราไปเอง"
ผมชักอึดอัด ที่เธอเดาใจได้ตรงเผง แต่ก็ไม่ได้ให้ความเห็นใดๆ อีกนอกจากยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ส่งสายตาหมั่นไส้ผมเสียเหลือเกิน
"ขอโทษครับพี่ โต๊ะไม่ว่างเลย ผมขอนั่งตรงนี้ด้วยคนนะครับ"
นี่เป็นคำแรกที่เจ้าหนุ่มที่นอนกรนครืดๆ อยู่นั่นกล่าวทักทายเชิงขออนุญาต
เธอตวัดสายตามองปราดไปรอบร้าน จริงอยู่แม้ไม่มีโต๊ะใดว่าง แต่ส่วนใหญ่ก็นั่งคนเดียวกันทั้งนั้น
"เชิญตามสบายครับถ้าไม่รังเกียจ" ผมต้องชิงเป็นฝ่ายเชิญเสียเอง ก่อนที่เธอจะส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มยั่วยวนชวนเชิญอย่างไร้จริตกิริยากุลสตรี
"มันไม่รังเกียจอยู่แล้วหละไม่อย่างนั้นจะตรงมาขอนั่งด้วยทำซากอะไร" เธอคงคิด
เธอก้มลงค้อนให้กับกระดุมเม็ดหนึ่งบนหน้ากางเกงของหนุ่มน้อย ซึ่งก็เหมือนเขาจะรู้ทัน จึงทำทีลังเลว่าจะนั่งดีหรือไม่ จนนานพอให้ทั้งคู่ขึ้นมาสบสายตากันอีกครั้งนั่นแล้ว จึงนั่งลงพร้อมเกลี่ยระบายยิ้มใสเต็มใบหน้า
"พี่คงไม่อึดอัดหรือรำคาญผมนะครับ"
สายตาเจ้าชู้ส่งมาพร้อมกับถ้อยคำแสดงความเกรงใจ
"วุ้ย...อุ๊บ.." ผมรีบตะปบปิดปากเธอไว้ได้ทัน จนตั้งสติได้ เมื่อลดมือลง จึงตอบกลับไปอย่างสุดสุภาพเปี่ยมไมตรีอีกรอบ
"ไม่เป็นไรครับ นั่งเงียบ ๆ มีเพื่อนคุยสักคนคงจะดีขึ้น"
รอยยิ้มกระจ่างเห็นฟันขาวเรียบเรียบหลังริมฝีปากสีสดได้รูปชวนหลง แต่สายตาของเธอกลับไล่เรื่อยผ่านสร้อยคอทองคำเส้นน้อย มาจับกับไรขนอ่อนสีจางบนแผงอก ซึ่งขึ้นสันแกร่งงามเกินวัย อันเจ้าตัวปลดดุมลงมาคล้ายจงใจแสดงความหนั่นแน่นนั้นอย่างเปิดเผย
"น้องเล่นเพาะกายด้วยหรือ?"
แล้วเธอก็อดใจไว้ไม่ได้ โพล่งถามออกไปอย่างไม่เกรงใจความแปลกหน้าของกันและกัน
"มือสมัครเล่นน่ะครับ เพื่อสุขภาพเพื่อความอึด"
?นี่เขาตั้งใจจะสื่อความหมายใดกันแน่หนอ?
"ที่สีลมซิตี้หรือที่ไหนครับ" ผมถามอย่างใส่ใจ เพราะก็สนใจสถานเพาะกายเหล่านี้อยู่ด้วยเหมือนกัน
"ผมไม่มีปัญญาไปเสียตังค์แพง ๆ หรอกครับ ผมเล่นอยู่ในสวนลุมฯน่ะครับ"
"อ้อ..เห็นว่ามีคนหน้าตาดีๆ อย่างน้องเยอะเหมือนกันนี่ครับ"
ผมหยอดคำ เพราะไม่รู้จะไปตั้งข้อสังเกตอื่นให้หมองใจกันไปทำไม
"อย่างผมน่ะหรือครับหน้าตาดี...พี่อย่ามาล้อผมเล่นน่า หน้าตาดีมาดแมนอย่างพี่จะชมคนง่ายๆ อย่างนี้หรือครับ"
จะว่าไปนอกจากโครงหน้าคมสัน คิ้วดกสวยตาหวานสุดซึ้ง ขนตาเป็นแพ จมูกโด่งเชิดเล็กน้อยแต่ได้รูปงาม เรียวปากอิ่มสดมีไรขนอ่อนบางระบายอยู่ในที่ควร จนพระเอกละครวัยรุ่นบางคนยังอายแล้ว จากลำคอหนาซึ่งเส้นกล้ามเนื้อไล่ไหล่ลาดจนถึงกล้ามแขนกำยำ ก็แสดงความแกร่งของกายท่อนบนได้อย่างครบบริบูรณ์ ด้วยเสื้อเชิ้ตเข้ารูปซ่อนสาบหน้าตามสมัยนิยม
ด้วยรูปสมบัติดังกล่าวนี่กระมังที่ทำให้เธอยินยอมให้เขาเข้ามาถึงบ้าน หลังจากการสนทนาตามนัยแห่งการสัมพันธ์รักชั่วคราวดำเนินมาถึงบทสรุป
"หากน้องชายรักการอ่านหนังสือ ห้องหนังสือส่วนตัวของพี่ก็ยินดีต้อนรับนับแต่นาทีนี้เลยเชียว"
เจ้าหนุ่มจึงฉายแววตาคะนองใจจนเธอถึงกับต้องลอบกลืนน้ำลายหลายครั้งขณะนั่งรถมาด้วยกัน
ผมขับรถกลับบ้านด้วยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก เพราะเธอแทรกสะกิดเตือนตลอดทุกขณะที่ลอบชำเลืองระหว่างของขากางเกงยีนส์สีเข้ม อันขับเน้นทุกส่วนสดให้ตึงเปรี๊ยะแทบปริ
เธอร่ำๆ จะเอื้อมไปลูบไล้ต้นขาใหญ่งามอยู่หลายคราว ขณะที่หนุ่มน้อยก็ช่างเป็นคนเปิดเผยเสียเหลือเกิน เปิดเผยไปหมดทั้งคำพูดและกิริยาอาการ
ที่บ้าน เราผ่านห้องหนังสือขึ้นมาสู่ห้องนอนทันที แล้วเธอก็ผลักไสผมออกมาอยู่ที่นอกวิมานดงงิ้ว
"ชื่อแวน? แปลกดีนะ หมายถึงรถทรงตันๆ ยาวๆ ใช่ไหม"
"พี่ก็ลองสัมผัสดูสิครับ"
นี่คือคำถามและคำตอบของฉันกับเขา ก่อนที่พ่อหนุ่มทรงงามจะปลดดุมกางเกงลงเพียงสองเม็ดแล้วส่งสายตามา คงหมายให้ฉันใช้ริมฝีปากปลดดุนเม็ดดุมที่เหลือ
"พี่ครับ...พี่ครับ พี่มีแฟนหรือยัง" เสียงนั้นกระเส่าแตกพร่า
"ใครจะมาเอาพี่ทำแฟน พี่น่ะใจร้ายจะตายไป" ฉันละการละเลงลิ้นขึ้นมาตอบ
"ผมไม่เห็นว่าพี่จะใจร้ายตรงไหน ทุกอย่างที่เป็นพี่คือทุกสิ่งที่ผมมองหามาตลอดชีวิต"
"อย่ามาน้ำเน่ากับพี่หน่อยเลยแวน...เธอน่ะยังผ่านชีวิตมาน้อยนัก พี่เห็นมานักต่อนัก ที่ครั้งแรกมันรักกันนักรักกันหา แต่พอเริ่มคุ้นกลิ่นชินท่ากันแล้ว มันก็ไปหากลิ่นใหม่ๆ มาดมกันทั้งนั้น"
"พี่ไม่เชื่อหรือครับ ว่าผมรักพี่จริงๆ" คราวนี้หนุ่มน้อยถึงกับจิกหัวฉันขึ้นมาถาม
"ไม่รู้ ไม่ชี้" ฉันสะบัดหน้าหนีจมูกของเขา ใส่จริตนางร้ายอย่างเต็มที่ สมมุติเป็นตอนที่พระเอกหน้าตี๋หุ่นงามหลงติดบ่วงเสน่ห์ชนิดโงหัวไม่ขึ้นนั่นแล้ว
สองแขนที่กระหวัดรัดจนฉันแทบหายใจไม่ออก ไม่ได้ทำให้ห้วงหายใจของฉันติดขัดเท่ากับการซุกไซ้ไปทั่วทุกซอกมุมด้วยเรียวลิ้นละมุน...แล้วเพลงรักก็เริ่มบรรเลงอีกคราวอย่างเผ็ดร้อนรุนแรงสะสาแก่หัวใจเราทั้งคู่....แล้วมันก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง....ก่อนพ่อรถตู้ผู้มีเรี่ยวแรงดั่งรถพ่วงสิบแปดล้อจะกรนสนั่นอยู่ขณะนี้
"คิดดูให้ดีนะ ท่าทางเขาจะรักเธอจริง ๆ "
ผมยังฝืนถาม ทั้งที่บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าจะมานั่งเซ้าซี้อยู่ทำไม
"ตรงไหนที่เขาว่ารัก...มีตรงไหนสักคำ...อ้อ..ถ้าหมายถึงตอนที่เขาครวญคราง...ที่รัก..ที่รัก..ผมรักคุณเหลือเกิน..นั่นน่ะ...เลิกคิดไปได้เลยว่ามันจะมาจากใจ นั่นมันแค่แรงดันของอารมณ์ที่กำลังจะระเบิดเท่านั้น"
เธอพูดอย่างกับว่าเข้าใจชะตาชีวิตของตนเต็มที่
"ก็ถ้าเราไม่คิดจะเปิดใจรับ จะลองรักกับการที่ใครสักคนเสนอให้มาแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่ารักที่ช่วยกันสานมันจะจีรังยั่งยืนไปได้ขนาดไหน"
ผมพยายามทำอารมณ์ให้ปกติ ไม่ได้เจือน้ำเสียงขุ่นมัวสักนิด แต่เธอก็ยังกระแทกแท่งปัดขนตาลงดังกึก
"ก็ในเมื่อรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าจุดจบมันจะเป็นยังไง แล้วจะมานั่งสานอะไรต่อมิอะไรให้มันลึกซึ้งผูกพันกันให้เสียเวลาทำไม...ความผูกพันมันเป็นโซ่ล่ามให้ความรักผูกติดกับความทรมาน..ก็รู้อยู่ไม่ใช่หรือ"
"คนขี้ขลาดเท่านั่นที่จะกลัวความทรมานจากการได้รู้จักรัก การทรมานกับการได้รักใครสักคนมันน่าจะดีกว่าทรมานกับความเปลี่ยวเหงาหรอกน่า"
นานๆ ครั้งหรอกที่เราจะได้พูดถึงเรื่องราวของความรัก เพราะนานทีกว่าจะมีผู้ชายอย่างที่นอนอยู่นี้ผ่านเข้ามาในชีวิต ทั้งยังผ่านเข้ามาเองโดยมิได้ต้องไล่ตะครุบเสียด้วย
"แน่ใจหรือว่าพอเขาตื่นมาแล้วจะไม่ปั้นเรื่องขอให้ช่วยเจียดเงินจุนเจือเขาบ้าง"
เธอย้อนถามผมอย่างคนกร้านโลกจริงแท้ จนกระแสเย็นชาซ่านออกมาจนผมรู้สึกได้
"ไม่หรอกน่า...ถึงใช่มันจะเป็นไรไป..เธอก็ได้จากเขาจนคุ้ม" ผมให้ความมั่นใจทั้งที่ไม่ค่อยแน่ใจ
"ดูรูปร่างหน้าตาท่าทางเขาไม่ใช่พวกเด็กแถวนั้นที่....มันอาจจะเป็นรักแรกพบสำหรับเขาก็ได้ เด็กหนุ่มสมัยนี้เขากล้าหาญชาญชัยกว่ารุ่นเราเยอะ....เขาไม่สนใจหรอกว่าจะรักใคร แค่รู้สึกตัวว่ามีความรัก แค่นั้นก็เกินพอกับการเปิดเผยความในใจให้กับคนที่หมายตาได้รับรู้"
"ค้า????....พ่อมหาเวสันดร บริจาคได้กระทั่งชีวิตจิตใจและความรัก...แล้วยังไงล่ะคะ เคยเจอใครที่มันมารักเป็นจริงเป็นจังกับเขาบ้างหรือยังล่ะ"
เธอใส่เสียงแหลมสูง พร้อมค้อนปะหลับปะเหลือก ดูท่าจะรำคาญผมจนอยากจะลุกหนีไปเสียให้พ้นๆ ติดอยู่ที่ยังแต่งสีเปลือกตาให้ดูไล่รับแสงเน้นความเด่นให้หวานหวามหว่านเสน่ห์ได้อย่างแลเป็นธรรมชาติที่สุดไม่เสร็จ
"เธอก็รู้ว่าเคยเจอมากี่คน ก็ล้วนรักจริงหวังแต่งอยากจะร่วมหอลงโรง อยู่กันจนแก่จนเฒ่า แล้วสุดท้ายใครล่ะคะที่ทำให้แต่ละครั้งมันพังไม่เป็นท่า"
ผมจำต้องสะกิดให้เธอฉุกคิดถึงความประพฤติของตนเสียบ้าง
"อย่ามาโยนขี้ใส่ฉันนะยะ....มันก็คือกันนั่นแหละน่า ก็ลองให้ฉันออกโรงเองตั้งแต่แรกสิ ให้เขารู้ว่าชีวิตจิตใจฉันเป็นยังไงซะตั้งแต่คำแรกที่ได้พูดกัน มีหรือที่มันจะมาอ้างว่ารับไม่ได้ รับไม่ได้ แล้วก็หลบหัวหลุบหางไปน่ะ...หึหึหึ"
อีกครั้งที่เธอลงเสียงหัวเราะในลำคออย่างเป็นต่อ จนผมกระดากอายที่จะพูดอะไรออกมาได้อีก
"ชีวิตเรามันก็มีแค่นี้ไม่ใช่หรือ ถ้าหารักที่แท้ไม่ได้...หากมันจะโผล่มาชั่วครั้งชั่วคราว เราก็ต้องเต็มใจอ้าแขนรับมันไว้ แต่ต้องอย่าลืมว่าอย่าไปถลำลึกจนคายไม่ออก"
"ก็ใครจะรู้ว่าครั้งไหนมันลึก ครั้งไหนมันไม่ลึก มันไม่ได้แก้ผ้ามาให้เห็นจะจะนี่นา" ผมตอบเรียบเรื่อยไปบ้าง
"นี่ชั้นรมณ์เสียนะยะ...พร่ำๆ มาตั้งนาน อย่ามาทำตลก อย่า อย่า อย่า ขอร้อง"
"ก็เธอจะไม่เอาเขาแน่แล้ว...จะมารมณ์เสียงทำไม้" ผมจึงเสแสร้งตัดความเสียดายเสียได้
ครั้งนี้เธอจ้องหน้าผมเขม็ง ปากสั่นระริกคล้ายกับยับยั้งคำก่นด่าไว้เต็มกลั้น ลิปกลอสในมือชะงักค้าง แล้ววางลงอย่างถอดใจจะแต่งเติมต่อไป
"งั้นชั้นยกให้เลยเอาไหมล่ะ" เธอส่งค้อนคมมาพร้อมกันนั้น "ถ้าคิดว่าจะตั้งท่ารับรักเค้าได้ก็รับไปเลยสิ"
"พูดเป็นเล่นไปได้ เราก็รู้กันอยู่เดี๋ยวนี้แล้วว่าเค้าชอบทางไหน" ผมอ้อมแอ้มบ่ายเบี่ยง "ตอนเค้าเข้ามาขอนั่งด้วยนั่น เค้าส่งสายตามาอย่างหนุ่มคะนองเต็มที่ เธอก็เห็นแล้ว และเขาก็เป็นอย่างที่เราคาดกันไว้ เธอก็อิ่มจนล้น จนแทบจะอ้วกอยู่แล้วน่ะนะ"
เธอฟาดโต๊ะปังใหญ่ ลุกขึ้นทั้งอย่างนั้นจนเก้าอี้ล้มดังโครม ไม่เกรงว่าคู่รักชั่วคราวจะตกตื่นขึ้นมาอีกต่อไป ผมทะลึ่งพรวดตามขึ้นไป พยายามขืนแข็งแข้งขาไว้ รู้อยู่เต็มอกว่าเธอคงจะหันไปตะบปปลุกพ่อหนุ่มรูปงามเสียเดี๋ยวนั้น
"ใจเย็นนะ ใจเย็นไว้ก่อน เรื่องอย่างนี้ ถ้าเราทำอะไรปุบปับลงไป เราอาจเสียใจไปนานเกินจำเป็น"
ผมปลอบอย่างทุกครั้งที่มีเหตุเช่นนี้ ซึ่งก็ได้ผล เธอนิ่งอั้นอยู่อึดใจ แล้วก็ค่อยจัดเก้าอี้ตั้งนั่งลงอีกครั้ง
"แล้วนี่ตกลงว่าเราจะเอายังไงกับเค้า?"
เราขยับริมฝีปากขึ้นพร้อมกัน
"ขอเบอร์ไว้สิ...หรือ...ให้เบอร์เราก็ได้"
อีกครั้งที่เห็นพ้อง
"ใครจะขอเบอร์ใครเหรอครับ" เจ้าหนุ่มงัวเงียไต่ร่างเปลือยมายังเรา "หอมจังเลย" เขาสูดลมเต็มซื้ดที่ซอกคอของเธอ ขณะที่ฝ่ายโดนซุก กำลังฉีดละอองโอเปี้ยมที่ข้อพับแขน และข้อมือทั้งสอง
เธอยังนิ่งไม่ตอบคำ ผมจึงพลอยเฉยไปด้วยได้แต่ปรือตามองท่าทางเอียงคอเผยอซอกให้คนรักชั่วคืนได้ซุกสูดกลิ่นได้เต็มเนื้อที่
"พี่เตรียมตัวจะออกไปไหนหรือครับ" ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาใช้จังหวะหายใจช่วงไหนถามคำถามนี้
"ก็...ใกล้ๆ ตรงที่เราเจอกันนั่นแหละ" ผมตอบเสียงขรึมเรียกสติกลับมาได้อย่างยากเย็น
"ผมชอบพี่แบบทีเจอกันเมื่อเย็นมากกว่า....ถึงแม้ว่าตอนนี้พี่จะหล่อขึ้นอีกสิบเท่าก็เหอะ"
เราแน่ใจว่าหนุ่มน้อยกำลังใส่ลูกยอ ด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง
"ไปด้วยกันไหมเล่า....บ้านอยู่ใกล้ๆ แถวนั้นนี่นา"
"แต่ผมไม่มีเสื้อผ้าเหมาะๆ"
"ใส่ของพี่ไปก่อนก็ได้...ถ้าเธอคิดจะกลับมาค้างด้วยกัน"
"ก็ได้ครับ.......เอ่อ......พี่มีรองพื้นเบอร์ 3 ไหมครับ"
"มีสิ....มีครบ...แต่พี่ว่าเธอควรใช้แค่เบอร์ 2 จะได้ไม่หลอกตา.....แล้วค่อยใช้เบอร์ 3 เป็นไฮไลท์....ตามสบายนะ"
ผมหันหน้าออกจากหน้ากระจก ด้วยใบหน้าที่แต่งเติมได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ยื่นตลับครีมรองพื้นให้เขา แล้วหลีกทางให้ร่างเปล่าเข้ามานั่งแทนที่ด้วยทีท่าทะมัดทแมง
"จะรีบไปไย ในเมื่ออาจจะต้องเสียแรงกับเขาจนถึงเช้า..หรืออาจจะถึงบ่าย...ไม่แน่รอบนี้เขาอาจเป็นฝ่ายนั่งข้างบนก็ได้...."
เธอแทรกกระซิบขึ้นกลางใจ ก่อนจะหันไปประทับรอยจุมพิตที่ท้ายทอยของเขาราวกับว่ารักเสียเต็มประดา.....................
....................................
แก้ไขเมื่อ 19 ธ.ค. 51 13:10:39
จากคุณ :
SONG982
- [
19 ธ.ค. 51 13:09:44
]