Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    เดินทางกับหนูมินท์ ๓

    ถนนที่ผู้ไปทางเดียวกันสื่อสารกันทางจิตได้

    จำไม่ได้แล้วล่ะว่าตอนที่ผมกับหนูมินท์เริ่มออกเดินทางด้วยกัน เราตั้งใจจะไปที่ไหน
    ตอนแรกเราอาจจะมีเป้าหมายไปที่ใดที่หนึ่งนี่แหละ แต่พอออกเดินทางได้ซักพัก
    เป้าหมายของเราก็เริ่มเลือนลางไปเรื่อยๆตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น จนในที่สุด เป้าหมายก็
    หายไปพร้อมกับจุดเริ่มต้น แต่ช่างมันเถอะ ถึงผมจะไม่รู้จุดหมายว่าจะไปที่ไหน ผมก็
    พอใจที่จะเดินทางกับหนูมินท์แบบนี้ไปเรื่อยๆ

    หนูมินท์เป็นรถไดฮัทสุ รุ่น มิร่า ตัวเล็กบอบบาง ดังนั้นหนูมินท์จึงไม่ค่อยมีแรงมากมาย
    เท่าไร ความเร็วสูงสุดที่เคยทำได้ก็อยู่ที่ 110 กิโลเมตร/ชม. แต่เราก็ไม่ชอบที่จะวิ่งเร็ว
    ถึงขนาดนั้น เพราะถ้าวิ่งเร็วเกินไปจะทำให้เราดูสิ่งที่อยู่ข้างทางไม่ทัน พวกเราก็เลยพา
    กันวิ่งที่ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชม. แทน



    "ทำไมรถเลนโน้นเยอะจัง ?"
    ผมถามหนูมินท์ แต่หนูมินท์ก็เงียบไม่ตอบ สงสัยว่าเธอคงใช้สมาธิกับการเดินทางอยู่
    ผมก็เลยได้แต่มองสายขบวนรถที่แล่นต่อกันอย่างยาวเหยียดอย่างเงียบๆ ต่อไป

    ถนนที่เรากำลังเดินทางอยู่นี้เป็นถนนสองเลนที่แคบมาก ๆ แคบจนขนาดที่ทำให้กระจก
    มองข้างของรถใหญ่ ๆ อย่างพวกรถบัสหรือรถบรรทุกแทบจะเกี่ยวกัน ระยะห่างระหว่าง
    รถทั้งสองเลนน้อยมาก ๆ น่าหวาดเสียวจริงๆ

    แต่ถึงถนนจะแคบจนน่าหวาดเสียวแค่ไหน รถที่วิ่งสวนมาก็ไม่ได้ลดความเร็วลงเลย
    ทุกคันต่างเร่งเครื่องเพื่อวิ่งให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่สงสัยว่ารถคันหน้าคงจะช้า
    กว่าเพื่อน รถทุกคันก็เลยขับไล่จี้ก้นติดๆ จนเป็นสายยาวแบบนี้

    จะรีบร้อนไปไหนกัน ?

    ผมละสายตาจากทิวรถยาวเหยียด เสไปมองข้างทางฝั่งของผมแทน พรมดอกไม้หลาก
    หลายสีสรรทอลาดยาวจนสุดสายตาปรากฎขึ้นตรงหน้า เส้นโค้งของแนวทิวเขาที่เขียว
    ครึ้มบรรจบกับท้องฟ้าสีฟ้าใสที่มีปุยเมฆก้อนสีขาวระบายไปทั่ว ราวกับภาพเขียนในฝัน
    อันบรรเจิดของจิตรกร

    สวยงามเกินกว่าจะบรรยาย

    พวกเราตัดสินใจลดความเร็วลงเพื่อให้เราได้ดื่มด่ำกับความงามของข้างทาง ผมรู้สึกได้
    ถึงกระแสของความสุข ความสบายใจแผ่ฟุ้งกระจายไปทั่ว ลองหันไปดูข้างทางของถนน
    อีกเลนดู ฝั่งทางนู้น เป็นชายหาดทรายขาวราวกับแก้ว น้ำทะเลสีเขียวมรกตเก็บกักแสง
    อาทิตย์ไว้จนเต็มก่อนจะเปล่งประกายระยิบระยับออกมา ฟองคลื่นสีขาวม้วนตัวขึ้นมา
    ทักทายกับชายฝั่ง เขียวน้ำทะเลตัดกับฟ้าสดใส ผมเหม่อมองอย่างเคลิบเคลิ้ม แต่ก็น่า
    เสียดายที่ไม่สามารถชมความงามของทิวทัศน์ของเลนนู้นได้เต็มอิ่มเพราะว่ารถคันโต
    มักจะแล่นมาบังอยู่เสมอ ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถนนเส้นนี้ก็ช่างงดงามเหลือเกิน

    "ถนนเส้นนี้สวยจังเลยเนอะ ว่าไม๊ ?"
    ผมถามหนูมินท์ เธอไม่ตอบ แต่เธอก็แสดงถึงความพึงพอใจด้วยการเดินทางที่ราบรื่น
    นุ่มนิ่ม ไร้การสั่นสะเทือนแทน

    เราเดินทางกันบนเลนอันโล่งไร้รถของเราอย่างเรื่อยเอื่อย ในขณะที่เลนตรงข้าม รถยนต์
    จำนวนมากยังแล่นต่อก้นกันจนเป็นสายยาวด้วยความเร็วสูงกันอยู่ ราวกับว่าความสวย
    งามของถนนเส้นนี้ไม่สามารถดึงดูดใจให้พวกเขาชะลอเพื่อชมความงามเลย พวกเขาคง
    จะต้องรีบกันมาก ๆ แน่ ถึงได้ขับรถเร็วกันแบบนี้ ผมรู้สึกเสียดายแทนพวกเขาจริง ๆ ที่
    ไม่ได้ดื่มด่ำกับความงามนี้

    เราอ้อยอิ่งบนถนนเส้นนี้ไปเรื่อย ๆ ผมรู้สงบใจยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก และยิ่งถ้าเลนนู้น
    ไม่มีรถวิ่งด้วยล่ะก็ คงได้ชมทัศนียภาพสองข้างทางเต็ม ๆ ตา แน่ ๆ ถนนเส้นนี้อาจจะ
    เป็นถนนบนสรวงสวรรค์ก็ได้ ถึงได้สวยงามขนาดนี้



    "รถคันข้างหน้าขับเร็ว ๆ หน่อย"
    ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงนั้น หันมองหาต้นเสียงรอบทั้งคันรถ ไม่เห็นมีใครเลย หูแว่วรึไง

    "ยังขับช้าอยู่อีก ข้างหน้าถนนก็โล่งจะตาย ขับให้เร็ว ๆ หน่อยสิ"
    เสียงเดิมดังขึ้นมาอีก ผมหันมองรอบตัวอีกครั้ง ไม่มีใครเลย สงสัยผีหลอกกลางวัน
    แสก ๆ แน่ ๆ เลย

    "เอ้า บอกให้ขับเร็ว ๆ ไม่รู้เรื่องรึไง คันข้างหลังเขาแซงไม่ได้ ก็ขับให้เร็ว ๆ ขึ้นหน่อย"
    ผมหันขวับไปทางท้ายรถทันที เห็นรถเก๋งคันหนึ่งขับตามก้นหนูมินท์มาติด ๆ ตั้งแต่เมื่อ
    ไรก็ไม่รู้ สงสัยคงเป็นเพราะมัวแต่ชมวิวข้างทางอยู่ก็เลยไม่ได้สังเกตเห็น หนูมินท์และผม
    เลยพากันเร่งความเร็วขึ้น

    "ชักช้าจริง ๆ แทนที่จะรีบไปให้พ้น ๆ ถนนเส้นนี้ มัวแต่อ้อยอิ่งอยู่ได้"
    เสียงบ่นจากรถคันข้างหลังดังขึ้นมาให้ได้ยินอีก

    ผมหลังไปมองข้างหลังอีกที แน่นอนว่ารอบตัวผมไม่มีคนอยู่ด้วยเลย แต่เนื้อหาและถ้อย
    คำที่สอดคล้องกันล้วนแต่เป็นเรื่องที่ต้องการให้ผมและหนูมินท์เพิ่มความเร็วขึ้นแบบนี้ แสดงว่า
    เสียงที่ได้ยินนี้ต้องเป็นเสียงของคนขับรถคันที่กำลังตามหลังผมอยู่ในตอนนี้

    แล้วทำไมผมได้ยินเสียงเขาล่ะ

    "ถนนเส้นนี้ คนอยู่เลนเดียวจะได้ยินความในใจกัน คนเขาก็เลยรีบ ๆ พากันขับให้พ้น ๆ
    ถนนเส้นนี้ไปยังไงล่ะ"
    เขาตอบผมกลับทันที ทั้ง ๆ ที่ผมแค่คิดสงสัยอยู่ในใจแท้ ๆ

    โอ้ มหัศจรรย์จริง ๆ ไม่ต้องพูดกันก็สามารถสื่อสารกันได้ แปลกดีจริง ๆ ถนนเส้นนี้
    ผมรู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก แบบนี้คนก็สามารถสื่อความรู้สึกในใจให้ได้รับรู้กันน่ะสิ

    "ดีบ้าอะไร เลิกฟุ้งซ่านได้แล้ว ขับให้มันเร็วกว่านี้ไม่ได้เหรอ ?"
    "ขอโทษครับ"
    ผมรีบเอ่ยปากขอโทษเขา โดยลืมไปว่าไม่ต้องพูดออกเสียงก็สามารถสื่อสารกันได้

    ผมกับหนูมินท์พากันวิ่งด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชม. ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อพวกเรา
    เท่าไรนักกับการวิ่งด้วยความเร็วขนาดนี้ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย แต่ถึงเราจะเร่ง
    ความเร็วเพิ่มขึ้นเท่าไร รถคันข้างหลังก็ยังจ่อติดตามเรามาอยู่ดี

    "เร็วสุดได้แค่นี้เรอะ ?"
    "ครับ นี่ก็เต็มที่แล้ว"
    "เหอะ ช้าจริง ๆ รถเล็กดันมาวิ่งถนนใหญ่ เกะกะเป็นบ้า"

    ผมสงบปากไม่พูดโต้ตอบเขา การที่พวกเราพากันวิ่งเร็วขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดี เราต้อง
    เพ่งสมาธิให้กับเส้นทางข้างมากกว่าเดิม ผมจึงตั้งใจขับรถ พยายามไม่สนใจสิ่งที่ได้ยิน



    "แอบ ๆ หน่อยไม่ได้เรอะ จะแซง"
    เขาพูดขึ้นหลังจากที่พากันเงียบมาพักหนึ่ง

    ผมและหนูมินท์เลยพยายามขับชิดไหล่ทางมากที่สุด แต่ด้วยความที่ถนนเส้นนี้แคบมาก
    พื้นที่จึงไม่พอให้รถอีกคันสามารถขับแทรกขึ้นมาได้

    "เวรเอ้ย รถเล็กแท้ ๆ แต่ดันโตคับถนน"
    อะไรของเขา สรุปแล้วหนูมินท์คันใหญ่หรือคันเล็กกันแน่

    "เฮ้ย ลามปาม เพื่อนเล่นรึไง"
    "ขอโทษครับ"
    ผมเผลอเอ่ยปากขอโทษเขาไปอีก

    "เฮ้อ เซ้งโว้ย ดันมาตามหลังรถจ่ายตลาด ขับช้าชิบ"
    ผมรู้สึกฉุนขึ้นมานิด ๆ หนูมินท์ไม่ใช่รถจ่ายตลาดซะหน่อย

    "อะไร ? มีปัญหารึไง หา ?"
    "หนูมินท์ไม่ใช่รถจ่ายตลาดซะหน่อย เป็นคู่หูของผมต่างหาก"
    "เฮอะ ไอ้รถประป๋องแบบนี้ เห็นคนแถวบ้านเอาไปตลาดบ่อย ๆ ไม่เรียกรถจ่ายตลาดแล้ว
    จะเรียกว่าอะไร เรียกหนูมินท์เรอะ เสร่อเป็นบ้า"

    เฮ้ออ.....
    ผมถอนหายใจ รู้สึกเบื่อที่ต้องมาเจอกับคนประเภทนี้

    "อะไร คนประเภทไหน หา ? ผมก็มีวุฒิภาวะนะโว้ย แต่คุณสิไม่รู้เรื่อง ไม่มีใครเขาเอารถ
    กระป๋องแบบนี้มาวิ่งบนถนนใหญ่หรอก ถนนนี้เขาวิ่งกันเร็ว ๆ ทั้งนั้นล่ะ เอารถช้ามาวิ่ง
    มันก็เกะกะขวางทาง รถมันถึงได้ติดกันยาว ไม่รู้เรื่องรู้ราว"
    "ผมว่าคุณใจร้อนเกินไปรึเปล่า ตอนนี้พวกเราก็เร่งจนถึง 100 กิโลเมตร/ชม. แล้ว มันก็
    ไม่ได้ช้าจนน่าเกลียด และอีกอย่างผมคิดว่า ถ้ารถถูกต้องตามกฎจราจร ก็น่าสามารถนำ
    มาแล่นได้ทุกถนน"
    "เฮ้ย อย่าคิดเองเออเองสิ ไม่มีใครเขาทำแบบนี้หรอก ชาวบ้านเขารู้กันหมดนั่นล่ะ แค่ไม่
    ได้เขียนเป็นกฎหมายเฉย ๆ อย่าหัวหมอ ขอร้อง"
    "แล้วเขาจะผลิตมาทำไม ถ้าวิ่งทางไกลแบบนี้ไม่ได้"
    "โง่แล้วยังอวดฉลาด เขาผลิตมาใช่แค่ในเมืองเท่านั้นเว้ย ไม่รู้เรื่อง"

    ผมสงบสติอารมณ์ ไม่น่าเสียเวลาไปต่อล้อต่อเถียงกับเขาเลย คิดในใจว่าไอ้หมอนี่
    เกรียนชิบเป๋ง

    "ว่าใครเกรียนวะ ? อยากเจอใช่ไหม ? หา ?"
    "ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ"
    ผมรีบเอ่ยคำขอโทษเขา ดันเสือกได้ยินอีก

    "เมิงว่าใครเสือก หา ? สาด เมิงนี่วอนจริง ๆ พูดด้วยดี ๆ แม่ม วอนตีนซะแล้ว ต้องการใช่
    ไหม ? ได้ เดี๋ยวกูจัดให้"
    "ชนตูดแม่ม เลยดีกว่า"

    ทันทีที่ผมได้ยินความคิดของเขา ผมรีบไขกระจกข้างลงจนสุด ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้เท้า
    ซ้ายเหยียบคันเร่ง ผมมุดลอดโผล่ครึ่งตัวออกมาข้างนอกหนูมินท์ ใช้มือซ้ายควบคุม
    พวงมาลัย มือขวากระชาก Glock ออกจากซองปืนข้างรักแร้ ก่อนเล็งไปยังรถคันที่กำลัง
    เร่งเครื่องเข้าใส่หนูมินท์ หวังจะชนท้ายอย่างเต็มที่

    เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง !
    เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง !

    Glock พ่นไฟออกมาพร้อมกับคำรามเสียงดัง กระสุน 9 มม. พารา 15+1 นัด พุ่งเข้าทะลวง
    ฝากระโปรงของรถคันนั้น เลือดสีขาวพวยพุ่งออกมาจากรูกระสุน ก่อนจะระเหยไปใน
    อากาศ

    ทันทีที่กระสุนหมด ผมรีบมุดกลับเข้ามาคืน ปลดแม็กกาซีนเปล่าออก หยิบอันใหม่ใส่เข้า
    ไป ขึ้นลำปืนไว้ ก่อนจะปรับกระจกหลังเพื่อดูรถคันนั้นให้ชัดเจน

    รถคันนั้นอยู่ห่างออกไปทุกที มันส่ายไปมาก่อนจะหยุดนิ่งสนิท สงสัยเจ้าของคงจะเบรค
    อย่างแรง ผ่านไปสักหน่อย ผมก็เห็นไฟเลี้ยวทั้งสองดวงของรถคันนั้นกระพริบแว้บ ๆ
    เขาคงจะเปิดไฟฉุกเฉินละมั้ง ดูท่าตัวคนคงจะไม่เป็นอะไร

    ผมเก็บ Glock คืนเข้าใส่ซองปืน ปรับกระจกหลังอีกหลัง ภาพรถคันนั้นเล็กจนแทบมอง
    ไม่เห็นแล้ว ผมลดความเร็วของหนูมินท์ลง

    ขอโทษนะ เจ้ารถคันนั้น ใจจริงก็ไม่ได้อยากทำอะไรรุนแรงแบบนี้เลย แต่ว่าเจ้าของแก
    คิดจะเอาแกมาชนท้ายหนูมินท์ ยอมไม่ได้จริง ๆ นะ ขอโทษด้วยล่ะ

    เราเดินทางกันต่อด้วยอย่างเรื่อยเอื่อย มีรถพ่วงคันหนึ่งแล่นนำหน้า ผมเลยรักษาระยะ
    ห่างจนพอสมควร ดูท่ารถพ่วงคันนั้นคงจะบรรทุกของมาหนักมากถึงได้แล่นช้า
    แม้ว่าคนขับจะเร่งเครื่องเต็มที่จนควันขโมงแล้วก็ตาม

    ผมเปิดวิทยุ ฮัมเพลงคลอตาม สายตากำซาบเอาความงดงามของสองข้างทาง พวกเรา
    กลับมาเดินทางอย่างอารมณ์ดีบนถนนที่แสนจะงดงามเส้นนี้อีกครั้ง

    งานเขียนนี้ได้แรงบันดาลในจาก "การเดินทางของคิโนะ" ของคุณ ชิกุซาวะ เคอิจิ

    แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 51 20:34:13

     
     

    จากคุณ : garnet19th - [ 19 ธ.ค. 51 19:07:44 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com