ถนนที่ผู้ไปทางเดียวกันสื่อสารกันทางจิตได้
จำไม่ได้แล้วล่ะว่าตอนที่ผมกับหนูมินท์เริ่มออกเดินทางด้วยกัน เราตั้งใจจะไปที่ไหน
ตอนแรกเราอาจจะมีเป้าหมายไปที่ใดที่หนึ่งนี่แหละ แต่พอออกเดินทางได้ซักพัก
เป้าหมายของเราก็เริ่มเลือนลางไปเรื่อยๆตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น จนในที่สุด เป้าหมายก็
หายไปพร้อมกับจุดเริ่มต้น แต่ช่างมันเถอะ ถึงผมจะไม่รู้จุดหมายว่าจะไปที่ไหน ผมก็
พอใจที่จะเดินทางกับหนูมินท์แบบนี้ไปเรื่อยๆ
หนูมินท์เป็นรถไดฮัทสุ รุ่น มิร่า ตัวเล็กบอบบาง ดังนั้นหนูมินท์จึงไม่ค่อยมีแรงมากมาย
เท่าไร ความเร็วสูงสุดที่เคยทำได้ก็อยู่ที่ 110 กิโลเมตร/ชม. แต่เราก็ไม่ชอบที่จะวิ่งเร็ว
ถึงขนาดนั้น เพราะถ้าวิ่งเร็วเกินไปจะทำให้เราดูสิ่งที่อยู่ข้างทางไม่ทัน พวกเราก็เลยพา
กันวิ่งที่ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชม. แทน
"ทำไมรถเลนโน้นเยอะจัง ?"
ผมถามหนูมินท์ แต่หนูมินท์ก็เงียบไม่ตอบ สงสัยว่าเธอคงใช้สมาธิกับการเดินทางอยู่
ผมก็เลยได้แต่มองสายขบวนรถที่แล่นต่อกันอย่างยาวเหยียดอย่างเงียบๆ ต่อไป
ถนนที่เรากำลังเดินทางอยู่นี้เป็นถนนสองเลนที่แคบมาก ๆ แคบจนขนาดที่ทำให้กระจก
มองข้างของรถใหญ่ ๆ อย่างพวกรถบัสหรือรถบรรทุกแทบจะเกี่ยวกัน ระยะห่างระหว่าง
รถทั้งสองเลนน้อยมาก ๆ น่าหวาดเสียวจริงๆ
แต่ถึงถนนจะแคบจนน่าหวาดเสียวแค่ไหน รถที่วิ่งสวนมาก็ไม่ได้ลดความเร็วลงเลย
ทุกคันต่างเร่งเครื่องเพื่อวิ่งให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่สงสัยว่ารถคันหน้าคงจะช้า
กว่าเพื่อน รถทุกคันก็เลยขับไล่จี้ก้นติดๆ จนเป็นสายยาวแบบนี้
จะรีบร้อนไปไหนกัน ?
ผมละสายตาจากทิวรถยาวเหยียด เสไปมองข้างทางฝั่งของผมแทน พรมดอกไม้หลาก
หลายสีสรรทอลาดยาวจนสุดสายตาปรากฎขึ้นตรงหน้า เส้นโค้งของแนวทิวเขาที่เขียว
ครึ้มบรรจบกับท้องฟ้าสีฟ้าใสที่มีปุยเมฆก้อนสีขาวระบายไปทั่ว ราวกับภาพเขียนในฝัน
อันบรรเจิดของจิตรกร
สวยงามเกินกว่าจะบรรยาย
พวกเราตัดสินใจลดความเร็วลงเพื่อให้เราได้ดื่มด่ำกับความงามของข้างทาง ผมรู้สึกได้
ถึงกระแสของความสุข ความสบายใจแผ่ฟุ้งกระจายไปทั่ว ลองหันไปดูข้างทางของถนน
อีกเลนดู ฝั่งทางนู้น เป็นชายหาดทรายขาวราวกับแก้ว น้ำทะเลสีเขียวมรกตเก็บกักแสง
อาทิตย์ไว้จนเต็มก่อนจะเปล่งประกายระยิบระยับออกมา ฟองคลื่นสีขาวม้วนตัวขึ้นมา
ทักทายกับชายฝั่ง เขียวน้ำทะเลตัดกับฟ้าสดใส ผมเหม่อมองอย่างเคลิบเคลิ้ม แต่ก็น่า
เสียดายที่ไม่สามารถชมความงามของทิวทัศน์ของเลนนู้นได้เต็มอิ่มเพราะว่ารถคันโต
มักจะแล่นมาบังอยู่เสมอ ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถนนเส้นนี้ก็ช่างงดงามเหลือเกิน
"ถนนเส้นนี้สวยจังเลยเนอะ ว่าไม๊ ?"
ผมถามหนูมินท์ เธอไม่ตอบ แต่เธอก็แสดงถึงความพึงพอใจด้วยการเดินทางที่ราบรื่น
นุ่มนิ่ม ไร้การสั่นสะเทือนแทน
เราเดินทางกันบนเลนอันโล่งไร้รถของเราอย่างเรื่อยเอื่อย ในขณะที่เลนตรงข้าม รถยนต์
จำนวนมากยังแล่นต่อก้นกันจนเป็นสายยาวด้วยความเร็วสูงกันอยู่ ราวกับว่าความสวย
งามของถนนเส้นนี้ไม่สามารถดึงดูดใจให้พวกเขาชะลอเพื่อชมความงามเลย พวกเขาคง
จะต้องรีบกันมาก ๆ แน่ ถึงได้ขับรถเร็วกันแบบนี้ ผมรู้สึกเสียดายแทนพวกเขาจริง ๆ ที่
ไม่ได้ดื่มด่ำกับความงามนี้
เราอ้อยอิ่งบนถนนเส้นนี้ไปเรื่อย ๆ ผมรู้สงบใจยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก และยิ่งถ้าเลนนู้น
ไม่มีรถวิ่งด้วยล่ะก็ คงได้ชมทัศนียภาพสองข้างทางเต็ม ๆ ตา แน่ ๆ ถนนเส้นนี้อาจจะ
เป็นถนนบนสรวงสวรรค์ก็ได้ ถึงได้สวยงามขนาดนี้
"รถคันข้างหน้าขับเร็ว ๆ หน่อย"
ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงนั้น หันมองหาต้นเสียงรอบทั้งคันรถ ไม่เห็นมีใครเลย หูแว่วรึไง
"ยังขับช้าอยู่อีก ข้างหน้าถนนก็โล่งจะตาย ขับให้เร็ว ๆ หน่อยสิ"
เสียงเดิมดังขึ้นมาอีก ผมหันมองรอบตัวอีกครั้ง ไม่มีใครเลย สงสัยผีหลอกกลางวัน
แสก ๆ แน่ ๆ เลย
"เอ้า บอกให้ขับเร็ว ๆ ไม่รู้เรื่องรึไง คันข้างหลังเขาแซงไม่ได้ ก็ขับให้เร็ว ๆ ขึ้นหน่อย"
ผมหันขวับไปทางท้ายรถทันที เห็นรถเก๋งคันหนึ่งขับตามก้นหนูมินท์มาติด ๆ ตั้งแต่เมื่อ
ไรก็ไม่รู้ สงสัยคงเป็นเพราะมัวแต่ชมวิวข้างทางอยู่ก็เลยไม่ได้สังเกตเห็น หนูมินท์และผม
เลยพากันเร่งความเร็วขึ้น
"ชักช้าจริง ๆ แทนที่จะรีบไปให้พ้น ๆ ถนนเส้นนี้ มัวแต่อ้อยอิ่งอยู่ได้"
เสียงบ่นจากรถคันข้างหลังดังขึ้นมาให้ได้ยินอีก
ผมหลังไปมองข้างหลังอีกที แน่นอนว่ารอบตัวผมไม่มีคนอยู่ด้วยเลย แต่เนื้อหาและถ้อย
คำที่สอดคล้องกันล้วนแต่เป็นเรื่องที่ต้องการให้ผมและหนูมินท์เพิ่มความเร็วขึ้นแบบนี้ แสดงว่า
เสียงที่ได้ยินนี้ต้องเป็นเสียงของคนขับรถคันที่กำลังตามหลังผมอยู่ในตอนนี้
แล้วทำไมผมได้ยินเสียงเขาล่ะ
"ถนนเส้นนี้ คนอยู่เลนเดียวจะได้ยินความในใจกัน คนเขาก็เลยรีบ ๆ พากันขับให้พ้น ๆ
ถนนเส้นนี้ไปยังไงล่ะ"
เขาตอบผมกลับทันที ทั้ง ๆ ที่ผมแค่คิดสงสัยอยู่ในใจแท้ ๆ
โอ้ มหัศจรรย์จริง ๆ ไม่ต้องพูดกันก็สามารถสื่อสารกันได้ แปลกดีจริง ๆ ถนนเส้นนี้
ผมรู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก แบบนี้คนก็สามารถสื่อความรู้สึกในใจให้ได้รับรู้กันน่ะสิ
"ดีบ้าอะไร เลิกฟุ้งซ่านได้แล้ว ขับให้มันเร็วกว่านี้ไม่ได้เหรอ ?"
"ขอโทษครับ"
ผมรีบเอ่ยปากขอโทษเขา โดยลืมไปว่าไม่ต้องพูดออกเสียงก็สามารถสื่อสารกันได้
ผมกับหนูมินท์พากันวิ่งด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชม. ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อพวกเรา
เท่าไรนักกับการวิ่งด้วยความเร็วขนาดนี้ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย แต่ถึงเราจะเร่ง
ความเร็วเพิ่มขึ้นเท่าไร รถคันข้างหลังก็ยังจ่อติดตามเรามาอยู่ดี
"เร็วสุดได้แค่นี้เรอะ ?"
"ครับ นี่ก็เต็มที่แล้ว"
"เหอะ ช้าจริง ๆ รถเล็กดันมาวิ่งถนนใหญ่ เกะกะเป็นบ้า"
ผมสงบปากไม่พูดโต้ตอบเขา การที่พวกเราพากันวิ่งเร็วขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดี เราต้อง
เพ่งสมาธิให้กับเส้นทางข้างมากกว่าเดิม ผมจึงตั้งใจขับรถ พยายามไม่สนใจสิ่งที่ได้ยิน
"แอบ ๆ หน่อยไม่ได้เรอะ จะแซง"
เขาพูดขึ้นหลังจากที่พากันเงียบมาพักหนึ่ง
ผมและหนูมินท์เลยพยายามขับชิดไหล่ทางมากที่สุด แต่ด้วยความที่ถนนเส้นนี้แคบมาก
พื้นที่จึงไม่พอให้รถอีกคันสามารถขับแทรกขึ้นมาได้
"เวรเอ้ย รถเล็กแท้ ๆ แต่ดันโตคับถนน"
อะไรของเขา สรุปแล้วหนูมินท์คันใหญ่หรือคันเล็กกันแน่
"เฮ้ย ลามปาม เพื่อนเล่นรึไง"
"ขอโทษครับ"
ผมเผลอเอ่ยปากขอโทษเขาไปอีก
"เฮ้อ เซ้งโว้ย ดันมาตามหลังรถจ่ายตลาด ขับช้าชิบ"
ผมรู้สึกฉุนขึ้นมานิด ๆ หนูมินท์ไม่ใช่รถจ่ายตลาดซะหน่อย
"อะไร ? มีปัญหารึไง หา ?"
"หนูมินท์ไม่ใช่รถจ่ายตลาดซะหน่อย เป็นคู่หูของผมต่างหาก"
"เฮอะ ไอ้รถประป๋องแบบนี้ เห็นคนแถวบ้านเอาไปตลาดบ่อย ๆ ไม่เรียกรถจ่ายตลาดแล้ว
จะเรียกว่าอะไร เรียกหนูมินท์เรอะ เสร่อเป็นบ้า"
เฮ้ออ.....
ผมถอนหายใจ รู้สึกเบื่อที่ต้องมาเจอกับคนประเภทนี้
"อะไร คนประเภทไหน หา ? ผมก็มีวุฒิภาวะนะโว้ย แต่คุณสิไม่รู้เรื่อง ไม่มีใครเขาเอารถ
กระป๋องแบบนี้มาวิ่งบนถนนใหญ่หรอก ถนนนี้เขาวิ่งกันเร็ว ๆ ทั้งนั้นล่ะ เอารถช้ามาวิ่ง
มันก็เกะกะขวางทาง รถมันถึงได้ติดกันยาว ไม่รู้เรื่องรู้ราว"
"ผมว่าคุณใจร้อนเกินไปรึเปล่า ตอนนี้พวกเราก็เร่งจนถึง 100 กิโลเมตร/ชม. แล้ว มันก็
ไม่ได้ช้าจนน่าเกลียด และอีกอย่างผมคิดว่า ถ้ารถถูกต้องตามกฎจราจร ก็น่าสามารถนำ
มาแล่นได้ทุกถนน"
"เฮ้ย อย่าคิดเองเออเองสิ ไม่มีใครเขาทำแบบนี้หรอก ชาวบ้านเขารู้กันหมดนั่นล่ะ แค่ไม่
ได้เขียนเป็นกฎหมายเฉย ๆ อย่าหัวหมอ ขอร้อง"
"แล้วเขาจะผลิตมาทำไม ถ้าวิ่งทางไกลแบบนี้ไม่ได้"
"โง่แล้วยังอวดฉลาด เขาผลิตมาใช่แค่ในเมืองเท่านั้นเว้ย ไม่รู้เรื่อง"
ผมสงบสติอารมณ์ ไม่น่าเสียเวลาไปต่อล้อต่อเถียงกับเขาเลย คิดในใจว่าไอ้หมอนี่
เกรียนชิบเป๋ง
"ว่าใครเกรียนวะ ? อยากเจอใช่ไหม ? หา ?"
"ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ"
ผมรีบเอ่ยคำขอโทษเขา ดันเสือกได้ยินอีก
"เมิงว่าใครเสือก หา ? สาด เมิงนี่วอนจริง ๆ พูดด้วยดี ๆ แม่ม วอนตีนซะแล้ว ต้องการใช่
ไหม ? ได้ เดี๋ยวกูจัดให้"
"ชนตูดแม่ม เลยดีกว่า"
ทันทีที่ผมได้ยินความคิดของเขา ผมรีบไขกระจกข้างลงจนสุด ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้เท้า
ซ้ายเหยียบคันเร่ง ผมมุดลอดโผล่ครึ่งตัวออกมาข้างนอกหนูมินท์ ใช้มือซ้ายควบคุม
พวงมาลัย มือขวากระชาก Glock ออกจากซองปืนข้างรักแร้ ก่อนเล็งไปยังรถคันที่กำลัง
เร่งเครื่องเข้าใส่หนูมินท์ หวังจะชนท้ายอย่างเต็มที่
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง !
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง !
Glock พ่นไฟออกมาพร้อมกับคำรามเสียงดัง กระสุน 9 มม. พารา 15+1 นัด พุ่งเข้าทะลวง
ฝากระโปรงของรถคันนั้น เลือดสีขาวพวยพุ่งออกมาจากรูกระสุน ก่อนจะระเหยไปใน
อากาศ
ทันทีที่กระสุนหมด ผมรีบมุดกลับเข้ามาคืน ปลดแม็กกาซีนเปล่าออก หยิบอันใหม่ใส่เข้า
ไป ขึ้นลำปืนไว้ ก่อนจะปรับกระจกหลังเพื่อดูรถคันนั้นให้ชัดเจน
รถคันนั้นอยู่ห่างออกไปทุกที มันส่ายไปมาก่อนจะหยุดนิ่งสนิท สงสัยเจ้าของคงจะเบรค
อย่างแรง ผ่านไปสักหน่อย ผมก็เห็นไฟเลี้ยวทั้งสองดวงของรถคันนั้นกระพริบแว้บ ๆ
เขาคงจะเปิดไฟฉุกเฉินละมั้ง ดูท่าตัวคนคงจะไม่เป็นอะไร
ผมเก็บ Glock คืนเข้าใส่ซองปืน ปรับกระจกหลังอีกหลัง ภาพรถคันนั้นเล็กจนแทบมอง
ไม่เห็นแล้ว ผมลดความเร็วของหนูมินท์ลง
ขอโทษนะ เจ้ารถคันนั้น ใจจริงก็ไม่ได้อยากทำอะไรรุนแรงแบบนี้เลย แต่ว่าเจ้าของแก
คิดจะเอาแกมาชนท้ายหนูมินท์ ยอมไม่ได้จริง ๆ นะ ขอโทษด้วยล่ะ
เราเดินทางกันต่อด้วยอย่างเรื่อยเอื่อย มีรถพ่วงคันหนึ่งแล่นนำหน้า ผมเลยรักษาระยะ
ห่างจนพอสมควร ดูท่ารถพ่วงคันนั้นคงจะบรรทุกของมาหนักมากถึงได้แล่นช้า
แม้ว่าคนขับจะเร่งเครื่องเต็มที่จนควันขโมงแล้วก็ตาม
ผมเปิดวิทยุ ฮัมเพลงคลอตาม สายตากำซาบเอาความงดงามของสองข้างทาง พวกเรา
กลับมาเดินทางอย่างอารมณ์ดีบนถนนที่แสนจะงดงามเส้นนี้อีกครั้ง
งานเขียนนี้ได้แรงบันดาลในจาก "การเดินทางของคิโนะ" ของคุณ ชิกุซาวะ เคอิจิ
แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 51 20:34:13