โลกต่างมิติ
...การรวมกันของแรงและมวลสารต้องอาศัยอวกาศสิบมิติและเวลาอีกหนึ่งมิติ นั่นหมายถึงกาลอวกาศสิบเอ็ดมิติ...
นั่นเป็นประโยคจากทฤษฏีเอ็มซึ่งเป็นทฤษฏีที่ได้รับการปรับปรุงจากทฤษฏีสตริงกล่าวไว้
...ไม่ได้แปลกใจกับกาลอวกาศสิบเอ็ดมิติ...ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้...แต่ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้นในหัวสมอง...
...ในเมื่อไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ก็แปลว่ามันอาจจะเป็นไปได้...
ผมข้ามประโยคดังกล่าวไปไม่ได้ใส่ใจอะไรเป็นพิเศษกับข้อความข้างต้น
ในเย็นวันนั้น ขณะที่กำลังสังสรรค์กับบรรดาเพื่อนๆ คำพูดหรือประโยคที่เคยผ่านหูผ่านตาจากที่ไหนสักแห่งจู่ๆ ก็ดังขึ้นในห้วงความคิด
...ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากสิ่งๆ เดียวกันทั้งสิ้น ไม่ว่าสิ่งๆ นั้นจะเป็นอะไรหรือมีรูปลักษณ์อย่างไร แต่นั่นก็ล้วนกำเนิดมาจากสิ่งๆ เดียวกัน...
ฉับพลันความคิดเรื่องกาลอวกาศสิบเอ็ดมิติก็ผุดขึ้นมาในหัวสมองอีกครั้ง หากแต่คราวนี้ผมเริ่มเชื่อมโยงความนึกคิดต่างๆ ของตนเองเข้าไว้ด้วยกัน
...ก็ในเมื่อทุกสิ่งล้วนมาจากสิ่งๆ เดียวกัน ถ้าอย่างนั้นบางทีข้อพิสูจน์ของอะไรอย่างหนึ่งก็อาจจะสามารถอธิบายอะไรอีกอย่างหนึ่งได้เช่นกัน...
ภาพโครงสร้างอะตอมในสมัยเรียนที่ประกอบด้วย นิวตรอน โปรตอน และอิเล็กตรอน ผุดขึ้นมาอย่างยากลำบากเต็มที
นิวตรอนและโปรตอนอยู่กึ่งกลางอะตอมโดยมีอิเล็กตรอนวิ่งอยู่ด้านนอกในแต่ละระดับชั้นพลังงาน
ระดับชั้นพลังงานที่ใกล้นิวเคลียสมากที่สุดคือ ระดับชั้นพลังงานที่หนึ่ง หรือแทนด้วยสัญลักษณ์ K ถัดไปเป็นชั้นพลังงานที่สอง สาม และต่อๆ ไป ซึ่งแทนด้วยสัญลักษณ์ L, M, N ไล่เรียงไปตามลำดับ
...เป็นไปได้หรือไม่ที่มิติเวลาจะเป็นเหมือนระดับชั้นพลังงานของอะตอม และสิ่งมีชีวิตในแต่ละมิตินั้นก็เปรียบเหมือนกับอิเล็กตรอนในแต่ละระดับชั้นพลังงาน...
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่าในมิติอื่นๆ ก็จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่เช่นเดียวกับโลกสามมิติที่เราๆ เป็นอยู่กันทุกวันนี้ เพียงแต่ไม่อาจพบกันได้เนื่องด้วยเงื่อนไขของระดับชั้นพลังงานหรือมิติที่แตกต่างกันนั่นเอง
...แล้วสิ่งมีชีวิตในมิติอื่นจะเป็นยังไงนะ...เป็นคำถามต่อมาที่เกิดขึ้นหลังจากที่เริ่มเอาเรื่องนั้นมาต่อกับเรื่องนี้
เป็นอีกครั้งที่เรื่องราวที่เคยผ่านตาเข้ามามีบทบาทในห้วงความคิด
หากเปรียบโลกสองมิติเหมือนหน้ากระดาษและรูปวาดที่ประกอบด้วยเส้นห้าเส้นและหัวกลมๆ เป็นคนแล้ว นั่นหมายถึงคนบนโลกสองมิติจะเคลื่อนที่ได้เพียงในแนวระนาบของหน้ากระดาษเท่านั้น
และถ้าหากมีคนนำปากกาวาดวงกลมล้อมรอบตัวคนบนหน้ากระดาษนั้น แน่นอนว่าเขาจะออกมาไม่ได้อีกเลย
แต่นั่นไม่ใช่สำหรับเราที่อยู่ในโลกสามมิติ สำหรับเราแล้ว เราจะพบว่าหากถูกล้อมกรอบแบบนั้นเราก็ยังสามารถปีนมันหรือแม้กระทั่งขุดดินออกมาได้
แสดงให้เห็นว่าโลกสามมิติมีมุมมองที่มากกว่าโลกสองมิติ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือยังมีบางสิ่งที่โลกสามมิติมองเห็นแต่โลกสองมิติมองไม่เห็น
...แล้วถ้าอย่างนั้นโลกที่เหนือกว่าสามมิติล่ะจะเป็นอย่างไร...จะเป็นไปได้รึเปล่านะที่ยิ่งมิติสูงขึ้นก็จะยิ่งมีมุมมองที่มากขึ้น...
...ยิ่งอยู่ในโลกที่มิติสูงขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งเห็นในสิ่งที่คนในโลกมิติที่สามมองไม่เห็นมากขึ้น...
...เราอาจมองเห็นโลกสองมิติ เราอาจจะจินตนาการถึงโลกสี่มิติหรือสิบเอ็ดมิติได้ แต่เราไม่อาจมองเห็นมันอย่างที่มันเป็นได้ เช่นเดียวกับที่คนในโลกสองมิติไม่อาจมองเห็นความเป็นจริงในแบบของโลกสามมิติ...
โลกมิติที่สี่อาจจะมองทะลุเนื้อหนังสิ่งมีชีวิตได้ ดังนั้นเนื้อหนังจึงอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่ต้องเห็นสำหรับโลกมิติที่สี่อีกต่อไป ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มี แต่อาจจะไม่ใช่รูปลักษณ์แบบที่คนในโลกมิติที่สามรู้จัก
...อาจจะเป็นเพียงอากาศหรือชั้นบางๆ โปร่งใสห่อหุ้มอยู่เท่านั้น...
โลกมิติที่ห้าอาจจะมองทะลุเส้นเลือด เห็นการไหลเวียนเลือด และเช่นนั้นเส้นเลือดก็ไม่จำเป็นต้องเห็นอีกต่อไป
โลกมิติที่เก้าอาจจะเห็นความเป็นไปของเวลา เมื่อนั้นเขาเหล่านั้นจะรับรู้ได้ถึงกระแสและความเป็นมาเป็นไปของห้วงเวลา
โลกมิติที่สิบอาจจะเห็นได้ถึงจิตใจของผู้อื่น เมื่อนั้นก็จะไม่มีการคิดดีคิดร้ายใดๆ เกิดขึ้นอีก
และโลกในมิติที่สิบเอ็ดเป็นโลกที่รู้เท่าทันทุกสิ่ง และเมื่อรู้เท่าทันทุกสิ่งก็จะหลุดพ้นจากทุกสรรพสิ่งด้วยเช่นกัน
รูปลักษณ์และความเป็นไปกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับที่นี่ เป็นโลกที่เวลาและสิ่งอื่นใดไม่อาจมีอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น
ที่แห่งนั้นจะมีแต่ความว่างเปล่าที่ทุกสิ่งหยุดนิ่ง ไม่เกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกต่อไป
...โลกแห่งการรู้แจ้งและหลุดพ้น...
...เอ...แล้วถ้าจะลองเอาเรื่องนี้มาอธิบายอะไรบางอย่างที่ชวนขนหัวลุกล่ะ...
เรื่องที่เมื่อคุณกำลังอยู่ที่ไหนสักแห่งแล้วจู่ๆ คุณก็พบว่ามีใครบางคนยืนอยู่ต่อหน้าคุณ แต่ชั่วอึดใจต่อจากนั้นเขาคนนั้นก็หายไปเสียเฉยๆ ราวกับที่ตรงนั้นไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
...ว่าแล้วผมก็ย้อนกลับไปที่โครงสร้างอะตอมอีกที...
ระดับชั้นพลังงานแต่ละระดับชั้นจะมีระดับชั้นพลังงานย่อยซึ่งใช้สัญลักษณ์ s, p, d และ f อยู่ในแต่ละระดับชั้นพลังงาน
เนื่องจากแรงดึงดูดของนิวเคลียสทำให้ระดับชั้นพลังงานที่อยู่ห่างออกไปมีระยะห่างแคบลงเมื่อเทียบกับระยะห่างของระดับชั้นพลังงานก่อนตัวของมันเอง
และยิ่งระดับชั้นพลังงานห่างออกไปเท่าใด ระดับชั้นพลังงานย่อยก็จะยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น
นั่นเองที่ทำให้ตั้งแต่ระดับชั้นพลังงานที่สามเป็นต้นไปเริ่มเกิดการเหลื่อมล้ำกันของระดับพลังงานย่อยในแต่ละระดับชั้นพลังงาน
เมื่อใส่พลังงานที่พอเหมาะลงไปเราก็จะพบว่าอิเล็กตรอนสามารถกระโดดจากระดับชั้นพลังงานหนึ่งไปอีกระดับชั้นพลังงานหนึ่งได้
...แล้วถ้าเกิดมีระดับพลังงานที่พอเหมาะเกิดขึ้นในโลกใดโลกหนึ่งที่มีระดับพลังงานสูงขึ้นไปกว่าโลกสามมิติที่มีการเหลื่อมล้ำของระดับพลังงานย่อยกันอยู่ล่ะ...
เป็นไปได้หรือไม่ที่จะทำให้จู่ๆ คนๆ หนึ่งก็จะโผล่ขึ้นมาตรงหน้าก่อนที่สมดุลจะทำให้มันกลับเป็นอย่างเดิม และกว่าเราจะตั้งสติได้ก็พบว่าเขาได้หายไปจากตรงนั้นเสียแล้ว
...สิ่งที่เราเห็นและกลัวอาจจะเป็นคนละอย่างกับสิ่งที่เราคิด...
หลังจากผสมเรื่องราวต่างๆ ไปมาทำให้ผมอดคิดต่อไปไม่ได้ว่า ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้สินะที่เราจะสามารถไปยังโลกมิติอื่นๆ แต่นั่นก็คงจะไม่ใช่ด้วยการเดินทางเหมือนอย่างที่เราๆ ทำกันอยู่ในชีวิตประจำวันทุกวันนี้
...บางที...การฝึกจิตเพื่อเพิ่มระดับจิตใจและระดับพลังงานจากภายในอาจจะเป็นคำตอบก็เป็นได้...
จากคุณ :
KTH
- [
19 ธ.ค. 51 20:22:41
A:61.91.160.15 X: TicketID:187608
]