Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    เรื่องเล่าของพระพุทธเจ้า สสบัณฑิต ผู้สละชีวิตเป็นทาน

    .      
             เรื่องเล่าของพระพุทธเจ้า เป็นการนำชาดก(เรื่องราวในอดีตชาติของพระพุทธเจ้า) ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก มาเรียบเรียงและปรับปรุงสำนวนบางส่วน เพื่อให้อ่านง่ายขึ้นเหมาะกับกลุ่มผู้อ่านทั่วไป ตอนนี้ผมก็ได้เรียบเรียงไว้หลายเรื่องแต่คิดว่าเรื่องนี้สมบูรณ์ที่สุด ณ ตอนนี้ เลยอยากให้ท่านทั้งหลายที่ได้อ่านช่วยแนะนำติชม ด้วยครับ เพื่อนำไปเป็นข้อปรับปรุงงานให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น (ไม่รู้ตั้งผิดห้องรึเปล่าเพราะเป็นงานเรียบเรียง ไม่ใช่งานเขียน)
     
                                                        สสบัณฑิต
                                                   ผู้สละชีวิตเป็นทาน

             พระศาสดา ครั้งเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ได้ทรงปรารภถึงการถวายบริขารทุกอย่าง  ของพ่อค้าผู้หนึ่งในนครสาวัตถี ที่ได้ตระเตรียมการถวายบริขารทุกอย่างแก่ภิกษุสงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พ่อค้าชาวสาวัตถีผู้นี้ ได้สร้างมณฑปที่ประตูเรือนนั้น แล้วนิมนต์ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ให้นั่งบนบวรอาสน์ในมณฑปที่ได้จัดแจงไว้ดีแล้ว แล้วถวายทานอันประณีตมีรสเลิศต่างๆ แล้วนิมนต์ฉันอีกตลอด ๗ วัน  ในวันที่ ๗ นั้นได้ถวายบริขารทั้งปวงแก่ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ๕๐๐ รูป

             ในเวลาเสร็จภัตกิจ พระศาสดา เมื่อจะทรงกระทำอนุโมทนา จึงตรัสว่า
       
             “ดูก่อนอุบาสก ควรที่ท่านจะกระทำปิติโสมนัส ก็ว่า ทานนี้ ได้ชื่อว่าเป็นวงศ์แห่งโบราณบัณฑิตทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติกันมา ในกาลก่อนนั้นบัณฑิตได้บริจาคชีวิตเป็นทานแก่เหล่ายาจกผู้ยากจกผู้มาถึงเฉพาะหน้า แม้ชีวิตของตนก็ได้ให้แล้ว”

             เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสดังนี้ ยังความปิติโสมนัสให้เกิดขึ้นแก่อุบาสกผู้นั้น ได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเล่าเรื่องบัณฑิตผู้นั้น พระพุทธเจ้าอันอุบาสกอาราธนาแล้วจึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังนี้

             ในอดีตกาล ครั้นประเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดกระต่ายอยู่ในป่า ก็ป่านั้นได้มีเชิงเขา แม่น้ำ และปัจจันตคาม มารวมกัน ณ ที่แห่งเดียว

             สัตว์ผู้เป็นสหายกัน  คือ ลิง สุนัขจิ้งจอก และนากได้เป็นสหายของกระต่ายนั้น สัตว์ทั้ง ๔ นั้นหากินอยู่รวมกัน เที่ยวหาอาหารในที่โคจรของตน แล้วมาประชุมกันในเวลาเย็น สสบัณฑิต(กระต่าย) แสดงธรรมโดยการให้โอวาทแก่สหายทั้ง 3 ว่า

             "ท่านทั้งหลายพึงให้ทาน พึงรักษาศีล พึงกระทำอุโบสถกรรมเถิด เมื่อท่านทั้งหลายทำให้มากเจริญให้มากซึ่งทาน และศีล จักมีสุขติเป็นที่ไป"

             สหายทั้ง 3 รับโอวาทของสสบัณฑิตแล้ว พากันกลับเข้าไปยังพุ่มไม้ อันเป็นที่อยู่อาศัยของตน เมื่อกาลล่วงไป วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์มองดูท้องฟ้าเห็นดวงจันทร์ รู้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันอุโบสถ จึงกล่าวกะสหายทั้ง ๓ ว่า

             “พรุ่งนี้เป็นวันอุโบสถ ท่านทั้ง ๓ พึงสมาทานศีล รักษาอุโบสถ ทานของผู้ที่ตั้งอยู่ในศีล ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก เพราะฉะนั้น เมื่อมียาจกมาหาท่าน ท่านทั้งหลายพึงให้รส อาหารที่ควรกิน แล้วจึงค่อยกิน” สัตว์ทั้ง ๓ รับคำแล้วพากันกับไปในที่อาศัยของตน

             เช้าวันรุ่ง บรรดาสัตว์เหล่านั้น ออกหาอาหาร นากคิดว่าเราจักแสวงหาอาหารแต่เช้าตรู่จึงไปยังฝั่งแม่น้ำคงคา ครั้งนั้น พรานเบ็ดผู้หนึ่งตกปลาตะเพียนได้ ๗ ตัว แล้วเอาเถาวัลย์ร้อยคุ้ยทรายที่ฝั่งแม่น้ำคงคา นำปลาใส่หลุมแล้วเอาทรายกลบไว้ เมื่อจะจับปลาอีก จึงไปยังด้านใต้แม่น้ำคงคา นากเที่ยวหาอาหารอยู่ได้กลิ่นปลา จึงคุ้ยทราย เห็นปลาแล้ว คิดอยู่ว่าเจ้าของปลาเหล่านี้มีไหมหนอ คิดดังนั้นแล้วจึงประกาศขึ้น ๓ ครั้ง เมื่อไม่เห็นผู้ใดแสดงตน จึงคาบปลายเถาวัลย์นำไปเก็บไว้ในพุ่มไม้ อันเป็นที่อยู่อาศัยของตน คิดว่าเราจักกินเมื่อถึงเวลา แล้วจึงนอนนึกถึงศีลของตนอยู่

             ฝ่ายสุนัขจิ้งจอกออกเที่ยวแสวงหาเหยื่อ ได้เห็น เนื้อย่าง ๒ ไม้ เอี้ย ๑ ตัว และหม้อนมส้ม ๑ หม้อ ในกระท่อมของคนเฝ้านาคนหนึ่ง คิดว่าเจ้าของของสิ่งนี้มีอยู่หรือไม่หนอ แล้วร้องประกาศขึ้น ๓ ครั้ง เมื่อไม่เห็นใครแสดงตน จึงสอดเชือกสำหรับหิ้วหม้อนมส้มไว้ที่คอ เอาปากคาบเนื้อย่างและเอี้ย นำไปเก็บไว้ในพุ่มไม้อันเป็นที่นอนของตน คิดว่า จักกินเมื่อถึงเวลา แล้วนอนนึกถึงศีลของตนอยู่

             ฝ่ายลิงเข้าไปยังไพรสณฑ์ นำพวงมะม่วงมาเก็บไว้ในพุ่มไม้ที่เป็นที่อยู่อาศัยของตน คิดว่า จักกินเมื่อถึงเวลา แล้วจึงนอนนึกถึงศีลของตนอยู่

             ส่วนฝ่ายพระโพธิสัตว์คิดว่า เมื่อถึงเวลาเราจักออกไปกินหญ้าแพรก จึงนอนอยู่ในพุ่มไม้ ณ ที่อยู่อาศัยของตน คิดอยู่ว่า เราไม่อาจให้หญ้าแก่พวกยาจกผู้มายังสำนักของเรา แม้งาและข้าวสารของเราก็ไม่มี ถ้ายาจกจะมายังสำนักของเราแล้วไซร้ เราจักให้เนื้อในร่างกายของเรา

             ด้วยเดชแห่งศีลของพระโพธิสัตว์นั้น ภพที่ประทับของท้าวสักกะได้แสดงอาการเร่าร้อน กล่าวกันว่าภพนั้นจะเร่าร้อนขึ้นมาได้ เพราะท้าวสักกะสิ้นอายุหรือสิ้นบุญ หรือเมื่อสัตว์อื่นผู้มีอานุภาพมากปรารถนาสถานที่นั้น หรือด้วยเดชแห่งศีลของสมณะพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม

             ในกาลนั้น ภพของท้าวสักกะได้เร่าร้อนเพราะเดชแห่งศีล ท้าวสักกะทรงรำพึงอยู่ ทรงทราบเหตุแห่งความเร่าร้อนนั้นแล้ว จึงทรงดำริว่า เราจักทดลองพระยากระต่ายดู จึงได้เสด็จไปยังที่อยู่ของนาก ได้แปลงเพศเป็นพราหมณ์ยืนอยู่ นากเห็นพราหมณ์ยืนอยู่จึงกล่าวว่า

             “พราหมณ์ ท่านมายังสำนักเราต้องการสิ่งใด?”

             พราหมณ์ตรัสว่า

             “ท่านบัณฑิต ถ้าข้าพเจ้าพึงได้อาหารบางอย่าง ข้าพเจ้าจักเป็นผู้รักษาอุโบสถ และกระทำสมณะธรรม”

             “ดีล่ะ! ข้าพเจ้าจักให้อาหารแก่ท่าน ปลาตะเพียนของข้าพเจ้ามีอยู่ ๗ ตัว ท่านจงปิ้งมัจฉาหารของเรานี้บริโภคอยู่ที่โคนไม้อันรื่นรมย์ กระทำสมณะธรรมอยู่ในป่านี้ เถิด”

             พราหมณ์ตรัสว่า

             “เรื่องนี้จงยกไว้ก่อนเถิดท่าน ข้าพเจ้าจักรู้ภายหลัง ” แล้วหลีกไปยังที่อยู่ของสุนัขจิ้งจอก ครั้นยืนอยู่เบื้องหน้าสุนัขจิ้งจอกแล้ว ได้ตรัสว่า

             “ท่านบัณฑิต ถ้าข้าพเจ้าพึงได้อาหารบางอย่าง ข้าพเจ้าจักเป็นผู้รักษาอุโบสถ และกระทำสมณะธรรม”

             สุนัขจิ้งจอกกล่าวว่า “ดีล่ะ! ข้าพเจ้าจักให้ เนื้อย่าง ๒ ไม้ เอี้ย ๑ ตัว นมส้ม ๑ หม้อ ดูก่อนพราหมณ์  ท่านจงปิ้งสิ่งนี้แม้ทั้งหมด แล้วบริโภคตามความชอบใจ แล้วพึงเป็นผู้ถือศีลรักษาอุโบสถ นั่งที่โคนไม้อันน่ารื่นรม กระทำสมณะธรรมอยู่ในป่านี้เถิด”

             “เรื่องนี้จงยกไว้ก่อนเถิดท่าน ข้าพเจ้าจักรู้ภายหลัง” พราหมณ์ตรัสแล้วหลีกไปยังที่อยู่ของลิง ครั้งถึงที่อยู่ของลิงแล้ว ได้ตรัสว่า

             “ท่านบัณฑิต ถ้าข้าพเจ้าพึงได้อาหารบางอย่าง ข้าพเจ้าจักเป็นผู้รักษาอุโบสถ และกระทำสมณะธรรม”

             ลิงกล่าวว่า “ดีล่ะ ! ผลมะม่วงสุข น้ำเย็น ร่มเงาอันเย็นน่ารื่นรมย์ใจ ดูก่อนพราหมณ์ ข้าพเจ้ามีอาหารอย่างนี้ ท่านจงบริโภคอาหารนี้ แล้วเจริญสมณะธรรมอยู่ในป่าเถิด”

             “เรื่องนี้จงยกไว้ก่อนเถิดท่าน ข้าพเจ้าจักรู้ภายหลัง” พราหมณ์ตรัสแล้วหลีกไปยังสำนักของสสบัณฑิต ครั้นยืนอยู่หน้าสำนักของสสบัณฑิตแล้ว ได้ตรัสขึ้นว่า

             “ท่านบัณฑิต ถ้าข้าพเจ้าพึงได้อาหารบางอย่าง ข้าพเจ้าจักเป็นผู้รักษาอุโบสถ และกระทำสมณะธรรม” พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นก็มีความชื่นชมโสมนัส กล่าวว่า

             “ดูก่อนพราหมณ์ ท่านมายังสำนักของเรา เพื่อต้องการอาหาร ได้ทำดีแล้ว  วันนี้ ข้าพเจ้าจักให้ทานที่ยังไม่เคยให้ ก็ท่านเป็นผู้มีศีล จักไม่ทำปาณาติบาต ท่านจงไปรวมไม่ฟืนนานาชนิด มาก่อถ่านไฟ แล้วจงบอกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักเสียสละตน โดดลงในกองถ่านไฟ เมื่อร่างกายของข้าพเจ้าสุกเสียแล้ว ท่านพึงกินเนื้อ แล้วกระทำสมณะธรรม เถิด”

             ท้าวสักกะได้ทรงสดับถ้อยคำของสสบัณฑิตแล้ว จึงได้ทำการเนรมิตกองถ่านเพลิงกองหนึ่ง ด้วยอานุภาพของตน แล้วบอกแก่พระโพธิสัตว์

             พระโพธิสัตว์นั้นลุกขึ้นจากที่นอนหญ้าแพรกของตน ไปที่กองถ่านเพลิงนั้น คิดว่า ถ้าสัตว์เล็กๆ ในระหว่างขนของเรามีอยู่ สัตว์เหล่านั้นอย่าได้ตายด้วยเลย คิดแล้วสะบัดตัว ๓ ครั้ง สัตว์ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ระหว่างขนก็หลุดไป

             ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์กระโดดโลดเต้นมีใจเบิกบานยินดี บริจาคร่างกายทั้งสิ้นเป็นทาน กระโดดลงในกองถ่านเพลิง เหมือนพระยาหงส์กระโดดลงในกอปทุม ฉะนั้น

             แต่ไฟนั้นจะกระทำความร้อน แม้สักเท่าขุมขนในร่างกายของพระโพธิสัตว์ซักเล็กน้อยก็หาไม่ กับรู้สึกเย็นเสมือนเข้าไปในห้องหิมะ พระโพธิสัตว์จึงกล่าวกะท้าวสักกะว่า

             “พราหมณ์ ไฟที่ท่านก่อไว้เย็นยิ่งนัก ไม่อาจทำความร้อนแม้สักเท่าขุมขนในร่างกายของข้าพเจ้า นี่อะไรกัน?”

             “ท่านบัณฑิต เรามิใช่พราหมณ์ เราเป็นท้าวสักกะ มาเพื่อจะทดลองท่าน”

             ได้ฟังดังนั้น พระโพธิสัตว์จึงบรรลือสีหนาทว่า

             “ข้าแต่ท้าวสักกะ พระองค์จงหยุดพักไว้ก่อนเถิด หากโลกสันนิวาสทั้งสิ้นจะพึงทดลองข้าพระองค์ด้วยทานแล้วไซร้ จะไม่พึงเห็นความที่ข้าพระองค์ไม่เป็นผู้ประสงค์จะให้ทานเลย”

             ท้าวสักกะจึงตรัสกะพระโพธิสัตว์นั้นว่า

             “ดูก่อนสสบัณฑิต คุณของท่านจงปรากฏอยู่ตลอดกัปทั้งสิ้นเถิด”

             ตรัสแล้วทรงบีบบรรพต ถือเอาอาการเหลวของบรรพต เขียนลักษณะของกระต่ายไว้ในดวงจันทร์ แล้วนำพระโพธิสัตว์มาให้นอนอยู่บนหลังหญ้าแพรกอ่อน แล้วเสด็จกลับไปยังเทวโลก

             บัณฑิตทั้ง ๔ นั้นได้พร้อมเพรียงบันเทิงอยู่ พากันบำเพ็ญศีล รักษาอุโบสถกรรม แล้วไปตามยถากรรม

             พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะ ประชุมชาดก ในเวลาจบสัจจะ อุบาสกผู้ถวายบริขารทุกอย่าง ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล

             นากในกาลนั้น ได้เป็น พระอานนท์
             สุนัขจิ้งจอกได้เป็น พระโมคคัลลานะ
             ลิงได้เป็น พระสารีบุตร
             ท้าวสักกะได้เป็น พระอนุรุทธะ
             ส่วนสสบัณฑิตได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล

    แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 51 18:58:47

    แก้ไขเมื่อ 21 ธ.ค. 51 00:39:56

     
     

    จากคุณ : Kengmanny - [ 21 ธ.ค. 51 00:38:03 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com