บทที่ 1 - 15 http://my.dek-d.com//story/view.php?id=423352
บทที่ 17
เสียงลมพุ่งเข้าสู่หูอย่างบ้าคลั่ง พิงถิงหลับตาแน่น รู้สึกถึงฝ่ามืออันอบอุ่นของฉูเป่ยเจี๋ยกอดกระชับเอวของนางแน่นกว่าเดิม จากนั้นร่างทั้งร่างพลันถูกกระชากไปด้านข้างโดยแรง
ปรากฏว่าไม่ทราบเพราะเหตุใดฉูเป่ยเจี๋ยจึงได้ฝืนใจโอบหญิงสาวตีลังกาที่กลางอากาศ แล้วทิ้งหลังไหล่ของตนลงไปยังเบื้องล่าง
เป๊าะๆๆ !
เสียงสดใสดังติดต่อกัน ร่างของทั้งสองพุ่งผ่านป่าหนาทึบ แล้วร่วงตกลงต่อไปพร้อมๆ กับกิ่งไม้ที่ถูกกระแทกชนหักระเนระนาด
ต้นไม้อายุนับร้อยปีในป่าเก่าแก่แห่งนี้ทั้งสูงใหญ่และมีกิ่งใบดกหนาซ้อนทับกันหลายต่อหลายชั้น
ในเสียงดัง เป๊าะ ! เป๊าะๆๆๆๆ ถี่ยิบ คนทั้งสองร่วงกระแทกผ่านทั้งกิ่งและใบไม้หนาทึบชั้นแล้วชั้นเล่าจนส่งผลให้แรงจากการตกลงมาผ่อนเพลาลงหลายส่วน
ทั้งสองต่างทราบว่าใกล้จะถึงพื้นแล้ว และทราบดีแก่ใจว่ายากจะรอดชีวิตได้ จึงต่างกอดกันและกันเอาไว้แน่นโดยไม่ยอมคลายมือจากกันอีก
เช่นนี้น่าจะนับได้ว่า ยามตายได้ร่วมหลุม(๑) จริงๆ
ผลุ ! ผลุ !
ในป่าเก่าแก่อันเงียบสงบปรากฏเสียงดังทึบๆ ขึ้นสองเสียง ยามเมื่อตัวสัมผัสพื้น กลับไม่ได้ยินเสียงกระดูกแตกหักร่างแหลกสลายดังที่ได้คาดคิดเอาไว้แต่อย่างใด จะมีก็เพียงเสียงประหลาดๆ สองเสียง
ดูเหมือนพื้นดินจะอ่อนนุ่ม ร่างของทั้งสองได้ปักในแนวตั้งลงสู่พื้นดินอันอ่อนนุ่มนี้ และช่วยสลายแรงมหาศาลจากการร่วงตกลงมาให้หายไปจนหมดสิ้น
สองหนุ่มสาวต่างลืมตาขึ้น มองตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อว่าพวกตนจะยังคงมีชีวิตอยู่ ทั้งสองต่างหันไปมองรอบด้านโดยพร้อมเพรียง แล้วร้องอุทานออกมาพร้อมกันอย่างทั้งตื่นตระหนกและยินดี
ป่าทึบแถบนี้ไม่ทราบมีผลไม้ป่าชนิดใดขึ้นเป็นดงต่อเนื่องกันไปไกลหลายหลี่ และเนื่องจากสถานที่นี้เปลี่ยวร้าง ปราศจากร่องรอยผู้คนย่างกราย ส่งผลให้ผลไม้ป่าเหล่านี้ผลิดอกออกผลจนสุกงอมร่วงตกลงมาเอง
เมื่อไม่มีผู้ใดมาเด็ดกิน ผลไม้ป่าเหล่านี้ก็ร่วงตกลงบนพื้นดินใต้ต้น ปีแล้วปีเล่าผ่านไป ผลและใบไม้ที่ร่วงตกลงมาทับถมกันก็สะสมจนกลายเป็นชั้นหนาเตอะ และยามนี้ก็ได้เวียนมาถึงช่วงเวลาที่ผลสุกงอมร่วงตกลงสู่พื้นอีกครั้งพอดี ผลไม้และใบไม้เน่าจึงทับถมกันจนกลายเป็นเบาะช่วยชีวิตที่หนาเกินครึ่งตัวคน
บุพเพสันนิวาสดลบันดาล ก่อนหน้านี้ได้กิ่งใบหนาทึบชั้นแล้วชั้นเล่าช่วยขวางกั้นเอาไว้ให้ชั้นหนึ่ง ต่อมาได้เบาะธรรมชาติรองรับการร่วงตกกระทบพื้น จนช่วยชีวิตทั้งสองเอาไว้ได้
นับว่าสวรรค์ไม่สะบั้นหนทางคนโดยแท้ พิงถิงยิ้มหวานให้ชายหนุ่ม
ริมฝีปากฉูเป่ยเจี๋ยโค้งขึ้นเล็กน้อย แต่ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏ ก็พลันผนึกค้าง สีหน้าเปลี่ยนเป็นปั้นยาก
ครั้นเห็นสีหน้าของชายหนุ่ม รอยยิ้มของพิงถิงพลอยผนึกค้างไปด้วยเช่นกัน นัยน์ตาดำขลับจ้องมองฉูเป่ยเจี๋ย
เห็นได้ชัดว่าฉูเป่ยเจี๋ยนึกถึงอะไรขึ้นได้ สีหน้าจึงเคร่งเครียดมากขึ้นทุกที จนสุดท้ายกระด้างเย็นชาเหมือนถูกเคลือบด้วยน้ำแข็ง หันกายเดินออกจาก ธารผลไม้ ลึกถึงอก แล้วเลือกพื้นที่ราบค่อนข้างสูงซึ่งไม่มีผลไม้ร่วงกองสุมอยู่มากนักทิ้งตัวลงนั่งพักผ่อน
พิงถิงยืนมองชายหนุ่มเดินจากไปอย่างผิดหวัง นางนิ่งตะลึงอยู่ชั่วอึดใจ มองเขาถอดผ้าคลุมที่สกปรกไปทั้งผืนกับเสื้อตัวในออก แล้วจึงเห็นว่าบนแขนขวาของเขามีเลือดไหลพลั่กๆ ลงเป็นทางจนร่วงหยดลงมาจากร่องนิ้ว
นัยน์ตาหญิงสาวไหวสะท้านทันที ก้มหน้าเดินเข้าไปหา พูดเบาๆ ว่า
ข้าจะช่วย
หลีกไป !
ฉูเป่ยเจี๋ยตวาดเสียงต่ำ น้ำเสียงยะเยียบเย็นชาจนพิงถิงสะดุ้ง ถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างทำอะไรไม่ถูก ทิ้งมือลงข้างตัว ตามองชายหนุ่ม
ฉูเป่ยเจี๋ยล้วงหยิบห่อยาสมานแผลชั้นเลิศซึ่งมักจะพกติดตัวอยู่เสมอออกมา โรยยาลงบนบาดแผลโดยไม่สนใจนาง จากนั้นใช้ฟันฉีกชายเสื้อส่วนที่ยังค่อนข้างสะอาดเป็นแถบผ้ามาพันแผล
พิงถิงทราบดีว่าชายหนุ่มกำลังโมโห จึงพูดเสียงอ่อน
สะพานเชือกข้ามหน้าผานั่น......ข้าเป็นคนสั่งให้ทหารตัดสะพานเชือกเองเพื่อขวางไม่ให้ท่านบุกมาตีค่ายจอมทัพได้ แต่ข้ากลับลืมบอกท่าน
ฉูเป่ยเจี๋ยเอาแต่ก้มหน้าก้มตาพันแผลที่ไหล่ขวาเหมือนไม่ได้ยินกระนั้น
ตอนนั้นสองทัพตั้งประจัน จอมทัพวางแผนการ ข้า......ใครจะไปนึกว่าขากลับท่านก็......
ฉูเป่ยเจี๋ยผงกศีรษะขึ้นทันควัน นัยน์ตาคมกริบจ้องคุกคามนางเขม็ง กล่าวเสียงเย็นยะเยียบ
ขาไปก็ดี ขากลับก็ดี สุดท้ายข้าก็ต้องเหยียบผ่านสะพานเชือกนั่นอยู่ดี ที่แท้...ที่แท้เจ้าอยากจะให้ข้าตายถึงเพียงนี้ เยี่ยม...เยี่ยม...
ตอนที่ได้เห็นพิงถิงนั้น ชายหนุ่มดีใจเป็นอย่างมาก ถัดมาก็ต้องผ่านประสบการณ์เฉียดตาย หลังวิกฤตการณ์ผ่านพ้นและได้สติ สิ่งแรกที่ผุดขึ้นในใจกลับเป็นความสงสัยว่าตัวเขาได้ถูกนางผู้เป็นที่รักวางแผนทำร้าย แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร ?
ชายหนุ่มพยักหน้าพูดคำว่า เยี่ยม อย่างแดกดันไปสองคำ ก็ไม่ได้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอีก เปลี่ยนเป็นเหยียดริมฝีปากบางเฉียบยิ้มอย่างเย็นชา
สาบานต่อจันทรา...จะไม่ทรยศกันชั่วนิรันดร์......
หลังจากเอ่ยทวนไปสองรอบ ชายหนุ่มก็แหงนหน้าหัวเราะก้อง
ฮ่า......ฉูเป่ยเจี๋ยเอ๋ยฉูเป่ยเจี๋ย...เจ้ามันไอ้โง่ !
น้ำเสียงกระด้างรันทดถึงทรวงใน
หัวใจพิงถิงเย็นเฉียบ
แม้แต่ยามยืนอยู่บนหอเหนือกำแพงเมือง เผชิญหน้ากับกองทัพหมื่นม้าของศัตรูเพียงลำพัง ก็ยังไม่หนาวยะเยือกเหมือนอยู่กลางถ้ำน้ำแข็งเช่นนี้ สีเลือดบนดวงหน้านวลเหือดหายสิ้น พูดริมฝีปากสั่นระริก
ข้า......ข้า......
นางสั่งให้รั่วหานตัดสะพานเชือก แต่นึกไม่ถึงเลยว่ารั่วหานจะใช้วิธีลอบทำลายสะพานโดยไม่ให้มองออกเพื่อล่อให้ศัตรูก้าวเข้าสู่ความตาย กระนั้นหากยืนอยู่ในจุดยืนเดียวกับรั่วหาน ยามสองทัพประจัญกัน สามารถทำให้ทัพศัตรูตกตายได้มากเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น ถือเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
พิงถิงตื้อตันอยู่ในใจ พูดได้แค่ ข้า คำเดียวอยู่อึดใจใหญ่ ก็มองชายหนุ่ม น้ำตาไหลพรากลงมาเป็นทาง พูดต่อไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ดวงจันทร์ลอยอยู่สูง ในป่าเงียบสงัดเย็นยะเยียบสุดเปรียบปาน พิงถิงซวนเซเหมือนจะล้ม จนต้องพิงร่างกับลำต้นไม้อย่างอ่อนแรง เนิ่นนานต่อมาจึงค่อยทรุดนั่งลงช้าๆ ขยับริมฝีปากพูดเบาๆ
ท่านได้รับบาดเจ็บ จะโดนความเย็นไม่ได้ ข้าก่อไฟให้ดีไหม ?
ฉูเป่ยเจี๋ยนั่งขัดสมาธิพิงลำต้นไม้อีกต้น สายตามองไปทางอื่นตลอด ถามแดกดันด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
เมื่อแสงไฟสว่างขึ้น ไม่ทราบว่าฝ่ายที่จะหาพวกเราพบก่อนคือกองทัพเป่ยม่อใช่หรือไม่ ?
พิงถิงเหมือนถูกต่อยใส่ที่อกเต็มแรง จุกจนพูดไม่ออก นัยน์ตาพร่าพรายไปหมด น้ำตาที่อุตส่าห์สะกดกลั้นอย่างยากเย็นกว่าจะหยุดลงได้ไหลพรากลงมาอีกครั้ง
เมื่อนึกถึงว่าความเป็นห่วงของนางกลับถูกชายหนุ่มมองเป็นแผนร้าย หญิงสาวก็กัดริมฝีปาก ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา เอามือยันลำต้นไม้พยุงตัวลุกขึ้นยืน หันกายเดินจากไป
ฉูเป่ยเจี๋ยได้ยินเสียงนางเคลื่อนไหว ก็ถามออกไปเสียงเย็นยะเยียบโดยที่สายตายังคงไม่ยอมเบือนกลับมา
จะไปไหน ?
ไปหาทัพเป่ยม่อน่ะสิ ! หญิงสาวประชดอย่างน้อยใจ แล้วเดินจากไปโดยไม่สนใจปฏิกิริยาของชายหนุ่ม
ฉูเป่ยเจี๋ยแค่นเสียงหนัก รอจนนางเดินจากไปแล้ว ก็อดไม่ได้ต้องหันหน้าไปมอง
ในความมืด ปิ่นซึ่งหยางเฟิ่งให้พิงถิงมาได้เรืองแสงอ่อนจางอยู่บนเรือนผมดำขลับดั่งแพไหม กลับเป็นปิ่นที่ฝนจากหยกประกายราตรีอันล้ำค่าทีเดียว
ฉูเป่ยเจี๋ยเห็นนางเพียงแต่ก้มเอวเก็บโน่นเก็บนี่ตามพุ่มไม้เตี้ยๆ ละแวกใกล้เคียงโดยไม่ได้เดินออกห่างไปไกล ก็ลอบวางใจลง ในป่ามีสัตว์ร้ายและสัตว์พิษอยู่มากพอสมควร คนธรรมดาส่วนมากมักไม่อาจรอดชีวิตออกไปได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ แม้ในใจจะนึกโมโหความใจอ่อนของตัวเอง แต่สายตากลับยิ่งไม่อาจเบนห่างจากหญิงสาวมากกว่าเดิม
เพียงครู่สั้นๆ พิงถิงก็เดินกลับมา ชายผ้าคลุมบรรจุของอยู่หลายอย่าง หญิงสาวเทของทั้งหมดในชายผ้าคลุมพรวดลงตรงหน้าฉูเป่ยเจี๋ย มีทั้งผลไม้เพิ่งสุกที่สีดูเข้าท่าไม่น้อยและรากของสมุนไพรที่ไม่ทราบชื่อ ส่วนฉูเป่ยเจี๋ยได้เมินหน้าหนีไปทางอื่นในอิริยาบถเดียวกับเมื่อตอนที่พิงถิงเพิ่งจะเดินจากไปอยู่แต่แรก
พิงถิงนั่งลง หยิบผลไม้ขึ้นมาผลหนึ่ง พูดอย่างกระแทกกระทั้น
ผลไม้ในป่านี้ถึงจะกินอิ่มท้อง แต่ข้าตั้งใจแล้วว่าต้องทำให้ท่านถึงตายให้จงได้ ฉะนั้นอย่าไปกินจะดีกว่า !
ฉูเป่ยเจี๋ยหุบปากนิ่ง พิงถิงจึงหยิบรากสมุนไพรที่เพิ่งไปเด็ดมาเมื่อครู่ขึ้นมา
แน่นอนว่าสมุนไพรพวกนี้ก็มีพิษเหมือนกัน ฉะนั้นทางที่ดีจงอย่าไปใช้มัน วันหน้าถึงต้องกลายเป็นแม่ทัพแขนเดียว ก็ยังดีกว่าถูกผู้หญิงเลวๆ ทำร้ายถึงตายมากนัก !
หญิงสาวพูดประชดอย่างคับใจออกไปแล้ว เห็นฉูเป่ยเจี๋ยยังคงทำเมินเฉยเหมือนไม่ได้ยินอยู่เช่นเดิม ก็ให้หมดอารมณ์และห่อเหี่ยวใจอย่างบอกไม่ถูก จึงไม่พูดอะไรอีก เปลี่ยนเป็นหยิบผลไม้ป่าผลหนึ่งขึ้นมากัด ครั้นรสขมฝาดแผ่ซ่านเต็มปาก ก็โยนผลไม้ทิ้ง เดินไปนั่งลงพิงหลังกับลำต้นไม้อีกต้นซึ่งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยอย่างเหม่อลอย
ถึงเที่ยงคืน ลมในป่าก็ยิ่งโหมพัดอย่างเหิมเกริมจนหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ
คนทั้งสองต่างหุบปากเงียบ ต่างไม่มองหน้าไม่สบตากัน พิงถิงก้มหน้าลงมองเท้าตัวเอง ส่วนฉูเป่ยเจี๋ยเมินหน้าหนีไปอีกทาง ทั้งที่ห่างกันเพียงไม่กี่ฉื่อ กลับเหมือนห่างกันนับพันหลี่ ทำอย่างไรก็ไม่อาจเข้ามานั่งด้วยกันได้ จนให้รู้สึกหดหู่ท้อแท้ใจอย่างบอกไม่ถูก
นึกถึงคำสาบานที่กล่าวบนหน้าผาก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน กลายเป็นเหมือนความฝันอันประหลาด
ต่อให้เป็นความฝัน...ก็ออกจะตื่นเร็วเกินไปแล้ว
พิงถิงเหนื่อยล้าสุดประมาณ รู้สึกเหมือนใกล้จะสิ้นแรง แต่ดวงตากลับหลับไม่ลงจนแล้วจนรอด นางลอบมองฉูเป่ยเจี๋ยที่นั่งนิ่งไม่ขยับแม้สักนิดราวกับก้อนศิลา แล้วกะพริบตา น้ำตาหยดกลิ้งลงมาตามพวงแก้มอย่างเงียบงัน ตอนแรกนางยังเอาหลังมือปาดเช็ดออก หลังจากนั้นจึงเลิกเช็ด ปล่อยให้น้ำตาไหลพรากลงมาอย่างนั้น เช่นนี้กลับทำให้ความอัดอั้นในใจค่อยผ่อนเพลาลงบ้าง
ฉูเป่ยเจี๋ยเงี่ยหูฟังเสียงสะอื้นของหญิงสาว นางสะอื้นหนึ่งครั้ง หัวใจเขาก็กระตุกไปหนึ่งที ขณะที่ฝืนข่มกลั้นไม่ยอมหันหน้าไปพร้อมกับนึกด่าตัวเองในใจว่าเสียทีที่เป็นราชนิกุลตงหลินแท้ๆ กระทั่งความเด็ดเดี่ยวเล็กน้อยเพียงแค่นี้ก็ยังไม่มี
จนตอนท้าย ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงไอทึบๆ ดังมาจากด้านหลัง เหมือนกับนางเอามือปิดปากจนเหลือเสียงไอลอดออกมาเพียงแผ่วเบา เขาก็สุดจะทนข่มกลั้นตัวเองต่อไปได้ไหว ใช้ปลายเท้าเกี่ยวผ้าคลุมบนพื้นที่ถูกลมพัดจนแห้งสนิทแล้วตวัดเบาๆ
ผ้าคลุมปลิวตามแรงส่งไปตกลงตรงหน้าหญิงสาวอย่างแม่นยำ
จากคุณ :
Linmou
- [
21 ธ.ค. 51 18:33:16
]