ตอนที่ 4 แอบขายขนมในหอพัก
อิฉันกับไอ้ศรี มีความคิดที่จะขายขนมในหอพัก ตั้งแต่เริ่มฝึกงานแล้วเจ้าค่ะ ตอนแรกๆ เป็นน้องใหม่ไม่เคยคิดเรื่องนี้ เพราะมีระเบียบที่เคร่งครัด น่าเกรงกลัวบังคับอยู่ ทำให้พวกเราไม่กล้าออกนอกกรอบกัน และการเรียนที่เริ่มเช้าเลิกเย็น การบ้านไม่มาก นอนกันแต่หัวค่ำ ก็ไม่ได้หิวโหยอะไรกันมากนัก
พอมาขึ้นเทอมสองต้องทั้งเรียนที่คลาส และขึ้นเวร เช้า บ่าย ดึก เหมือนกับเป็นพยาบาลแล้ว ทำให้ตอนกลางคืน รวมทั้งการทำรายงานเคสดึกๆดื่นๆ ทำให้หลายคนหิวโซยังกับหมาผอม ก็จริงอยู่เจ้าค่ะ ตรงที่ว่า เพื่อนคนไหนถ้ามีวันหยุดเวรติดกันเสาร์อาทิตย์ ก็จะถือโอกาสกลับบ้านกลับช่อง เวลากลับมาก็จะหอบขนมข้าวต้มเยอะแยะ เอามาฝากเพื่อนที่อยู่โยงเฝ้าห้อง แต่อย่างว่า...วัยพวกเราก็เป็นวัยกำลังกินกำลังนอนนี่นะเจ้าคะ ของกินต่างๆที่เพื่อนขนเอามาจากบ้าน ก็จะหมดในพริบตา ส่งผลให้วันถัดๆ ไปหิวเป็นหมาโซอีกแล้ว อิอิอิ...ไม่ค่อยอยากจะสารภาพเลยเจ้าค่ะ อิฉันเคยมองกล้วยปิ้งของคนไข้ตาเป็นมัน ด้วยความอยากกินสุดขีด
ตามระเบียบ ห้ามเอาอาหารเข้ามากินในหอพักก็จริงอยู่เจ้าค่ะ แต่ประทานโทษเถอะ...เรื่องแบบนี้ไม่มีใครห้ามได้หรอกนะเจ้าคะ พอคุณแม่บ้านมาตรวจทีก็ซุกกันที วิธีซุกของพวกเราก็คือเอาใส่ถุงหิ้ว ไปแขวนไว้ใต้ราวกางเกงในนอกระเบียง เพราะตามประวัติศาสตร์แล้ว ป้าแกไม่เคยก้มลงไปดูใต้ราวกางเกงในซักที ต้องก้มเจ้าค่ะ เพราะตามกฎแล้ว ห้ามตากกางเกงในสูงกว่าขอบระเบียง ราวตากผ้าที่เรียงเป็นตับไปด้วยกางเกงในน้อยใหญ่ จึงสูงเพียงต้นขา เพราะฉะนั้น ที่นี่ จึงเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดด้วยประการทั้งพวงเจ้าค่ะ
ไม่ต้องสงสัยนะเจ้าคะ ว่าทำไมไม่ซื้อขนมมาเก็บไว้กินตอนเย็นก่อนเข้าหอพัก ก็ตามระเบียบปฏิบัติที่หยุมหยิมนี่แหละ ของก็ไม่มีขาย แล้วยังห้ามออกนอกรั้ววิทยาลัยอีก ยกเว้นเสาร์อาทิตย์ที่ไม่ติดเวรฝึกงานเท่านั้น และยังห้ามคุยกับคนแปลกหน้าในบริเวณที่ไม่ใช่ห้องรับแขกด้วย
เมื่อก่อนอิฉันก็ไม่เข้าใจอาจารย์หรอกเจ้าค่ะ ว่าอะไรจะห้ามกันขนาดนี้ แต่ดูๆ ไปจะไม่สารพัดห้ามได้อย่างไร เอาลูกสาววัยขบเผาะของชาวบ้าน มาเลี้ยงดูตั้งเกือบสี่ร้อยคนอย่างนี้ งานหนักมิใช่เบาเหมือนกันนะเจ้าคะ
พวกเราจึงรู้ว่าพวกเราเป็นไข่ในหิน ที่อาจารย์จะต้องดูแลใกล้ชิดและปกป้องไข่ทุกใบไม่ให้บุบสลายหายไป
.
.
.
(........ช่วงนี้ อีก 20 บรรทัด มีคำต้องห้ามค่ะ เฟื่องฝนหาไม่เจอ ไม่มีคำเตือนด้วย เลยปล่อย ไม่งั้นเดี๋ยวหายไปทั้ง คห. ช่างมันเถอะนะคะ....)
.
.
.
.
หลังจากปรึกษาหารือกันเรียบร้อยแล้ว คืนนั้น ถึงเราสองคนจะหลับไปด้วยความหิวโหย แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความฝัน ที่จะทำธุรกิจเล็กๆ ในหอพัก
ว่าแล้ว เก้าโมงเช้าเสาร์นั้น เราก็ดำเนินงานตามแผนอย่างไม่รอช้า รวมเงินกันคนละห้าร้อยบาท พกกระเป๋าเสื้อผ้าเปล่าๆ ไปคนละใบ เซ็นชื่อขออนุญาตอาจารย์ฝ่ายปกครอง ออกไปข้างนอก
แต่พอเห็นว่าอาจารย์เวรเป็นใคร เล่นเอาเราสองคนหัวใจหล่นวูบ โดยเฉพาะไอ้ศรี ...หนอย.. หะแรก ก็ทำเป็นขึงขังดี พอตอนนี้ก็ดันมาถอดใจเอาเสียดื้อๆ แผนที่คิดไว้ยังไม่ทันจะได้ตั้งไข่เลย
เฟื่อง...กลับกันเถอะว่ะ เพียงแค่เห็นอาจารย์ที่นั่งอยู่เวรหน้าประตู มันก็ออกอาการลนลาน ทำอะไรไม่ถูกซะแล้ว
ก็จะใครซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่อาจารย์กนกพรเจ้าเก่าของพวกเรานี่เอง
จะบ้าเรอะ แกนี่ ทำไมมันท้อแท้ง่ายงี้วะ อิฉันดุเสียงเขียว
ก็ฉันกลัวอาจารย์นี่ มันทำท่าถอยกรูด ดีที่อิฉันคว้ามือมันไว้ทัน
อุปสรรคน่ะ...เค้ามีไว้ให้ข้าม ไม่ได้มีไว้ให้ถอย ไอ้นี่...ตกลงจะทำหรือไม่ทำ แหะๆ อิฉันเองก็แทบจะหันหลังกลับเหมือนกันเจ้าค่ะ อย่าว่าแต่มันเลย
แต่...ไม่ทันซะแล้วล่ะเจ้าค่ะ ขณะที่มัวละล้าละลังกันอยู่ อาจารย์ก็เห็นเราเสียก่อน ขืนหันหลังกลับตอนนี้ ก็ยิ่งมีพิรุธเข้าไปใหญ่สิเจ้าคะ
อาจารย์กนกพร หัวหน้าฝ่ายปกครองจอมเฮี๊ยบ มองลอดแว่นนิ่งมาที่เราสองคนเป็นนาน หลังจากเห็นใบขออนุญาตออกนอกพื้นที่ เอ๊ย..ออกนอกวิทยาลัย ท่านจ้องซะพวกเราสะดุ้งทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไรผิด
เธอจะออกไปทำอะไรกันข้างนอก เสียงดุ เข้มงวด
หนะ..หนูจะออกไปตลาดค่ะ อิฉันชักตะกุกตะกักด้วยความเกรงกลัวรังสีที่ฉายออกมาจากสายตาของท่าน
แล้วเธอล่ะ ศรีพิณ จะไปไหน ท่านมองไอ้ศรีตาไม่กระพริบ
เอ่อ...หนูจะออกไปกับเฟื่องฝนค่ะ มันตอบอย่างหวั่นเกรง
อาจารย์สวนกลับมาทันทีด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น แล้วเอากระเป๋าเสื้อผ้าออกไปทำไม
ไอ้ศรีสะดุ้งเฮือก มองหน้าอิฉันเลิ่กลั่ก อิฉันเห็นท่าไม่ดี ก็เลยเอาปลายรองเท้ากระแทกหน้าแข้งมันเข้าไปหนึ่งที มันเสือกร้อง...โอ๊ย..มาซะดัง อิฉันก็ดันลืมตัว เผลอแยกเขี้ยวให้มันซะอีก อาจารย์มองหน้าเราสองคนสลับกันไปมา ไม่พูดอะไร อิฉันรู้ดีว่าอาจารย์ท่านอยากให้เราพูดให้มากที่สุด เพราะพิรุธต่างๆก็จะหลุดออกมากับคำพูดนั่นแหละเจ้าค่ะ
.
.
แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 51 13:36:32
แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 51 13:28:53
แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 51 12:55:34