Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    [นิยายแปล] จอมนางคู่บัลลังก์ บทที่ 19 เขียนโดย...เฟิงน่ง

    บทที่ 1 - 18  http://my.dek-d.com//story/view.php?id=423352



    บทที่ 19


    ตงหลินเปลี่ยนไปใช้แต่สีขาวทั่วทั้งแคว้น ราชโองการได้ประกาศออกมาแล้วว่า ภายในสามเดือน ทุกผู้คนภายในแคว้นไม่ว่าจะเป็นขุนนางราชนิกุลหรือชาวบ้านสามัญ ห้ามมิให้ใช้สีสดทั้งสิ้น เสื้อผ้าอาภรณ์ ม่านประตู แม้กระทั่งป้ายสีแดงสดอันแสดงถึงความเป็นมงคลและเงินทองไหลมาเทมาที่เหล่าร้านรวงริมทางใช้กัน ก็ล้วนแต่ถูกราชโองการนี้ปลดลงมา

    บรรยากาศมีแต่ความเงียบสงัดจนวังเวง

    องค์ชายทั้งสอง...องค์ชายที่ต้าหวางมีเพียงสองคน ได้ถูกพิษไม่อาจรักษา

    อายุยังน้อยเพียงนั้น...แค่ไม่ถึงสิบขวบ ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะฝังเอาไว้ในสุสานแห่งราชวงศ์ตงหลินอันโอ่อ่าเคร่งขรึม จึงได้แต่ปฏิบัติตามธรรมเนียมของตงหลิน หลังจากเผาศพแล้ว กอบเถ้ากระดูกเล็กๆ นั้นโรยลงในแม่น้ำ ให้สูญสลายไปกับฟ้าดิน...

    เมื่อฉูเป่ยเจี๋ยได้รับข่าวร้ายนี้ ก็รีบยกทัพกลับแคว้นในทันที ชายหนุ่มเดินทางอย่างเร่งรีบจนฝีเท้าม้านับหมื่นสะกิดฝุ่นทรายฟุ้งตลบตลอดเส้นทาง แล้วมาถูกอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายซางถานซึ่งรอท่าอยู่ก่อนสกัดขวางทางเอาไว้ที่นอกเมืองหลวงห้าสิบหลี่

    ครั้นมองเห็นธงของตงหลินหวางพลิ้วไหวอย่างอ่อนแรงอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่แทบจะกลายเป็นสีน้ำตาลได้แต่ไกล ฉูเป่ยเจี๋ยก็ชูมือขึ้น

    “หยุด !”

    เหล่าทหารหาญทั้งหนึ่งแสนนายซึ่งเร่งรีบเดินทางรอนแรมมาไกลจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงพากันชะงักเท้า ใบหน้าซึ่งแปดเปื้อนฝุ่นละอองจนขะมุกขะมอมจ้องมองกองทหารองครักษ์พิทักษ์วังหลวงที่ต่างเปลือยกระบี่ง้างธนูยืนจังก้าอยู่ห่างออกไปข้างหน้าในอาการตกตะลึง

    “รับราชโองการ !”

    สองมือซางถานถือหนังสือราชโองการสีเหลืองสุกสว่าง เชิดหน้ายืดอกกล่าวอย่างไม่หวั่นเกรง

    “ในเมืองหลวงกำลังประสบกาลสิ้นพระชนม์ขององค์ชายทั้งสอง ด้วยเกรงว่ากลิ่นอายอัปมงคลยากขจัด(๑) กองทัพซึ่งเดินทางกลับมาจึงมิควรเข้าเมือง ทหารทั้งหมดจงรั้งอยู่ ณ ที่เดิมนี้ และมอบให้ฟู่หลางหวาง(๒)เป็นผู้ควบคุม”

    เหล่าแม่ทัพต่างลงจากหลังม้ามาคุกเข่าฟังราชโองการ รัศมีหลายหลี่โดยรอบเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง มีเพียงเสียงดังกังวานของซางถานซึ่งกล่าวออกมาทีละคำๆ อย่างไร้ความรู้สึกที่ชอนไชเข้าสู่โสต

    รัตติกาลใกล้มาเยือน สายลมแรงเสียดกระดูก ม่อหรานฟังราชโองการจบ หัวใจถึงกับเย็นเฉียบไปครึ่งหนึ่ง ลอบเหลือบมองผู้เป็นนาย

    สีหน้าฉูเป่ยเจี๋ยนิ่งเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ สองมือยกชูเหนือศีรษะไปรับราชโองการ แล้วลุกขึ้นยืน

    ซางถานคลี่ยิ้มไม่บ่งบอกความคิด มือซุกอยู่ในแขนเสื้อ กล่าวอย่างสนิทสนม

    “ฝ่าบาทกลับมาถึงจนได้ ฝ่าบาทเป็นพระอนุชาของต้าหวาง ขอได้โปรดช่วยปลอบประโลมต้าหวางด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะว่าอย่าได้ทุกข์ใจด้วยเรื่ององค์ชายน้อยทั้งสองจนบั่นทอนพระวรกาย ต้าหวางมีบัญชาต่อซางถานว่าต้องมาต้อนรับฝ่าบาทเข้าสู่เมืองหลวงด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ” จบคำก็ก้าวถอยหลังไป มีผู้สวมชุดทหารองครักษ์ประจำวังหลวงจำนวนห้าสิบกว่านายตั้งขบวนยืนรอบนถนนอยู่ก่อนแล้ว

    ดูเหมือนหลังจากองค์ชายน้อยทั้งสองถูกยาพิษสังหาร ทหารองครักษ์ในวังหลวงก็ถูกเปลี่ยนคนหมดทั้งชุด ทหารองครักษ์กลุ่มนี้ไม่มีใครที่คุ้นหน้าเลยสักคน

    ม่อหรานซึ่งยืนทิ้งมือข้างลำตัวอยู่ข้างกายฉูเป่ยเจี๋ยลดเสียงเบาลงกล่าวว่า

    “ฝ่าบาท...เหล่าทหารต่างจากบ้านกันมาได้พักใหญ่แล้ว แต่ละคนล้วนคิดถึงบ้านจับใจกันทั้งนั้น บัดนี้อยู่ๆ ก็มาถูกสั่งให้รั้งอยู่ที่นี่ เกรงว่าอาจจะมีผู้ฉวยโอกาสก่อเรื่องขึ้นได้ ทหารหาญหนึ่งแสนนาย หากเกิดเรื่องใดขึ้น เห็นจะไม่ได้การเป็นแน่ การนี้ควรทำเช่นไรดี ขอฝ่าบาทโปรดชี้แนะพ่ะย่ะค่ะ”

    ซางถานวางสีหน้าเรียบเฉย กระแอมเบาๆ กล่าวกับม่อหรานว่า

    “ราชโองการที่เปิ่นเฉิงเซี่ยง(๓)อ่านประกาศ ท่านแม่ทัพฟังไม่ถนัดหรือไร ? แม่ทัพและทหารทั้งหมดให้ฟู่หลางหวางเป็นผู้ควบคุม”

    “ท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายขอรับ โปรดอภัยที่ม่อหรานเสียมรรยาท เรื่องในกองทัพมิอาจดูเบาโดยเด็ดขาด ทหารจำนวนมากถึงเพียงนี้มารวมตัวกันอยู่ในที่นี้ หากบังเอิญเกิดเรื่องใดขึ้น......”

    “หุบปาก !”

    ฉูเป่ยเจี๋ยซึ่งนิ่งเงียบงันไม่เอ่ยคำตวาดเสียงต่ำขึ้นโดยพลัน

    ม่อหรานหยุดพูดทันทีอย่างประหวั่นลนลาน รีบก้มหน้าลง

    ซางถานกำลังนึกกังวลไม่ทราบจะรับมือม่อหรานอย่างไรอยู่พอดี ครั้นเห็นฉูเป่ยเจี๋ยเอ่ยปาก ก็รีบพูดว่า

    “เวลาไม่คอยท่า ต้าหวางกำลังรออยู่ในวังหลวงนะพ่ะย่ะค่ะ ขอเชิญฝ่าบาทขึ้นขี่ม้า ติดตามข้าพระองค์เข้าไปในเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ” จากนั้นสั่งให้คนจูงม้าของฉูเป่ยเจี๋ยมา

    ฉูเป่ยเจี๋ยกุมอำนาจทหารในตงหลินมานานปี ไม่นิยมผู้ประจบสอพลอ ทั้งยังมักตวาดด่าทอเหล่าลูกท่านหลานเธอที่ชอบทำตัวสำรวยซึ่งๆ หน้า จนขุนนางราชนิกุลทั้งหลายพากันหวาดกลัวและเกลียดชังเขาเป็นที่ยิ่ง กาลก่อนชายหนุ่มย่อมไม่หวั่นเกรงกลุ่มคนพาลเหล่านั้น แต่บัดนี้ได้เกิดเรื่องใหญ่หลวงอย่างองค์ชายน้อยทั้งสองถูกสังหาร ประจวบกับตัวเขาซึ่งอยู่ชายแดนรีบนำทัพใหญ่หวนกลับเมืองหลวงพอดี หากเรื่องนี้ถูกคนพาลฉวยโอกาสใส่ความ ก็ยากนักที่ต้าหวางจะไม่เกิดความระแวง

    ม่อหรานคุ้นเคยกับเรื่องภายในเหล่านี้เป็นที่สุด จึงนึกในใจว่าอย่างไรก็จะยอมปล่อยให้หวางเยี่ยเข้าวังหลวงไปเพียงลำพังไม่ได้โดยเด็ดขาด และพูดเสียงหนักว่า

    “ม่อหรานกับเหล่าแม่ทัพคนสนิทจะติดตามเป็นเพื่อนหวางเยี่ยเข้าไปในวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ”

    มิคาดคำพูดนี้ตรงใจของซางถานพอดี อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวยิ้มๆ

    “แม่ทัพคนสนิทของฝ่าบาทสามารถติดตามฝ่าบาทเข้าไปในวังหลวงได้โดยไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ ต้าหวางยังตรัสอีกด้วยว่า การกรีธาทัพไปกำราบเป่ยม่อในครั้งนี้ได้รับชัยชนะติดต่อกัน จึงต้องปูนบำเหน็จเหล่าแม่ทัพผู้สร้างความชอบทุกท่านให้จงหนัก ได้ยินว่าท่านแม่ทัพม่อหรานบุกนำหน้าเหล่าทหาร สร้างความชอบใหญ่หลวงหลายต่อหลายครั้ง ต้าหวางตรัสว่า ขอเชิญท่านแม่ทัพม่อหรานเข้าไปในวังหลวงพร้อมกันกับเจิ้นเป่ยหวาง ต้าหวางจะปูนบำเหน็จท่านแม่ทัพด้วยพระองค์เอง”

    ซางถานยิ่งยิ้มอย่างสนิทสนม ในใจแม่ทัพทุกคนก็ยิ่งหนักอึ้ง วลี “กำจัดให้สิ้นซากในคราวเดียว” ผุดขึ้นในศีรษะโดยพร้อมเพรียง

    แม่ทัพทุกคนเอามือกุมกระบี่ที่ข้างเอวโดยพลัน หันมองไปยังฉูเป่ยเจี๋ยเป็นตาเดียว

    ร่างที่ยืนตระหง่านของฉูเป่ยเจี๋ยประหนึ่งไม่มีวันโยกคลอนแม้เพียงนิดไปชั่วกาล ริมฝีปากบางเฉียบเม้มเล็กน้อย ใต้แสงอาทิตย์อัสดง ดวงหน้ากระด้างคมสันดั่งสลักด้วยคมดาบไร้ซึ่งความรู้สึกโดยสิ้นเชิงประหนึ่งหลอมจากเหล็กกล้า นัยน์ตาทอดมองไปยังกำแพงอันสูงตระหง่านงามสง่าของเมืองหลวง ก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชา

    “ซางถาน ตอบคำถามข้าข้อหนึ่ง”

    ซางถานถูกน้ำเสียงเย็นยะเยียบดุจน้ำแข็งทำเอาหนาวสะท้าน ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้คือยอดขุนพลอันดับหนึ่งแห่งตงหลินซึ่งเลื่องลือนามเป็นที่สะท้านหวาดหวั่นไปทั่วทั้งสี่แคว้น สังหารผู้คนมาแล้วเหลือคณานับ ทั้งยามนี้ยังกำลังคุมทัพทหารหาญหนึ่งแสนนายที่เพิ่งจะกลับจากการประหัตประหารฆ่าฟันในสนามรบมาหมาดๆ เสียด้วย

    หากตอนนี้เขาพูดผิดแม้แต่คำเดียวละก็ เจิ้นเป่ยหวางจะฆ่าเขา...อัครเสนาบดีซึ่งยามปกติใหญ่โตทรงอำนาจราชศักดิ์เป็นที่เกรงขามไปทั่ว...อย่างไม่ผิดอะไรเลยกับการบดขยี้มดตัวหนึ่ง

    อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่กล้าสบสายตาคมกริบของฉูเป่ยเจี๋ย จึงก้มศีรษะลงกล่าวว่า

    “ฝ่าบาทเชิญถามเถิดพ่ะย่ะค่ะ ซางถานจะต้องเอ่ยตอบอย่างเต็มที่แน่นอน”

    “เจ้าเชื่อว่าเปิ่นหวางเกี่ยวข้องกับการตายขององค์ชายน้อยทั้งสองหรือไม่ ?”

    คำถามนี้เจ้าเล่ห์เหลือร้ายนัก

    หากฉูเป่ยเจี๋ยถามว่า “ต้าหวางคิดว่าการตายขององค์ชายน้อยทั้งสองเกี่ยวข้องกับเปิ่นหวางใช่หรือไม่” ซางถานยังพอจะใช้ไม้เด็ดของขุนนางตอบว่า มิกล้าคาดคะเนความคิดของต้าหวางโดยพลการ และออกตัวว่าเขาเป็นเพียงขุนนางที่มาถ่ายทอดราชโองการผู้หนึ่งเท่านั้น

    แต่ประโยคที่ฉูเป่ยเจี๋ยเอ่ยถามนั้นแหลมคมนัก โดยถามความคิดของตัวซางถานตรงๆ  ซางถานจึงหมดโอกาสที่จะแกล้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนบอกว่า “ไม่ทราบ” โดยสิ้นเชิง

    เมื่อเป็นเช่นนี้ หากซางถานไม่คิดที่จะแตกหักกับฉูเป่ยเจี๋ย ก็มีเพียงสองทางให้เลือกเท่านั้น นั่นคือพูดความจริง...ไม่ก็โกหก

    ซางถานย่อมไม่กล้าที่จะแตกหักกับฉูเป่ยเจี๋ยในสถานการณ์เช่นนี้อยู่แล้ว คำพูดจากใจจริงจึงไม่อาจกล่าวออกไปได้โดยเด็ดขาด เพราะนั่นจะเท่ากับยื่นคอของตัวเองเข้าไปหาคมกระบี่ของฉูเป่ยเจี๋ยชัดๆ

    แต่หากตัวเขาพูดออกมาต่อหน้าทหารหนึ่งแสนนายว่า

    “ซางถานไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าฝ่าบาทมีความเกี่ยวข้องกับการตายขององค์ชายน้อยทั้งสอง”

    เกิดวันหน้ามีคนต่ำช้ายกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นหาเรื่องเขาจนต้าหวางนึกถือสาขุ่นเคืองขึ้นมาละก็ มันจะหนักหนาสาหัสพอที่จะเอาผิดเขาซางถานด้วยข้อหาสมคบคิดร่วมก่อการกบฏกับเจิ้นเป่ยหวาง ต้องโทษประหารเก้าชั่วโคตรเลยทีเดียว

    ชั่วพริบตานั้นความคิดมากมายนับไม่ถ้วนได้แล่นผ่านสมองของอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย ต่อให้ซางถานหนักแน่นเยือกเย็นจนขึ้นชื่อในตงหลิน ก็ยังมีอันเหงื่อแตกพลั่กชุ่มแผ่นหลัง หน้าถอดสีซีดเผือด อึกอักว่า

    “ฝ่าบาท......ค...ค......คือว่า......”

    “คำถามนี้ตอบยากมากเลยรึ ?” ฉูเป่ยเจี๋ยทำหน้าคล้ายจะยิ้ม “ท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายตอบเพียงแค่ว่า...ท่านคิดว่าเกี่ยวข้อง...หรือไม่เกี่ยวข้อง เท่านั้นก็พอ”

    เมื่อถูกสายตาราวกับอ่านใจออกของฉูเป่ยเจี๋ยจ้องมองมา ซางถานโซเซถอยกายไปสองก้าว

    “เซี่ยกวน(๔)มิกล้า......มิกล้า......” ยกมือขึ้นลูบใบหน้า เหงื่อเย็นเยียบหยดไหลเป็นทางลงมาตามร่องนิ้ว

    “ฮ่าฮ่า......”

    ฉูเป่ยเจี๋ยแหงนหน้าหัวเราะก้องโดยไม่รอให้ซางถานเอ่ยตอบ สีหน้าทั้งเดือดดาลและรันทดอย่างยากจะพรรณนา ชายหนุ่มชะงักเสียงหัวเราะโดยพลัน ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ถามเสียงหนัก

    “วังเจิ้นเป่ยหวาง...ถูกค้นไปแล้วใช่หรือไม่ ?”



    __________________________


    ๑. “กลิ่นอายอัปมงคล” ในที่นี้หมายถึง กองทัพซึ่งเพิ่งผ่านการประหัตประหารกลับมาจะมีกลิ่นอายฆ่าฟันซึ่งถือเป็นความอัปมงคล ส่วนในเมืองที่กำลังไว้ทุกข์ให้องค์ชายน้อยทั้งสองก็มีกลิ่นอายอัปมงคลของความตายเช่นกัน หากกลิ่นอายอัปมงคลทั้งสองมาอยู่ด้วยกัน เกรงว่าจะก่อให้เกิดลางร้ายที่ยากขจัดแก่เมืองหลวง

    ๒. ฟู่หลางหวาง (Fulangwang) เจ้าชายมั่งมีจินดา

    ๓. เปิ่นเฉิงเซี่ยง (benchengxiang) แปลว่า ตัวข้าอัครเสนาบดีผู้นี้ เป็นคำเรียกตัวเองอย่างค่อนข้างหยิ่งผยองในตำแหน่งของอัครเสนาบดี; เฉิงเซี่ยง แปลว่า อัครเสนาบดี

    ๔. เซี่ยกวน (xiaguan) แปลว่า “ขุนนางผู้ด้อยศักดิ์กว่า” เป็นคำเรียกตัวเองของขุนนางเวลาพูดกับขุนนางที่มีตำแหน่งสูงกว่าหรือผู้ที่มีศักดิ์ฐานะสูงกว่า; กวน แปลว่า ขุนนาง

    จากคุณ : Linmou - [ 3 ม.ค. 52 02:10:48 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com