Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    Rivalry ... อิจฉา (ทดลองเขียน) ตอน 1

    หลังจากเคยเขียนแต่วิจารณ์ภาพยนตร์ และเขียนเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ มาหลายอัน ตอนนี้นึกอยากเขียนเรื่องสั้นขึ้นมาบ้าง ....

        นี่เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกที่เขียน (เกือบ) เสร็จ .... ดี ไม่ดีประการใด วิจารณ์ได้เต็มที่เลยครับ ...

                                                        -1-

    “มา ... มากินข้าวกันลูก”  
         แม่พูดเสียงใสพลางเดินจูงมือจอยมากินข้าวที่โต๊ะกินข้าว พ่อยังคงไม่กลับบ้านเหมือนเดิมแม้ว่าตอนนี้จะปาไปเกือบทุ่มหนึ่งแล้ว แม่นั่งกินข้าวไป คอยดูจอยกินข้าว บางก็ต้องคอยเช็ดปาก ป้อนข้าว เก็บเศษข้าวที่จอยตักหกตักหล่น ส่วนผมยังคงต้องมั่งแหมะอยู่ห่าง ๆ เพื่อรอกินข้าวกับเจ้าตัวเล็กนี่เสียก่อน เสร็จแล้วผมถึงจะได้กินข้าวต่อทีหลัง

         ผมไม่เข้าใจเลยว่า ผมที่อยู่ก่อนเจ้าตัวน้อยนี่ถึง 6 ปี  แต่แค่เพียงปีกว่าที่จอยเข้ามาในบ้าน ผมก็เหมือนตกกระป๋องลงไปทันทีตั้งแต่นั้นมา โลกที่มีเพียงผม พ่อ และแม่ กลายเป็นสี่ ที่มีผมเป็นส่วนเกินไป

        ผมจำวันแรกที่แม่อุ้มตัวอะไรสักอย่างที่คล้าย ๆ ตุ๊กตาตัวเล็กๆ ไว้ในอ้อมกอดเข้ามาในบ้านได้ แม่เรียกเจ้าตัวนี้ว่า “จอย” วันแรกที่พ่อพาแม่และจอยกลับมาที่บ้าน มีการจัดการเลี้ยงกันอย่างยิ่งใหญ่หนุกสนาน มีพ่อ แม่ น้องสาวของพ่อ แม้แต่ ปู่กับยาก็มาฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ที่บ้าน ผมไม่เข้าใจเลยว่าทุกคนดีใจอะไรกันขนาดนั้น พ่อแม่สลับกันร้องเพลงคาราโอเกะอย่างยิ้มแย้มไม่เว้นแม้แต่ ปู่กับย่าที่บางทีก็เข้ามาร้องเพลงเก่า ๆ อะไรไม่รู้ที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วย  บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนาม แต่ผมกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองถูกลืม ไม่มีใครสนใจ เหมือนตัวเองเล็กลง เล็กลงเรื่อย ๆ จนหายไป
       
        ผมทดสอบดูด้วยการ ลองเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นที่ทุกคนอยู่ แต่ก็ไม่มีใครรู้ ทุกคนยังร้องเพลง เต้นกันอย่างสนุกสนานเหมือนเดิม โดยที่ไม่มีใครรู้ว่า”ผม” หายไปจากห้องแล้ว คืนนั้นผมได้แต่นอนน้อยใจอยู่บนเตียงตามลำพัง

        ผมนั่งกินข้าวอยู่ในห้องครัวเพียงลำพัง ส่วนแม่พาจอยไปอาบน้ำแล้ว บรรยากาศเวลาที่ต้องกินข้าวคนเดียวนี่ช่างรู้สึกเงียบเหงาเหลือเกิน ห้องครัวพร้อมโต๊ะอาหารขนาดนั่งได้ 4-5 คนแม้จะไม่ใหญ่โตมากมายอะไร แต่พอตอนนี้ที่มีผมเพียงคนเดียว ห้องกลับดูกว้างเหลือเกิน ผมนั่งกินข้าวไปอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้หิวหรืออยากกินอะไร ภายในใจยังคิดลอยไปถึงเมื่อสองปีก่อน ผมกับพ่อ แม่ยังนั่งกินข้าวร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตาอยู่เลย .... คิดแล้วผมได้แต่ถอนหายใจ ....เฮ้อ ....

        ครอบครัวของผมตอนนี้มีสมาชิกอยู่ทั้งหมด 4 หน่อ พ่อผมเดิมทำงานเป็นพนักงานธนาคารสาขาเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง แต่ปีนี้เท่าที่ได้ยินพ่อคุยกับแม่มา รู้ว่าพ่อได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการแล้ว ทำให้ระยะหลัง ๆ นี้พ่อยุ่งขึ้น กลับบ้านดึกบ่อย ๆ ยิ่งช่วงท้าย ๆ ปีหรือกลางปีพ่อจะกลับดึกมาก   ส่วนแม่ผมนั้นไม่ได้ทำงานเลยตั้งแต่ผมจำได้ แม่ดูแลบ้านมาตลอด ผม หรือที่พ่อแม่เรียกว่า “ปัง”  ผมอายุ 7 ขวบกว่า ๆ แล้ว  ส่วนสมาชิกคนสุดท้ายก็คือ จอย ที่ตอนนี้อายุได้ประมาณปีครึ่งแล้วมั๊ง

         จอยเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก จอยยังพูดได้แค่ไม่กี่คำ เห็นพูดได้แต่ “แม่” “พ่อ” “หม่ำ” “กิน” “หมา” “เล่น” และคำอื่น ๆ อีกไม่กี่คำ  แต่กลับเดินได้เก่งทีเดียวทั้ง ๆ ที่สี่ ห้าเดือนก่อนยังเดินไม่ค่อยได้อยู่เลย ผ่านมาตอนนี้จอยเดินไปมาทั่วบ้านไม่หยุด หยิบโน่นหยิบนี่ บางทีก็มาหยิบของเล่นของผมไป เอาไปทิ้งบ้าง ปาเล่นบ้าง แต่ผมก็ไม่เคยเห็นแม่จะบ่นว่าอะไร

         ผมอยู่ในบ้านเล็ก ๆ ชั้นเดียว มีห้องนอน 2 ห้อง มีห้องรับแขก มีห้องครัว บ้านผมถ้าเทียบกับบ้านเพื่อนที่ผมเคยไปเห็นมาบ้านผมดูเล็กกว่ามาก  คงเพราะพ่อเองพูดบ่อย ๆ ว่าเงินเดือนพ่อไม่มาก ทุกวันนี้ยังเป็นหนี้ธนาคารอยู่เลย ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่ผมก็รู้สึกว่าแค่นี้บ้านก็กว้างพอแล้ว ภายในบ้านผมยังมีสวนเล็ก ๆ ซึ่งแม่ผมชอบเอาดอกไม้มาปลูก มีที่ว่างพอให้ พ่อและผมมาเล่น ออกกำลังกายได้  

         ประตูหน้าบ้านผมเป็นแบบประตูเหล็กที่ต้องเลื่อนไปด้านข้าง ซึ่งหนักเอาการผมเปิดเองแทบไม่ไหว แต่พ่อผมชอบเปิดทิ้งไว้บ่อย ๆ เวลาที่ขับรถออกจากบ้าน จนแม่บ่นเป็นประจำว่า ทำไมพ่อถึงไม่ยอมลงมาปิดประตูบ้างนะ

         เสียงรถที่ดังมาจอดหน้าบ้าน ตามมาด้วยเสียงเลื่อนประตูดังเอี๊ยด ๆ ลั่น และตามด้วยเสียงรถที่ขับเข้ามาจอดภายในบ้าน แสดงว่าพ่อกลับมาจากทำงานแล้ว แม่จูงเจ้าตัวเล็กเดินไปที่ห้องรับแขกทันที ส่วนผมเดินตามไปแบบห่าง ๆ

    “กลับดึกเชียวที่รัก”

    “เฮ้อ ... เหนื่อยมากเลย ช่วงสิ้นปีเป็นแบบนี้ทุกทีเลย กว่าจะได้กลับบ้าน”  พ่อกลับมาพร้อมกระเป๋าทำงานสีดำ และถุงในมืออีกสองสามใบ

         “ว่าไงนางฟ้าตัวน้อย พ่อมีอะไรมาให้ด้วย” พ่อยิ้มกว้าง พร้อมกับล้วงเอากล่องของขวัญขนาดย่อม ๆ ใบหนึ่งออกมายื่นให้จอย  แต่จอยคงยังเด็กไปมั๊ง เลยไม่รู้ว่ามันคือกล่องของขวัญ ได้แต่เอามาถือไว้ทำท่างง ๆ

        “Merry Christmas นะ” พ่อหันมาพูดกับแม่ และยื่นกล่องของขวัญขนาดเล็กกว่ามาให้แม่

        “Merry Christmas เช่นกันค่ะ ขอบคุณนะคะ” แม่ยิ้มด้วยท่าทางดีใจอย่างเห็นได้ชัด

        ผมยืนตาปริบ ๆ มองดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ พร้อมกับมองหน้าพ่อเอียงหน้าด้วยความสงสัยว่า ไม่มีของผมด้วยหรือ ??? แต่พ่อก็ยังไม่ได้ว่าอะไร ทุกคนเดินเข้าไปนั่งกันในห้องรับแขก ผมเดินตามเข้าไปด้วย ด้วยความคิดว่า เผื่อจริง ๆ แล้วพ่อก็คงซื้อของให้ผมด้วย เพียงแต่ลืมยังไม่ได้ให้ แล้วคงเอามาให้ผมทีหลัง

        ในห้องทุกคนแกะของขวัญออก แม่ดูดีใจมากที่ได้ตุ้มหูอันเล็ก ๆ อันใหม่ ที่ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่า ไอ้ของติดหูพวกนี้มันดียังไง ทำไมแม่ถึงต้องดีใจขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่ผมก็เคยเห็นว่าแม่ก็มีไอ้ที่ติดหูแบบนี้ตั้งไม่รู้กี่อัน แม่ช่วยจอยแกะกล่องของขวัญ ภายในกล่องเป็นตุ๊กตาหมี ขนาดกำลังดี ดูจอยจะชอบมันมาก เพราะพอแกะเสร็จจอยก็เอามาอุ้มไว้ตลอดไม่ยอมปล่อยอีกเลย พ่อเองก็ดูพออกพอใจมากี่จอยชอบ
         ผมเดินเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อจะดูว่าตุ๊กตาหมีตัวนี้มันดียังไงเหรอ แต่ยังไม่ทันแตะโดน แม่ก็พูดเสียงดัง พร้อมทำหน้าดุ  
          “ปัง อย่าไปยุ่งของน้องนะ”

         ผมตกใจ ก้าวถอยหลังกลับมา ผมแค่ตั้งใจจะเข้าไปดูเฉย ๆ ไม่ได้จะไปทำอะไรซักหน่อย ผมเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ คนเดียว คิดว่าของขวัญคงไม่มีแน่แล้ว  ที่จริงบรรยากาศแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว จนเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ไปแล้วของบ้านนี้ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไม พ่อแม่ถึงรักน้องมากกว่าผม  


                                                        -2-


         ที่ผ่านมาผมเคยพยายามสู้เพื่อให้พ่อแม่กลับมารักผมมากกว่า ผมเคยพยายามตื่นแต่เช้าตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เพื่อเข้าไปปลุกพ่อกับแม่ เพราะแม่พูดบ่อย ๆ ว่าเด็กดีอย่าตื่นสาย แต่แทนที่พ่อและแม่จะดีใจ กลับไล่ผมออกไปจากห้องซะงั้น แต่พอจอยร้องไห้เสียงดังขึ้นมาทุกคนกลับรีบเข้าไปรุมล้อม ให้ความสนใจกันหมด

         ผมเคยทำลองด้วยวิธีอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นลงไปร้องดิ้นอยู่กับพื้น ซึ่งผมเลียนแบบมาจากจอย แต่พบผมทำบ้าง พ่อ แม่กลับได้แค่หันมามองนิดนึง แล้วส่ายหน้าหัวเราะอะไรกันไม่รู้เบา ๆ  แล้วหันไปเล่นกับจอยต่อไป จนเดี๋ยวนี้ผมเริ่มรู้แล้วว่าไม่ว่าทำยังไงผมก็คงจะสู้จอยไม่ได้

         ผมหนีเข้ามาอยู่ในห้องนอนพ่อแม่ เพราะไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหน ได้แต่นอนซึมซับบรรยากาศเดิม ๆ พอตกดึก แม่ก็เข้ามาในห้องไล่ผมออกไปอยู่ข้างนอก แต่เดิมดีผมก็เคยได้นอนห้องเดียวกับพ่อและแม่นี่แหละ พอผมโตขึ้นหน่อย ก็ได้ไปนอนห้องอีกห้องที่ว่างอยู่คนเดียว แต่เดือนหนึ่งที่ผ่านมา แม่ก็ยกห้องให้กับจอยแทนที่ผม แล้วผมก็โดนไล่ออกมาอยู่ที่ห้องรับแขกพร้อมที่นอนอันเล็กแทน แม่บอกไม่อยากให้ผมไปกวนน้อง และกลัวน้องจะไม่สบาย

         ที่จริงการนอนในห้องรับแยกก็ไม่ได้แย่มากมายอะไร ผมเองก็ไม่ได้กลัวผี นอนคนเดียวได้ แถมจริง ๆ ห้องรับแขกก็ใหญ่กว่าห้องนอนเดิมที่ผมอยู่ด้วยซ้ำ แต่หลาย ๆ คืนที่นอนคนเดียวแล้วยังไม่หลับ มันก็รู้สึกเหงา ๆ เจ็บจี๊ด ๆ ในใจอย่างประหลาด บอกไม่ถูก

         ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พักหลัง ๆ ผมมีความคิดว่า ยังไงซะผมก็คงไม่มีทางชนะจอยได้แน่ ๆ แต่ถ้าจอยไม่อยู่ซะคน ทุกอย่างก็คงดีขึ้น ผมก็คงกลับมาเป็นที่หนึ่งอีกครั้ง ผมรู้ว่ามันเป็นความคิดที่ไม่ดี แต่หลาย ๆ ครั้งมันก็เข้ามาในหัวผมเองเหมือนกระแสน้ำที่ไหลท่วมมาเรื่อย ๆ หลายครั้งผมก็ไม่อยากจะคิด แต่ทุกครั้งที่ความอิจฉามันมากขึ้น ความคิดนี้มันก็ผุดออกมาจนคิดไปถึงจะทำวิธีไหนดีน้องถึงจะหายไป โดยผมไม่ถูกพ่อแม่ลงโทษ

            ผมคิดอยากจะทำให้น้องจมอ่างอาบน้ำตาย แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะทำยังไง เพราะแม่ก็อยู่บ้านทั้งวัน  โอกาสที่ผมจะพาจอยเข้าห้องน้ำด้วยคงยากเต็มที  หรืออยากพลักจอยให้รถชน แต่ทุกครั้งที่ออกบ้านแม่จะจูงมือจอยไว้เอาตลอดเวลา



                                                         -3-



        วันนี้วันเสาร์ พ่อ แม่ พาจอยไปเล่นที่สวนสาธารณะภายในหมู่บ้าน ผมเดาว่าที่พ่อ แม่ให้ผมตามมาด้วยไม่ใช่เพราะอยากพาผมมาหรอก แต่คงไม่กล้าที่จะทิ้งผมไว้ที่บ้านคนเดียวมากกว่า คงกลัวว่าผมจะทำอะไรซักอย่างในบ้านพังอีก

         แม่พาจอยไปเล่นของเล่นเด็กที่มีอยู่หลายชิ้นในสวน เช่นกระดานลื่น กระดานหก ม้าหมุน หรือว่าสนามไว้ก่อกองทราย ในสวนมีเด็กคนอื่น ๆ อีกสองสามคน ระหว่างที่พ่อแม่พาจอยไปเล่น ผมก็เริ่มเดินไปรอบ ๆ ภายในสวนถือว่ากว้างทีเดียว มีโต๊ะหินอ่อนให้นั่ง มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นหลายต้น ทำให้บรรยาศร่มรื่นดี ในสวนยังมีทางเอาไว้ให้วิ่งออกกำลังกายรอบสวนอีกด้วย  ไม่ว่าพ่อแม่จะพอผมออกมาเพราะอะไรก็ตาม แต่ผมก็พอใจที่ได้ออกมา เพราะการอยู่แต่ในบ้านทุกวัน ๆ ก็ทำให้ผมเบื่อ

         ขณะที่ผมกำลังเดินเล่นอย่างเพลิน ๆ ก็มีเจอผู้หญิงคนหนึ่ง เธอยืนยิ้มมาทางผมพร้อมกวักมือเรียก

        “มานั่งด้วยกันไม๊” เธอชวนอย่างอารมณ์ดี

         ดูท่าทางเธอน่าจะอายุสักยี่สิบกว่าแล้ว ดูเป็นผู้ใหญ่ ผมยาวประบ่าสีดำ ในชุดเสื้อยืด กางเกงขาสั้น ดูแล้วเธอคงพึ่งออกกำลังเสร็จ เพราะมีเหงื่อเต็มหน้า

         เธอชวนผมไปนั่งเล่นด้วยกันที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เธอนั่งลงกับพื้นเอาหลังพิงต้นไม้ใต้เงาอันร่มรื่น มีลมพัดเบา ๆ เธอยื่นขนมโคลอนที่กินอยู่มาให้ตรงหน้าผม ผมรับมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่เมื่อได้กินลงไปก็หายกลัวเป็นปลิดทิ้ง เพราะผมไม่ได้กินขนมแบบนี้มานานแล้ว เมื่อก่อนแม่ยังพอให้ผมกินบ้าง แต่ช่วงหลัง ๆ นี้ผมก็ไม่ได้กินอีกเลย

         เธอบอกว่าเธอชื่อ “มาย”  เธอพูดอะไรหลายอย่างกับผม เธอบอกว่าเธออยู่ในหมู่บ้านนี้แหละ เธอชอบมาที่นี่ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ตอนเย็นเพราะอากาศดี และบางทีก็มาวิ่งออกกำลังด้วย  เธอบอกว่าโชคดีที่ในหมู่บ้านมีสวนแบบนี้ เพราะทุกวันนี้จะหาที่ ๆ มีต้นไม้เยอะ ๆ ในเมืองใหญ่ ๆ แบบนี้แทบจะไม่มีแล้ว

         ผมนั่งเล่นอยู่กับเธอนานจนกระทั่งแม่เรียกให้กลับ ผมจึงเดินแยกออกมากลับไปหาพ่อ แม่

    มาเติมให้จนจบแล้วครับ

    แก้ไขเมื่อ 07 ม.ค. 52 19:06:17

    แก้ไขเมื่อ 07 ม.ค. 52 16:42:12

    แก้ไขเมื่อ 07 ม.ค. 52 16:36:21

    จากคุณ : ผมอยากที่จะเชื่อ - [ 7 ม.ค. 52 16:32:59 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com