ดาวแข่งแสงระยิบย้อยพร้อยพราวราวเกล็ดแก้วอันสอดสอยร้อยปักอยู่เต็มผ้าดำผืนใหญ่ หมู่เรไรระงมระงำพร่ำเพรียกอยู่โดยรอบป่าละเมาะสองข้างถนนลาดยางข้าพเจ้ากับอ้ายหล้านักรบแห่งกองพันทหารราบที่ 5 กรมทหารราบที่ 7 ยืนถือปืนเอ็ม 16 เอ 2 กราดสายตาโดยรอบ อยู่หน้าป้อมจุดตรวจประจำหมู่บ้านบาแงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ภาพเหตุการณ์คนร้ายซุ่มโจมตีป้อมและจุดตรวจต่าง ๆ ในอำเภอกรงปินังเมื่อสองวันก่อนยังวิ่งแวบวาบอยู่ในสมองและบั่นทอนขวัญกำลังใจพวกเรายิ่งนัก ข้าพเจ้าหรุบสายตาลงมององค์จตุคามรามเทพที่ได้รับแจกเมื่อวันวานด้วยหวังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์นี้จะช่วยสำรวมกำลังทางวิญญาณให้แก่ข้าพเจ้าอีกครั้ง ส่วนอ้ายหล้าก้มหน้าลงขยับปากมุบมิบพลางหลับตา สักพักก็เงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองทางอื่นราวกับกลัวข้าพเจ้าจะเอ่ยถามถึงคำอธิษฐานในใจ
ข้าพเจ้ากับอ้ายหล้าเป็นพี่น้องกัน เราสองคนจับได้ใบแดงในการเข้าเกณฑ์ทหาร มันคือความภาคภูมิใจของเราในการรับใช้ประเทศชาติ แต่วันที่เราสองพี่น้องถูกส่งลงภาคใต้เพื่อเข้าร่วมปฏิบัติการกับเจ้าหน้าที่ทหารชุดคุ้มครองครูเฉพาะกิจที่จังหวัดยะลา ข้าพเจ้ากลับเห็นหยาดน้ำตาของผู้เป็นแม่ แม่ที่มีเราเพียงสองคนและหวังจะเป็นผู้สืบทอดตระกูลต่อไปในวันหน้า ข้าพเจ้าเข้าใจหัวอกผู้เป็นแม่อย่างดี แต่หน้าที่นั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งไหน
ณ ค่าย อิงคยุทธบริหาร ข้าพเจ้าเห็นนักรบทั้งชุดดำและชุดแดงมากมาย พวกเขาเหล่านั้นมีสีหน้าที่มุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว แววตาของเหล่าผู้กล้าที่มองมายังพวกเราช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก
วันแล้ววันเล่าที่พวกเราต้องยืนถือปืนอยู่ใต้ฟ้ากว้างที่พร่างพรายไปด้วยเกล็ดดาว แต่บางคืนเล่าฟ้ากว้างนั้นกลับมืดมิดเต็มไปด้วยความเหงาและกลิ่นความตายระบายอยู่โดยรอบ บางวันมีสายฝนเป็นเพื่อนและมีมัจจุราชเป็นนายคอยดูอยู่ทุกชั่วยาม
พวกเราถูกกลุ่มคนร้ายซุ่มโจมตีอยู่บ่อยครั้ง เจ็บและตายกันก็หลายคน หัวใจของเด็กหนุ่มอย่างพวกเราไม่ได้แกร่งเยี่ยงเพชร ไม่ได้ทำจากเหล็กกล้า มันจึงเปราะบางและหวาดหวั่นเมื่อเห็นเลือดและภาพสยดสยองของผองเพื่อนและผู้บังคับบัญชาที่ถูกอาวุธสงครามของพวกโจรร้ายถล่ม พวกเราทุกคนเพรียกหาสันติภาพอันงามเงื่อนอยู่เสมอ แต่ทุกวันที่ผ่านไปนั้นพวกเรากลับอยู่อย่างไร้ความหวัง
ดึกดับหัวรุ่งคนยังเซานอนทุกครัวเรือน อุษาเทวีกับอรุณเทพบุตรกำลังจะมาถึง เมื่อใดที่ตะวันยิ้มพรายกับชายฟ้า เมื่อนั้นคือเวลาวิเศษสุดสำหรับเราสองคนพี่น้องเพราะภารกิจของเราจะสิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์
ก่อนกลับบ้านอย่าลืมซื้อของฝากแม่ล่ะ
อ้ายหล้าหันมาชวนข้าพเจ้าคุยซึ่งช่วยลดความตึงเครียดของบรรยากาศโดยรอบได้ดีทีเดียว
ก็ต้องแวะซื้อด้วยกันทั้งสองคนนั่นแหละ ยังกะจะให้ผมกลับบ้านคนเดียว
ก็พูดเตือนไว้ กลัวลืม
อ้ายหล้าเงียบไป หันไปหยิบบุหรี่เหน็บมุมปาก หยิบไลท์เตอร์จุดอัดควัน แล้วไม่พูดอะไรอีก
ลมเอื่อยมาอ่อน ๆ เทียวไล้ใบหน้าข้าพเจ้ารู้สึกเย็นสบายคลายความเคร่งเครียดลงโข หิ้งห้อยตัวน้อยจุดไฟส่องก้นวิบ ๆ วับ ๆ ลอยผ่านหน้าข้าพเจ้า บนฟ้ากว้างนั้นยังดารดาษด้วยหมู่ดาวพราวพร่าง ชั่วแวบนั้นปรากฏดาวตกเป็นประกายสุกสว่างลงจากฟ้า ทันทีที่แสงบรรเจิดจ้านั้นลับผ่านตา เสียงปืนนัดหนึ่งก็คำรามขึ้น ไม่รู้มาจากทิศทางไหน ข้าพเจ้าทิ้งตัวหลบลงตรงบังเกอร์กระสอบทรายโดยสัญชาติญาณพร้อมปลดเซฟปืนเอ็ม 16 เอ 2ลงทันที
:-)
ข้าพเจ้าสบถออกมาพร้อมหันไปมองอ้ายหล้าว่ารอดพ้นจากคมกระสุนลูกนั้นหรือไม่
ให้ดิ้นตายเหอะ อ้ายหล้าบัดนี้นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นมีเลือดไหลทะลักออกมาจากหน้าอกด้านขวาไม่ยอมหยุด ข้าพเจ้าผวาวาบในหัวใจ รู้สึกเหงื่อผุดพราวไปทั้งตัว หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง แต่พยายามตั้งสติแล้วระรัวปืนไปรอบทิศทางราวกับคนเสียสติ ประกายไฟพุ่งแวบออกจากปากกระบอกปืนกังวานก้องกึก เมื่อใดที่ความกลัวอยู่รอบกาย ความตายอยู่รอบตัวก็จะกลับกลายเป็นความกล้าบ้าบิ่นขึ้นมาทันที
วินาทีนั้นข้าพเจ้าเตรียมสู้ตายถวายชีวิต พยายามมองหากลุ่มคนร้ายแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา หรือพวกมันแค่มาสร้างความปั่นป่วนแล้วหลบหนีไปแล้ว ในสถานการณ์เป็นตายเช่นนั้น ข้าพเจ้าปล่อยความคิดไหลไปเรื่อยเปื่อย เมื่อหันไปมองร่างอ้ายหล้าที่แน่นิ่งจมกองเลือดอยู่บนพื้น ทำนบกั้นน้ำตาของข้าพเจ้าก็พังทลายลง
อีกไม่กี่ชั่วโมงเราสองคนพี่น้องก็จะปลดประจำการแล้ว จะได้กลับบ้านไปหาแม่ที่นับวันคืนรอคอยพวกเราอยู่ แต่ตอนนี้ทุกอย่างกำลังรางเลือนอยู่ในความฝัน ไม่รู้อ้ายหล้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร จะได้กลับไปพบหน้าแม่หรือไม่ ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าฟุ้งซ่านมากเท่านั้น
ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังครุ่นคิดเจียนคลั่ง ก็ปรากฏไฟหน้ารถสว่างเป็นลำมายังจุดตรวจป้อมยามที่ข้าพเจ้าเข้าเวรอยู่ พร้อมกับเสียงรถที่ครางกระหึ่มตามมา ข้าพเจ้าหันไปมองตามทิศทางเสียงนั้น เมื่อเห็นรถคันดังกล่าวก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก รถฮัมวีสีเขียวลายพรางวิ่ง ฝ่าความมืดมาทางข้าพเจ้า พร้อมกับเพื่อนทหารอีกหลายนายที่มาช่วย ข้าพเจ้ารีบปลดปืนออกจากไหล่แล้ววางลงพื้นแล้วเข้ามากอดร่างอ้ายหล้า พยายามปฐมพยาบาลตามที่ได้เรียนมาแต่ก็ไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะบัดนี้ร่างที่แน่นิ่งอยู่นั้น ไร้ลมหายใจเสียแล้ว
ข้าพเจ้าคุกเข่าลงข้างร่างอ้ายหล้า น้ำตาไหลอาบร่องแก้มเป็นทางยาวหมดสิ้นความเป็นชายชาตินักรบ ไหล่สองข้างข้าพเจ้าสัมผัสถึงความอบอุ่นของฝ่ามือเพื่อนร่วมค่ายที่แตะลงมาเบา ๆ พร้อมกับคำปลอบโยนต่าง ๆ นานา ข้าพเจ้านั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นยาวนานแค่ไหนมิอาจรับรู้ แต่เมื่อใครคนหนึ่งดึงแขนข้าพเจ้าลุกขึ้นก็ปรากฏว่าตะวันเปล่งแสงอยู่โดยรอบเสียแล้ว
*เวลาเราตายเรามักจะติดเอาควาฝันที่ฝังอยู่ในหัวใจเป็นครั้งสุดท้ายไปกับวิญญาณของเราด้วยและในโลกใหม่พ้นชีวิต เราจะอิ่มเอมอยู่ในความฝันนั้น
ขอให้อ้ายหล้าสู่สุขศาลาในสัปรายิกภพเทอญ.
--------------------------------------------------------------------------------
*จาก เหว่
ใครใช้-งกบฏ โดย อิศรา อมันตยกุล
มอบแด่ พลทหาร ประเสริฐ แห่งหน่วย ฉก. ยะลา 13
7/1/52
จากคุณ :
Daendin
- [
8 ม.ค. 52 01:04:53
]