Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    การเดินทางแห่งชีวิต

    มีคนเคยพูดว่าชีวิตต้องเดินไปตามวิถีทางของมัน คำว่า”วิถีทาง”นั้นหลายๆคนยังคงหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้โดยเฉพาะวิถีทางแห่งชีวิต

    บางคนเดินไปเพราะความต้องการของตัวเอง แต่บางคนจำต้องเดินเพราะความจำเป็น สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน เปรียบได้เฉกเช่นรถยนต์ บางคนขับตรง บางคนเลี้ยวขวาเลี้ยวซ้าย เป็นไปได้หลายรูปแบบ

    สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วเกิดจากความต้องการของคน โดยการสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาเพื่อให้เกิดระเบียบวินัยในการดำรงชีวิต และให้เป็นไปตามแบบแผนตามข้อกำหนดที่ได้วางไว้

    แต่สำหรับวิถีทางแห่งชีวิตจะเป็นไปในทางไหนนั้น ทุกคนไม่อาจจะหยั่งรู้ความจริงในอนาคตได้ สิ่งเดียวที่ทำได้นั่นก็คือการคาดเดา การเสี่ยง หรือแม้แต่การลงทุน

    การลงทุนในที่นี้หมายถึงการลงทุนแห่งชีวิต เพื่ออะไรคำตอบเห็นได้ชัดเจนเพื่อความอยู่รอดนั่นเอง

    แต่สำหรับหลายๆคนแล้วยังคงเชื่อว่าวิถีทางแห่งชีวิตนั้นเกิดจากพรมลิขิตที่ได้กำหนดเอาไว้แล้ว ใครจะมากหรือน้อยย่อมขึ้นอยู่กับสิ่งที่ได้สร้างมาเมื่อในอดีตชาติและในชาติปัจจุบัน หรือแม้แต่วิถีทางแห่งความรักก็เช่นกัน…

    มันจึงกลายเป็นเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่ฉันได้มีโอกาสได้สัมผัสชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งเรียกได้ว่า เป็นการเดินทางแห่งชีวิตซึ่งตัวฉันเป็นคนกำหนดมันขึ้นมาเอง เพื่อมอบความสุขให้กับตัวเองในขณะที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยมานานเป็นปี

    แต่อย่างไรก็ตามการเดินทางในครั้งนี้ยังขาดคนสำคัญที่ฉันต้องการให้ร่วมทางไปด้วยนั่นก็คือ เพื่อนสนิทและครอบครัว ซึ่งถ้าหากเป็นไปได้ความสุขที่ฉันจะได้รับคงมากกว่าสิ่งใดเทียบได้ ประสบการณ์แห่งการเดินทางให้อะไรกับฉันบ้างลองมาอ่านกันดูนะคะ

    วันนี้ฉันได้มีโอกาสมาทำบุญที่ดอยอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มต้นออกเดินทางจากรุงเทพฯในเวลา สามทุ่มกว่าๆ เพื่อให้ไปถึงยังจุดหมายในเวลาเช้าของวันใหม่ที่โน่น

    เมื่อทุกคนมาพร้อมหน้ากันหมดแล้ว รถเริ่มเคลื่อนตัวออกจากกรุงเทพฯมุ่งสู่ปลายทาง สิ่งแรกที่สัมผัสได้นั่นคือ ความตื่นเต้นและความสุขที่กำลังเริ่มต้นจะได้รับ

    ในระหว่างที่นั่งอยู่บนรถ สายตามองลอดผ่านกระจกบานใหญ่ แสงไฟที่คอยสาดส่องอยู่ริมทางกับคืนที่มืดสลัว บอกได้เลยว่าความตื่นเต้นในช่วงแรกมันหายไป เพราะเกิดความเหงาขึ้นมาแทน

    ในช่วงเวลานี้กลับทำให้ฉันย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องราวต่างๆในอดีต มีทั้งความสุขและทุกข์รวมทั้งเสียงหัวเราะและร้องไห้ ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ได้รับและไม่ได้ทำ

    ทุกครั้งที่คิดถึงชีวิตในวัยเด็ก กลับทำให้เสียงหัวเราะมีได้อีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ ฉันยอมรับว่าชีวิตช่วงไหนๆก็ยังคงสู้ชีวิตในวัยเด็กไม่ได้ นั่นแหละที่เรียกว่าความสุขที่สุดของชีวิต

    ไม่นานนักสายตาก็เริ่มหรี่ลงทุกทีๆเพราะความง่วงนอนในเวลาห้าทุ่มกว่าๆ สุดท้ายฉันเผลอหลับตอนไหนไม่รู้  ตื่นขึ้นมาอีกทีกลายเป็นเช้าของวันใหม่ไปแล้ว และในตอนนี้เองฉันได้มาถึงเชียงใหม่เรียบร้อยแล้ว

    สัมผัสแรกที่ก้าวลงจากรถ รู้สึกเย็นยะเยือกเพราะมีลมพัดอ่อนๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันหันไปยิ้มได้ นั่นก็คือคำทักทายแบบภาษาพื้นเมือง “สวัสดีเจ๊า” ฟังแล้วไพเราะเสนาะหู เป็นอะไรที่ชอบมากๆ

    เมื่อทุกคนพร้อมแล้วขบวนรถขับตามกันไปติดๆ เพื่อพากันไปยังจุดหมายแห่งที่สองของการเดินทางในทริบนี้ ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึง

    ทุกคนได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากเจ้าของบ้าน เมื่ออิ่มหนำสำราญสบายกายกันหมดแล้ว พวกเราก็พากันออกเดินทางไปยังจุดหมายที่สามคือดอยอ่างขางนั่นเอง

    เราใช้เวลาในการเดินทางประมาณสามชั่วโมง ตลอดเส้นทางจะต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเดินทางเป็นอย่างมาก เพราะสองข้างทางเต็มไปด้วยเหวลึก เรียกได้ว่าเป็นหนทางแห่งความตายเลยก็ว่าได้

    กว่าจะไปถึงยังจุดหมายฉันรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก อาจเป็นเพราะช่วยคนขับเบรกทุกครั้งที่เป็นทางโค้ง หรือว่าขึ้นในพื้นที่สูง

    แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่ได้ทำให้ฉันละสายตาจากสองข้างทางไปได้เลย เพราะว่าความสวยงามของภูเขามันโดดเด่น เย้ายวนตาไม่อาจทำให้หันไปสนใจอย่างอื่นได้ มันสวยมาก สวยจนทำให้ฉันเพ้อฝันและจินตนาการ

    สักวันหนึ่งหากมีโอกาส จะกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างสงบ นั่นคือความจริง…

    เราต่างขนย้ายสัมภาระของใครของมันเพื่อไปเก็บยังห้องพัก ที่ทางเจ้าหน้าที่ได้จัดสรรไว้ให้แล้ว

    สำหรับห้องฉันนั้นเราพักรวมกันทั้งหมด 5 คนด้วยกัน แต่ละคนนิสัยน่ารักและเป็นกันเองมาก ทำให้ฉันไม่รู้สึกประหม่าและเป็นส่วนเกินในกลุ่ม เราต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

    ฉันขอตัวออกมาด้านนอกระเบียงด้านหน้าของห้องที่ถูกจัดไว้สำหรับเป็นที่นั่งชมวิว

    เมื่อมองออกไปด้านหน้าเห็นภูเขาเรียงรายซ้อนกันอยู่ประมาณ 2-3 ลูก สีเขียวชอุ่มด้วยความอุดมสมบูรณ์

    ยิ่งฉันเห็นความสวยงามของธรรมชาติมากเท่าไหร่ ฉันยิ่งคิดถึงคนใกล้ชิดมากเท่านั้น อยากให้พวกเขาได้มาชื่นชมธรรมชาติอันสวยงาม ณ แห่งนี้บ้างเช่นกัน

    หลังจากนั้นทุกคนต่างพากันไปเดินซื้อของฝากกันที่ตลาดอ่างขาง อากาศที่นี่หนาวมากๆ อุณหภูมิราวๆ 3 องศาเซลเซียส แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับหลายๆคนเลย ยิ่งได้เดินเที่ยวมากเท่าไหร่ยิ่งดี ถือได้ว่าเป็นกำไรชีวิตในการได้มาเที่ยวครั้งนี้

    แม่ค้าที่นี่ส่วนใหญ่มีเชื้อสายจีน พูดไทยไม่ค่อยชัด แต่มารยาทในการเรียกลูกค้าต้องยกนิ้วให้ว่าดีเลิศ

    ฉันได้ของฝากหลายอย่างเต็มไม้เต็มมือหิ้วกันไม่หวาดไม่ไหว ตื่นตาตื่นใจกับของฝากราคาเป็นกันเองไม่แพงมากนักเมื่อเทียบกับที่เชียงใหม่

    เมื่อได้ของฝากกันครบทุกคนแล้วเราต่างพากันเดินกลับที่พักเพื่อทำกิจกรรมต่อไป

    กิจกรรมสุดท้ายของคืนนี้นั่นคือการกินข้าวและต่อด้วยความสนุกสนานร้องคาราโอเกะ ทุกคนต่างพกพาความมันและเสียงร้องอันไพเราะมาประชันกัน เรียกได้ว่าแทบไม่อยากจะวางไมล์

    บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความสุขที่ทุกคนคิดว่าหนึ่งปีมีหนเดียว จนเวลาล่วงเลยสมควรแก่การพักผ่อนแล้ว

    เราต่างก็พากันแยกย้ายกันกลับห้องพักของใครของมันเพื่อนอนเอาแรง เพราะพรุ่งนี้เช้าจะต้องตื่นแต่เช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งหลายๆคนบอกกล่าวกันมาว่าสวยงามที่สุดมีเฉพาะฤดูหนาว

    เสียงนาฬิกาปลุกฉันแต่เช้าตีสี่ครึ่ง อากาศตอนเช้าๆหนาวมากแทบไม่อยากจะลุกออกจากที่นอน แต่ยังมีสิ่งมหัศจรรย์รอคอยอยู่ ฉันจึงจำเป็นต้องลุกเพื่อไปอาบน้ำเตรียมตัวออกเดินทาง

    เมื่อทุกคนพร้อมกันหมดแล้วเราต่างพากันมายังจุดหมายที่วางไว้ สิ่งแรกที่ฉันทำเมื่อมาถึงคือ การตักบาตรในตอนเช้า ฉันรู้สึกอิ่มบุญเป็นอย่างมากเพราะในวันนี้เป็นวันดีเป็นวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2551

    ความสุขที่ได้ทำยากเกินกว่าจะบรรยายได้ ฉันกวาดสายตาไปทั่วบริเวณนั้นทั้งหมด ผู้คนที่มาเที่ยวกันต่างพากันฮือฮากับความสวยงามของธรรมชาติที่อยู่ด้านหน้า

    ฉันรีบเดินไปร่วมชื่นชมกับพวกเขาและอดใจไว้ไม่ไหว  หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อถ่ายภาพที่สวยงามเหล่านี้เก็บไว้เป็นที่ระลึก รวมทั้งยังถ่ายภาพหมู่ร่วมกันกับเพื่อนๆกันอย่างสนุกสนาน

    หลังจากนั้นเราก็พากันไปถวายกฐินให้กับวัดแห่งหนึ่งที่อยู่บนดอยแห่งนี้ ระยะทางอยู่ห่างจากที่พักของพวกเราไม่มากนัก

    แต่การเดินทางไปยังวัดนั้นค่อนข้างทุลักทุเล อาจเป็นเพราะพื้นที่บริเวณนั้นเป็นภูเขาและลาดชันทำให้เดินเท้าลำบากเมื่อเทียบกับวัดอื่นๆที่ฉันได้มีโอกาสไปทำบุญมา

    แต่อย่างไรก็ตามไม่มีเสียงบ่นจากทุกคน เพราะเราต่างก็รู้ดีว่าการมาดอยอ่างขางในครั้งนี้ เป็นการเดินทางมาทำบุญโดยเฉพาะ ใช่การท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่

    เราต่างก็ได้บุญกันถ้วนหน้าอิ่มบุญไปตามๆกัน นี่ล่ะนะที่เขาพูดกันว่ามาด้วยใจ เมื่อพิธีต่างๆเสร็จสิ้นลง พวกเราพากันกลับไปยังที่พักเพื่อเก็บสัมภาระเดินทางต่อไปยังจุดหมายที่สี่นั่นคือ เชียงใหม่

    ตลอดการเดินทางกลับเราพากันแวะชมความงามของธรรมชาติในสวน 80 ปีสมเด็จพระชนนี รวมถึงสวนส้มที่เต็มไปด้วยลูกส้มเป็นหมื่นเป็นแสนลูกสวยงามมาก ยังแอบถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกเช่นกัน

    เมื่อมาถึงยังจุดหมายที่สี่โรงแรมรัตนโกสินทร์เชียงใหม่ เวลานี้คิดถึงอย่างเดียวคือที่นอนนุ่มๆและผ้าห่มอุ่นๆเหมาะสำหรับอากาศที่หนาวเย็นในคืนนี้เป็นอย่างมาก

    ฉันรีบขนสัมภาระไปยังห้องพักที่จัดไว้ เมื่อไปถึงบอกได้เลยว่าความฝันเป็นจริงเพราะที่พักถูกจัดไว้ห้องละ 3 คน พอดิบพอดีนอนสบายๆคนละเตียง

    กิจกรรมในคืนนี้สนุกไม่แพ้กันมีคาราโอเกะนั่นเอง  โดยมีนักร้องสาวของโรงแรมบริการร้องให้ฟังเหมือนร้านอาหารก็ไม่ปาน

    ความสนุกสนานเริ่มต้นตรงที่ หลายคนต่างพากันไปร้องรำทำเพลง และสลับสับเปลี่ยนกันขึ้นไปสร้างความบันเทิงให้กับคนอื่นๆได้อย่างดีบอกได้เลยว่าไม่มีใครยอมใคร

    ไม่นานฉันขอตัวกลับไปยังห้องพักเพื่อมาเขียนหนังสือให้กับเพื่อนๆได้อ่านกัน เรียกได้ว่าความคิดบรรเจิดนั่นเอง

    วันนี้ก็เช่นเดียวกันพวกเราไปรับประทานอาหารเช้ากันที่การไฟฟ้าผลิตแห่งประเทศไทย หรือโครงการในพระราชดำริของในหลวง

    ที่นี่แหละทำให้ฉันอิ่มอร่อยเป็นอย่างมาก เพราะอาหารมีผักสดๆเห็ดสดๆจากสวน รวมทั้งไข่เจียวอันอร่อยล้ำเลิศ ไม่เคยกินไข่เจียวที่ไหนอร่อยเท่าที่นี่ บอกได้เลยว่าสุดยอด

    บรรยากาศที่นี่ก็เช่นเดียวกันลมพัดและเย็นมากๆ หลังจากอิ่มเอมสำราญกันแล้ว พวกเรามุ่งหน้าต่อไปยัง  ดอยอินทนนท์ สุดเขตแดนสยาม

    พืชพันธุ์ไม้ที่นี่สวยงามและแปลกตา นักท่องเที่ยวเยอะมากดูแล้วระรานตา แต่จุดหนึ่งที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วแทบจะพยุงตัวไม่อยู่นั่นก็คือ การเดินเท้าลัดเลาะไปตามสะพานไม้เพื่อไปสักการะหลวงปู่

    ระยะทางราวๆ 3 กิโลเมตร หรือใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมงในการเดินทางไปยังจุดหมาย เล่นเอาเหนื่อยตามกันเป็นแถบๆ แต่บริเวณสองข้างซ้ายขวาเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด ดูและอ่านป้ายบอกชื่อกันแทบไม่ทันเพราะต้องใช้เวลา

    บางพันธุ์ไม้ไม่เคยเห็นมาก่อนและไม่รู้จัก มาเห็นที่นี่เป็นครั้งแรกยิ่งทำให้ฉันอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก หากมีเวลาอยู่ที่นี่นานสักหน่อยฉันคงจะจดรายละเอียดได้เยอะพอสมควร

    ที่ทำได้ตอนนี้ก็แค่บันทึกวิดีโอไว้เท่านั้น แต่ยังไงก็ไม่รู้เมื่อกลับมาถึงห้องพักระบบมันฟ้องว่าไม่สามารถเปิดได้ แปลกมากๆทั้งๆที่ในตอนแรกฉันเช็คข้อมูลแล้วว่าเปิดได้ คิดเอาล่ะกันว่าเป็นเพราะอะไร

    เมื่อกลับลงมาจากดอยอินทนนท์ พวกเราได้มีโอกาสไปร่วมรับประทานอาหารขันโตกชาวเหนือกันที่ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่

    ฉันรู้สึกมีความสุขและปลื้มใจเมื่อภาพการฟ้อนรำที่อยู่ตรงหน้า เป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมต่อหน้าชาวโลกหลายๆชาติด้วยกัน

    นักท่องเที่ยวที่มาในคืนนี้เต็มไปด้วยชาวต่างชาติอย่างเช่น เกาหลี ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง อเมริกา สวีเดน ฯลฯ  

    หลังจากนั้นฉันก็เดินทางกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อน ส่วนคนอื่นๆอีกหลายๆคนต่างพากันไปเที่ยวท่องราตรีกันต่อ เพื่อให้อิ่มเอมและเต็มอิ่มในการมาท่องเที่ยวกัน

    วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเที่ยวในทริบนี้  ฉันได้มีโอกาสไปสักการะพิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศซึ่งเมื่อได้เข้าไปข้างใน บอกได้เลยว่าอานุภาพแห่งแสงบุญเปล่งประกาย

    รู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งได้เช่าท่านมาเพื่อบูชาด้วยแล้วนั้นยิ่งมีความสุข รู้สึกมีท่านอยู่ข้างกาย

    ไม่ว่าเราจะนับถืออะไรก็ตามล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีต่อตัวเราทั้งนั้น แต่สิ่งเดียวที่จะทำให้ดีหรือไม่ดีนั้นย่อมขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง

    ความศรัทธาทุกคนนั้นย่อมมีได้ แต่จะหวังเพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือเพื่อให้เราร่ำรวยหรือประสบความสำเร็จนั้นย่อมเป็นไปได้ยาก นอกเสียจากว่าเราจะปฏิบัติตัวเราควบคู่ไปกับโชคชะตาและวาสนาไปพร้อมๆกัน อย่างนั้นซิถึงจะเรียกได้ว่าไม่รอฟ้ารอฝน

    ฉันอยากให้คติหลายๆคนรวมทั้งตัวของฉันเอง มีคำสอนบทหนึ่งเมื่อฉันได้อ่านแล้ว รู้สึกทึ่งและคิดว่าใช่เลยสำหรับคนเราปัจจุบัน

    อยากให้ทุกคนได้อ่านและนำไปปฏิบัติเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต อย่างน้อยสิ่งนี้จะช่วยให้เรามีสติและปัญญาในการปฏิบัติตัวต่อไป เป็นคำเทศนาของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เรื่อง “ บุญเราไม่เคยสร้าง ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า “

    “ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด
    เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือ บารมีของตนลงทุนไปก่อน
    เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอ จึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย
    มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมี
    ที่เที่ยวไปขอยืมมาจนล้นตัว เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมาก็ต้อง
    เอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมดไม่มีอะไรเหลือติดตัว
    แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้
    แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง จงจำไว้นะ เมื่อยังไม่ถึงเวลา
    เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้
    ครั้นถึงเวลาทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่
    จงอย่าไปเร่งเทวดา ฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย
    จะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า”

    การอ้อนวอนหรือบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ได้อะไรๆ ตามที่ท่านปารถนานั้นมันก็ขึ้นอยู่กับกฎแห่งความไม่เที่ยงเหมือนกัน

    บางทีก็ได้บางทีก็ไม่ได้ และที่ท่านได้อะไรมา ก็เพราะมันมีเหตุที่จะทำให้ท่านได้สิ่งนั้นอยู่แล้ว

    มันจึงได้มาไม่ใช่มันได้มาเพราะสิ่งอื่นมาช่วยให้ท่านได้มาไม่ใช่อย่างนั้นเลย

    อย่างไรก็ตามแม้ท่านจะได้อะไรๆมาตามที่ปรารถนา แต่สิ่งนั้นก็จะไม่อยู่กับท่านอย่างถาวรตลอดไป

    สักวันหนึ่งมันก็จะสูญเสียไปจากท่านอยู่ดี ดังนั้นผู้มีปัญญาจึงไม่ควรปรารถนาหรืออ้อนวอนเพื่อจะได้จะเป็นอะไรเลย

    เพียงแต่ว่า ท่านทำมันให้ดีที่สุด ต้องการอะไรก็จงใช้สติคิดดูว่าทำอย่างไร จึงจะได้สิ่งนั้นมาด้วยความบริสุทธิ์และถูกต้อง

    แล้วก็ทดลองทำไปตามนั้น ถ้ามีเหตุปัจจัยที่จะได้มันก็จะได้ของมันเอง แต่ถ้าไม่ได้ก็ให้มันแล้วไป อย่าเป็นทุกข์ไปกับมัน

    ฉันได้อ่านและนึกถึงคำเทศนาของเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ทีไร ปลาบปลื้มใจทุกที ว่างๆก็ลองอ่านและคิดด้วยสติดูนะคะ

    กล่าวเรื่องนี้ไปมากแล้วย้อนกลับมาเรื่องของเราดีกว่า เมื่อสักการะองค์พระพิฆเนศเสร็จแล้ว

    พวกเราก็พากันเดินทางไปเดินเล่นถนนคนเมือง ซื้อของฝากกันอีกรอบ ฉันได้ของมาเยอะเหมือนกัน เช่น ไม้แกะสลักรูปนางฟ้า และโคมไฟที่สานด้วยไม้ไผ่

    สวยงามมากราคาก็เป็นกันเองไม่แพงมากเกินไป เดินกันไปจนสุดทางถือโอกาสเข้าไปสักการะพระพุทธสิงห์ ที่วัดพระสิงห์ซึ่งเป็นวัดประจำปีเกิดของปีมะโรงคือปีเกิดของตัวฉันเอง

    เวลาประมาณสองทุ่มเราก็พากันกลับไปยังโรงแรมเพื่อเก็บสัมภาระเดินทางกลับกรุงเทพฯ

    เมื่อทุกคนพร้อมแล้วรถเคลื่อนตัวออกจากเชียงใหม่พร้อมกับความอาวรณ์ไม่อยากกลับ อยากอยู่เที่ยวที่นี่อีกสักหนึ่งอาทิตย์ถ้าเป็นไปได้

    แต่เนื่องจากยังมีภาระหน้าที่รออยู่ข้างหน้า จึงจำเป็นต้องตัดใจปฏิเสธความต้องการของตัวเอง

    ตลอดการเดินทางกลับฉันนอนหลับมาตลอดทางด้วยความเหน็ดเหนื่อย ตื่นอีกทีเมื่อรถมาจอดถึงกรุงเทพในเวลาตีห้าครึ่ง

    เรียกได้ว่าการไปเที่ยวทริบนี้ถือว่าใช้เวลาหลายวัน และเต็มอิ่มกันถ้วนหน้า แถมยังสุขสมอารมณ์หมาย จะขาดก็แต่เพียงอย่างเดียวคือ เพื่อนสนิทนั่นเอง

    ครั้งหน้าไปเที่ยวที่ไหนอีกผู้เขียนจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์การเดินทางมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง หวังว่าคงจะทำให้ผู้อ่านได้รับความสุขและสนุกสนานด้วยเช่นกัน  เจอกันใหม่เรื่องหน้านะคะ...

    แก้ไขเมื่อ 12 ม.ค. 52 22:22:22

    จากคุณ : ปัทมนันท์ - [ 12 ม.ค. 52 21:57:03 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com