มีคนเคยพูดว่าชีวิตต้องเดินไปตามวิถีทางของมัน คำว่าวิถีทางนั้นหลายๆคนยังคงหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้โดยเฉพาะวิถีทางแห่งชีวิต
บางคนเดินไปเพราะความต้องการของตัวเอง แต่บางคนจำต้องเดินเพราะความจำเป็น สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน เปรียบได้เฉกเช่นรถยนต์ บางคนขับตรง บางคนเลี้ยวขวาเลี้ยวซ้าย เป็นไปได้หลายรูปแบบ
สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วเกิดจากความต้องการของคน โดยการสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาเพื่อให้เกิดระเบียบวินัยในการดำรงชีวิต และให้เป็นไปตามแบบแผนตามข้อกำหนดที่ได้วางไว้
แต่สำหรับวิถีทางแห่งชีวิตจะเป็นไปในทางไหนนั้น ทุกคนไม่อาจจะหยั่งรู้ความจริงในอนาคตได้ สิ่งเดียวที่ทำได้นั่นก็คือการคาดเดา การเสี่ยง หรือแม้แต่การลงทุน
การลงทุนในที่นี้หมายถึงการลงทุนแห่งชีวิต เพื่ออะไรคำตอบเห็นได้ชัดเจนเพื่อความอยู่รอดนั่นเอง
แต่สำหรับหลายๆคนแล้วยังคงเชื่อว่าวิถีทางแห่งชีวิตนั้นเกิดจากพรมลิขิตที่ได้กำหนดเอาไว้แล้ว ใครจะมากหรือน้อยย่อมขึ้นอยู่กับสิ่งที่ได้สร้างมาเมื่อในอดีตชาติและในชาติปัจจุบัน หรือแม้แต่วิถีทางแห่งความรักก็เช่นกัน
มันจึงกลายเป็นเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่ฉันได้มีโอกาสได้สัมผัสชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งเรียกได้ว่า เป็นการเดินทางแห่งชีวิตซึ่งตัวฉันเป็นคนกำหนดมันขึ้นมาเอง เพื่อมอบความสุขให้กับตัวเองในขณะที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยมานานเป็นปี
แต่อย่างไรก็ตามการเดินทางในครั้งนี้ยังขาดคนสำคัญที่ฉันต้องการให้ร่วมทางไปด้วยนั่นก็คือ เพื่อนสนิทและครอบครัว ซึ่งถ้าหากเป็นไปได้ความสุขที่ฉันจะได้รับคงมากกว่าสิ่งใดเทียบได้ ประสบการณ์แห่งการเดินทางให้อะไรกับฉันบ้างลองมาอ่านกันดูนะคะ
วันนี้ฉันได้มีโอกาสมาทำบุญที่ดอยอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มต้นออกเดินทางจากรุงเทพฯในเวลา สามทุ่มกว่าๆ เพื่อให้ไปถึงยังจุดหมายในเวลาเช้าของวันใหม่ที่โน่น
เมื่อทุกคนมาพร้อมหน้ากันหมดแล้ว รถเริ่มเคลื่อนตัวออกจากกรุงเทพฯมุ่งสู่ปลายทาง สิ่งแรกที่สัมผัสได้นั่นคือ ความตื่นเต้นและความสุขที่กำลังเริ่มต้นจะได้รับ
ในระหว่างที่นั่งอยู่บนรถ สายตามองลอดผ่านกระจกบานใหญ่ แสงไฟที่คอยสาดส่องอยู่ริมทางกับคืนที่มืดสลัว บอกได้เลยว่าความตื่นเต้นในช่วงแรกมันหายไป เพราะเกิดความเหงาขึ้นมาแทน
ในช่วงเวลานี้กลับทำให้ฉันย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องราวต่างๆในอดีต มีทั้งความสุขและทุกข์รวมทั้งเสียงหัวเราะและร้องไห้ ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ได้รับและไม่ได้ทำ
ทุกครั้งที่คิดถึงชีวิตในวัยเด็ก กลับทำให้เสียงหัวเราะมีได้อีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ ฉันยอมรับว่าชีวิตช่วงไหนๆก็ยังคงสู้ชีวิตในวัยเด็กไม่ได้ นั่นแหละที่เรียกว่าความสุขที่สุดของชีวิต
ไม่นานนักสายตาก็เริ่มหรี่ลงทุกทีๆเพราะความง่วงนอนในเวลาห้าทุ่มกว่าๆ สุดท้ายฉันเผลอหลับตอนไหนไม่รู้ ตื่นขึ้นมาอีกทีกลายเป็นเช้าของวันใหม่ไปแล้ว และในตอนนี้เองฉันได้มาถึงเชียงใหม่เรียบร้อยแล้ว
สัมผัสแรกที่ก้าวลงจากรถ รู้สึกเย็นยะเยือกเพราะมีลมพัดอ่อนๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันหันไปยิ้มได้ นั่นก็คือคำทักทายแบบภาษาพื้นเมือง สวัสดีเจ๊า ฟังแล้วไพเราะเสนาะหู เป็นอะไรที่ชอบมากๆ
เมื่อทุกคนพร้อมแล้วขบวนรถขับตามกันไปติดๆ เพื่อพากันไปยังจุดหมายแห่งที่สองของการเดินทางในทริบนี้ ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึง
ทุกคนได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากเจ้าของบ้าน เมื่ออิ่มหนำสำราญสบายกายกันหมดแล้ว พวกเราก็พากันออกเดินทางไปยังจุดหมายที่สามคือดอยอ่างขางนั่นเอง
เราใช้เวลาในการเดินทางประมาณสามชั่วโมง ตลอดเส้นทางจะต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเดินทางเป็นอย่างมาก เพราะสองข้างทางเต็มไปด้วยเหวลึก เรียกได้ว่าเป็นหนทางแห่งความตายเลยก็ว่าได้
กว่าจะไปถึงยังจุดหมายฉันรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก อาจเป็นเพราะช่วยคนขับเบรกทุกครั้งที่เป็นทางโค้ง หรือว่าขึ้นในพื้นที่สูง
แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่ได้ทำให้ฉันละสายตาจากสองข้างทางไปได้เลย เพราะว่าความสวยงามของภูเขามันโดดเด่น เย้ายวนตาไม่อาจทำให้หันไปสนใจอย่างอื่นได้ มันสวยมาก สวยจนทำให้ฉันเพ้อฝันและจินตนาการ
สักวันหนึ่งหากมีโอกาส จะกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างสงบ นั่นคือความจริง
เราต่างขนย้ายสัมภาระของใครของมันเพื่อไปเก็บยังห้องพัก ที่ทางเจ้าหน้าที่ได้จัดสรรไว้ให้แล้ว
สำหรับห้องฉันนั้นเราพักรวมกันทั้งหมด 5 คนด้วยกัน แต่ละคนนิสัยน่ารักและเป็นกันเองมาก ทำให้ฉันไม่รู้สึกประหม่าและเป็นส่วนเกินในกลุ่ม เราต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ฉันขอตัวออกมาด้านนอกระเบียงด้านหน้าของห้องที่ถูกจัดไว้สำหรับเป็นที่นั่งชมวิว
เมื่อมองออกไปด้านหน้าเห็นภูเขาเรียงรายซ้อนกันอยู่ประมาณ 2-3 ลูก สีเขียวชอุ่มด้วยความอุดมสมบูรณ์
ยิ่งฉันเห็นความสวยงามของธรรมชาติมากเท่าไหร่ ฉันยิ่งคิดถึงคนใกล้ชิดมากเท่านั้น อยากให้พวกเขาได้มาชื่นชมธรรมชาติอันสวยงาม ณ แห่งนี้บ้างเช่นกัน
หลังจากนั้นทุกคนต่างพากันไปเดินซื้อของฝากกันที่ตลาดอ่างขาง อากาศที่นี่หนาวมากๆ อุณหภูมิราวๆ 3 องศาเซลเซียส แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับหลายๆคนเลย ยิ่งได้เดินเที่ยวมากเท่าไหร่ยิ่งดี ถือได้ว่าเป็นกำไรชีวิตในการได้มาเที่ยวครั้งนี้
แม่ค้าที่นี่ส่วนใหญ่มีเชื้อสายจีน พูดไทยไม่ค่อยชัด แต่มารยาทในการเรียกลูกค้าต้องยกนิ้วให้ว่าดีเลิศ
ฉันได้ของฝากหลายอย่างเต็มไม้เต็มมือหิ้วกันไม่หวาดไม่ไหว ตื่นตาตื่นใจกับของฝากราคาเป็นกันเองไม่แพงมากนักเมื่อเทียบกับที่เชียงใหม่
เมื่อได้ของฝากกันครบทุกคนแล้วเราต่างพากันเดินกลับที่พักเพื่อทำกิจกรรมต่อไป
กิจกรรมสุดท้ายของคืนนี้นั่นคือการกินข้าวและต่อด้วยความสนุกสนานร้องคาราโอเกะ ทุกคนต่างพกพาความมันและเสียงร้องอันไพเราะมาประชันกัน เรียกได้ว่าแทบไม่อยากจะวางไมล์
บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความสุขที่ทุกคนคิดว่าหนึ่งปีมีหนเดียว จนเวลาล่วงเลยสมควรแก่การพักผ่อนแล้ว
เราต่างก็พากันแยกย้ายกันกลับห้องพักของใครของมันเพื่อนอนเอาแรง เพราะพรุ่งนี้เช้าจะต้องตื่นแต่เช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งหลายๆคนบอกกล่าวกันมาว่าสวยงามที่สุดมีเฉพาะฤดูหนาว
เสียงนาฬิกาปลุกฉันแต่เช้าตีสี่ครึ่ง อากาศตอนเช้าๆหนาวมากแทบไม่อยากจะลุกออกจากที่นอน แต่ยังมีสิ่งมหัศจรรย์รอคอยอยู่ ฉันจึงจำเป็นต้องลุกเพื่อไปอาบน้ำเตรียมตัวออกเดินทาง
เมื่อทุกคนพร้อมกันหมดแล้วเราต่างพากันมายังจุดหมายที่วางไว้ สิ่งแรกที่ฉันทำเมื่อมาถึงคือ การตักบาตรในตอนเช้า ฉันรู้สึกอิ่มบุญเป็นอย่างมากเพราะในวันนี้เป็นวันดีเป็นวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2551
ความสุขที่ได้ทำยากเกินกว่าจะบรรยายได้ ฉันกวาดสายตาไปทั่วบริเวณนั้นทั้งหมด ผู้คนที่มาเที่ยวกันต่างพากันฮือฮากับความสวยงามของธรรมชาติที่อยู่ด้านหน้า
ฉันรีบเดินไปร่วมชื่นชมกับพวกเขาและอดใจไว้ไม่ไหว หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อถ่ายภาพที่สวยงามเหล่านี้เก็บไว้เป็นที่ระลึก รวมทั้งยังถ่ายภาพหมู่ร่วมกันกับเพื่อนๆกันอย่างสนุกสนาน
หลังจากนั้นเราก็พากันไปถวายกฐินให้กับวัดแห่งหนึ่งที่อยู่บนดอยแห่งนี้ ระยะทางอยู่ห่างจากที่พักของพวกเราไม่มากนัก
แต่การเดินทางไปยังวัดนั้นค่อนข้างทุลักทุเล อาจเป็นเพราะพื้นที่บริเวณนั้นเป็นภูเขาและลาดชันทำให้เดินเท้าลำบากเมื่อเทียบกับวัดอื่นๆที่ฉันได้มีโอกาสไปทำบุญมา
แต่อย่างไรก็ตามไม่มีเสียงบ่นจากทุกคน เพราะเราต่างก็รู้ดีว่าการมาดอยอ่างขางในครั้งนี้ เป็นการเดินทางมาทำบุญโดยเฉพาะ ใช่การท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่
เราต่างก็ได้บุญกันถ้วนหน้าอิ่มบุญไปตามๆกัน นี่ล่ะนะที่เขาพูดกันว่ามาด้วยใจ เมื่อพิธีต่างๆเสร็จสิ้นลง พวกเราพากันกลับไปยังที่พักเพื่อเก็บสัมภาระเดินทางต่อไปยังจุดหมายที่สี่นั่นคือ เชียงใหม่
ตลอดการเดินทางกลับเราพากันแวะชมความงามของธรรมชาติในสวน 80 ปีสมเด็จพระชนนี รวมถึงสวนส้มที่เต็มไปด้วยลูกส้มเป็นหมื่นเป็นแสนลูกสวยงามมาก ยังแอบถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกเช่นกัน
เมื่อมาถึงยังจุดหมายที่สี่โรงแรมรัตนโกสินทร์เชียงใหม่ เวลานี้คิดถึงอย่างเดียวคือที่นอนนุ่มๆและผ้าห่มอุ่นๆเหมาะสำหรับอากาศที่หนาวเย็นในคืนนี้เป็นอย่างมาก
ฉันรีบขนสัมภาระไปยังห้องพักที่จัดไว้ เมื่อไปถึงบอกได้เลยว่าความฝันเป็นจริงเพราะที่พักถูกจัดไว้ห้องละ 3 คน พอดิบพอดีนอนสบายๆคนละเตียง
กิจกรรมในคืนนี้สนุกไม่แพ้กันมีคาราโอเกะนั่นเอง โดยมีนักร้องสาวของโรงแรมบริการร้องให้ฟังเหมือนร้านอาหารก็ไม่ปาน
ความสนุกสนานเริ่มต้นตรงที่ หลายคนต่างพากันไปร้องรำทำเพลง และสลับสับเปลี่ยนกันขึ้นไปสร้างความบันเทิงให้กับคนอื่นๆได้อย่างดีบอกได้เลยว่าไม่มีใครยอมใคร
ไม่นานฉันขอตัวกลับไปยังห้องพักเพื่อมาเขียนหนังสือให้กับเพื่อนๆได้อ่านกัน เรียกได้ว่าความคิดบรรเจิดนั่นเอง
วันนี้ก็เช่นเดียวกันพวกเราไปรับประทานอาหารเช้ากันที่การไฟฟ้าผลิตแห่งประเทศไทย หรือโครงการในพระราชดำริของในหลวง
ที่นี่แหละทำให้ฉันอิ่มอร่อยเป็นอย่างมาก เพราะอาหารมีผักสดๆเห็ดสดๆจากสวน รวมทั้งไข่เจียวอันอร่อยล้ำเลิศ ไม่เคยกินไข่เจียวที่ไหนอร่อยเท่าที่นี่ บอกได้เลยว่าสุดยอด
บรรยากาศที่นี่ก็เช่นเดียวกันลมพัดและเย็นมากๆ หลังจากอิ่มเอมสำราญกันแล้ว พวกเรามุ่งหน้าต่อไปยัง ดอยอินทนนท์ สุดเขตแดนสยาม
พืชพันธุ์ไม้ที่นี่สวยงามและแปลกตา นักท่องเที่ยวเยอะมากดูแล้วระรานตา แต่จุดหนึ่งที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วแทบจะพยุงตัวไม่อยู่นั่นก็คือ การเดินเท้าลัดเลาะไปตามสะพานไม้เพื่อไปสักการะหลวงปู่
ระยะทางราวๆ 3 กิโลเมตร หรือใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมงในการเดินทางไปยังจุดหมาย เล่นเอาเหนื่อยตามกันเป็นแถบๆ แต่บริเวณสองข้างซ้ายขวาเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด ดูและอ่านป้ายบอกชื่อกันแทบไม่ทันเพราะต้องใช้เวลา
บางพันธุ์ไม้ไม่เคยเห็นมาก่อนและไม่รู้จัก มาเห็นที่นี่เป็นครั้งแรกยิ่งทำให้ฉันอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก หากมีเวลาอยู่ที่นี่นานสักหน่อยฉันคงจะจดรายละเอียดได้เยอะพอสมควร
ที่ทำได้ตอนนี้ก็แค่บันทึกวิดีโอไว้เท่านั้น แต่ยังไงก็ไม่รู้เมื่อกลับมาถึงห้องพักระบบมันฟ้องว่าไม่สามารถเปิดได้ แปลกมากๆทั้งๆที่ในตอนแรกฉันเช็คข้อมูลแล้วว่าเปิดได้ คิดเอาล่ะกันว่าเป็นเพราะอะไร
เมื่อกลับลงมาจากดอยอินทนนท์ พวกเราได้มีโอกาสไปร่วมรับประทานอาหารขันโตกชาวเหนือกันที่ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่
ฉันรู้สึกมีความสุขและปลื้มใจเมื่อภาพการฟ้อนรำที่อยู่ตรงหน้า เป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมต่อหน้าชาวโลกหลายๆชาติด้วยกัน
นักท่องเที่ยวที่มาในคืนนี้เต็มไปด้วยชาวต่างชาติอย่างเช่น เกาหลี ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง อเมริกา สวีเดน ฯลฯ
หลังจากนั้นฉันก็เดินทางกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อน ส่วนคนอื่นๆอีกหลายๆคนต่างพากันไปเที่ยวท่องราตรีกันต่อ เพื่อให้อิ่มเอมและเต็มอิ่มในการมาท่องเที่ยวกัน
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเที่ยวในทริบนี้ ฉันได้มีโอกาสไปสักการะพิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศซึ่งเมื่อได้เข้าไปข้างใน บอกได้เลยว่าอานุภาพแห่งแสงบุญเปล่งประกาย
รู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งได้เช่าท่านมาเพื่อบูชาด้วยแล้วนั้นยิ่งมีความสุข รู้สึกมีท่านอยู่ข้างกาย
ไม่ว่าเราจะนับถืออะไรก็ตามล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีต่อตัวเราทั้งนั้น แต่สิ่งเดียวที่จะทำให้ดีหรือไม่ดีนั้นย่อมขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง
ความศรัทธาทุกคนนั้นย่อมมีได้ แต่จะหวังเพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือเพื่อให้เราร่ำรวยหรือประสบความสำเร็จนั้นย่อมเป็นไปได้ยาก นอกเสียจากว่าเราจะปฏิบัติตัวเราควบคู่ไปกับโชคชะตาและวาสนาไปพร้อมๆกัน อย่างนั้นซิถึงจะเรียกได้ว่าไม่รอฟ้ารอฝน
ฉันอยากให้คติหลายๆคนรวมทั้งตัวของฉันเอง มีคำสอนบทหนึ่งเมื่อฉันได้อ่านแล้ว รู้สึกทึ่งและคิดว่าใช่เลยสำหรับคนเราปัจจุบัน
อยากให้ทุกคนได้อ่านและนำไปปฏิบัติเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต อย่างน้อยสิ่งนี้จะช่วยให้เรามีสติและปัญญาในการปฏิบัติตัวต่อไป เป็นคำเทศนาของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เรื่อง บุญเราไม่เคยสร้าง ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า
ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด
เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือ บารมีของตนลงทุนไปก่อน
เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอ จึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย
มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมี
ที่เที่ยวไปขอยืมมาจนล้นตัว เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมาก็ต้อง
เอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมดไม่มีอะไรเหลือติดตัว
แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้
แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง จงจำไว้นะ เมื่อยังไม่ถึงเวลา
เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้
ครั้นถึงเวลาทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่
จงอย่าไปเร่งเทวดา ฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย
จะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า
การอ้อนวอนหรือบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ได้อะไรๆ ตามที่ท่านปารถนานั้นมันก็ขึ้นอยู่กับกฎแห่งความไม่เที่ยงเหมือนกัน
บางทีก็ได้บางทีก็ไม่ได้ และที่ท่านได้อะไรมา ก็เพราะมันมีเหตุที่จะทำให้ท่านได้สิ่งนั้นอยู่แล้ว
มันจึงได้มาไม่ใช่มันได้มาเพราะสิ่งอื่นมาช่วยให้ท่านได้มาไม่ใช่อย่างนั้นเลย
อย่างไรก็ตามแม้ท่านจะได้อะไรๆมาตามที่ปรารถนา แต่สิ่งนั้นก็จะไม่อยู่กับท่านอย่างถาวรตลอดไป
สักวันหนึ่งมันก็จะสูญเสียไปจากท่านอยู่ดี ดังนั้นผู้มีปัญญาจึงไม่ควรปรารถนาหรืออ้อนวอนเพื่อจะได้จะเป็นอะไรเลย
เพียงแต่ว่า ท่านทำมันให้ดีที่สุด ต้องการอะไรก็จงใช้สติคิดดูว่าทำอย่างไร จึงจะได้สิ่งนั้นมาด้วยความบริสุทธิ์และถูกต้อง
แล้วก็ทดลองทำไปตามนั้น ถ้ามีเหตุปัจจัยที่จะได้มันก็จะได้ของมันเอง แต่ถ้าไม่ได้ก็ให้มันแล้วไป อย่าเป็นทุกข์ไปกับมัน
ฉันได้อ่านและนึกถึงคำเทศนาของเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ทีไร ปลาบปลื้มใจทุกที ว่างๆก็ลองอ่านและคิดด้วยสติดูนะคะ
กล่าวเรื่องนี้ไปมากแล้วย้อนกลับมาเรื่องของเราดีกว่า เมื่อสักการะองค์พระพิฆเนศเสร็จแล้ว
พวกเราก็พากันเดินทางไปเดินเล่นถนนคนเมือง ซื้อของฝากกันอีกรอบ ฉันได้ของมาเยอะเหมือนกัน เช่น ไม้แกะสลักรูปนางฟ้า และโคมไฟที่สานด้วยไม้ไผ่
สวยงามมากราคาก็เป็นกันเองไม่แพงมากเกินไป เดินกันไปจนสุดทางถือโอกาสเข้าไปสักการะพระพุทธสิงห์ ที่วัดพระสิงห์ซึ่งเป็นวัดประจำปีเกิดของปีมะโรงคือปีเกิดของตัวฉันเอง
เวลาประมาณสองทุ่มเราก็พากันกลับไปยังโรงแรมเพื่อเก็บสัมภาระเดินทางกลับกรุงเทพฯ
เมื่อทุกคนพร้อมแล้วรถเคลื่อนตัวออกจากเชียงใหม่พร้อมกับความอาวรณ์ไม่อยากกลับ อยากอยู่เที่ยวที่นี่อีกสักหนึ่งอาทิตย์ถ้าเป็นไปได้
แต่เนื่องจากยังมีภาระหน้าที่รออยู่ข้างหน้า จึงจำเป็นต้องตัดใจปฏิเสธความต้องการของตัวเอง
ตลอดการเดินทางกลับฉันนอนหลับมาตลอดทางด้วยความเหน็ดเหนื่อย ตื่นอีกทีเมื่อรถมาจอดถึงกรุงเทพในเวลาตีห้าครึ่ง
เรียกได้ว่าการไปเที่ยวทริบนี้ถือว่าใช้เวลาหลายวัน และเต็มอิ่มกันถ้วนหน้า แถมยังสุขสมอารมณ์หมาย จะขาดก็แต่เพียงอย่างเดียวคือ เพื่อนสนิทนั่นเอง
ครั้งหน้าไปเที่ยวที่ไหนอีกผู้เขียนจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์การเดินทางมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง หวังว่าคงจะทำให้ผู้อ่านได้รับความสุขและสนุกสนานด้วยเช่นกัน เจอกันใหม่เรื่องหน้านะคะ...
แก้ไขเมื่อ 12 ม.ค. 52 22:22:22
จากคุณ :
ปัทมนันท์
- [
12 ม.ค. 52 21:57:03
]