---แม้เลือกเกิดได้---
เสียงเม็ดฝนตกกระทบแอ่งน้ำบนผิวถนนดังไม่ขาดสายผสมกับเสียงฝีเท้าของชายสองคนวิ่งไล่มาทางด้านหลัง แว่วเสียงสบถพอให้ได้ยินเป็นระยะๆ
ผม..วิ่งหนีอย่างสุดชีวิตไปทางตรอกเล็ก ๆ บ้านเรือนปลูกอยู่สองข้างทางจนแน่นขนัดเหลือเนื้อที่ให้เดินเป็นทางเท้าแคบ ๆ อย่างยากลำบาก
"ไอ้จรจัด ไอ้ขี้ขโมย หายไปไหนวะ..เร็วฉิบ อย่าให้เจอนะพ่อเอาตายแน่"
"เฮ้ย กลับไปเฝ้าร้านเถอะไอ้แสง ป่านนี้ไก่ของเอ็งเหลือแต่กระดูกแล้วมั้ง" เสียงชายอีกคนที่ตามมาเอ่ยแทรกขึ้น ท่ามกลางเสียงฮึดฮัด สบถลั่นอย่างหัวเสีย ไม่ช้าเสียงฝีเท้าทั้งสองก็ค่อย ๆ เงียบหายไป พร้อมกับแสงอาทิตย์ที่เริ่มลับขอบฟ้าทีละน้อย
ผมออกมาจากที่ซ่อนตัวข้างถังขยะที่ตั้งเรียงกันหลายใบ ก่อนจะใช้เท้าเขี่ยเศษกระดูกไก่บางส่วนออกไปไกลตัว นึกถึงเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ถ้าถูกจับได้ ผมไม่อยากคิดว่าตัวเองจะเป็นยังไง หนึ่งในสองคนที่เป็นเจ้าของร้านไก่ทอดคงจะแค้นน่าดู
ฝนเริ่มหนาเม็ดขึ้นเรื่อย ๆ แสงอาทิตย์กลืนหายไปกับความมืดที่แผ่ขยายกว้างขึ้น ความหนาวเย็นเริ่มแทรกเข้ามาแทนที่ความหิวเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ผมค่อย ๆ พาร่างที่ผอมโซจากการอดอาหารมาหลายวัน เดินไปข้างหน้าอย่างหวาดระแวง หูคอยฟังสิ่งต่าง ๆ ตามสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดด้วยความกลัวว่า ชายสองคนอาจจะย้อนกลับมา จนกระทั่งเจอสถานที่ที่พอจะหลบซ่อนจากสายตาจากคนภายนอกได้ ผมจึงเดินเข้าไปแล้วอาศัยตรอกนั้นเองเป็นที่หลับนอนหลบสายฝนอีกคืนหนึ่ง หวนให้นึกถึงบ้านที่เพิ่งจากมาได้เดือนเศษ ภาพใบหน้าของชายสูงอายุคนหนึ่งผุดขึ้นจากความทรงจำ
.
แสงอาทิตย์ส่องกระทบพื้น ขับไล่ความหนาวออกไป ท้องเริ่มประท้วงเพราะความหิว ปีกไก่อันเมื่อวานคงย่อยไปหมดแล้ว ผมจึงพาร่างอันอ่อนระโหยออกมาจากตรอกที่อาศัยนอนออกมา ผู้คนเดินกันขวักไขว่เต็มไปหมด บางคนพอเห็นผม ก็รีบเดินหนีออกห่าง เหมือนเห็นตัวเชื้อโรค ผมไม่สนใจ ถ้าใครไม่ตกอยู่ในสภาพนี้ คงไม่รู้หรอกว่ามันทรมานแค่ไหน
"เฮ้ยย ออกไปให้ไกลจากร้านอั๊ว ลูกค้าหายหมด ไป๊.." ชายร่างอ้วน ศีรษะล้านเลี่ยน หน้าตาไม่เป็นมิตรส่งเสียงเอะอะ เมื่อเห็นผมเดินเข้ามาในร้านของแก แต่หญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาขัดขวางเสียก่อน
"เตี่ย.. ไม่เอาน่า น่าสงสารออก ยังเด็กอยู่เลย คงหลงมาจากที่ไหนมั้ง ไหน..มานี่ซิไอ้หนู หิวใช่ไหม" ผู้หญิงคนนั้นพูดพร้อมเปิดกล่องข้าวมันไก่ที่ทำไว้เพื่อเตรียมส่งลูกค้า แล้วยื่นมาให้ตรงหน้าผมแทน
"อาหมวย ลื้ออย่าไปให้มัน บ้าหรือเปล่าไม่รู้ เดี๋ยวเคยตัว รีบไล่ออกไปจากร้านเลย ลื้อดูซี... เนื้อตัวเหม็นสาบสกปรก เดี๋ยวลูกค้าไม่กล้าเข้าร้านกันพอลี.." ชายอ้วนพูดขึ้นมาอย่างรังเกียจ เมื่อขัดใจลูกสาวไม่ได้ แต่ก็เหลือบตามองผมอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก
"กินให้อิ่มนะ หลงมาจากไหนล่ะเรา.. หนีออกมาจากบ้านหรือเปล่าเนี่ย" เธอพาผมเดินออกมาจากหลังร้าน พร้อมกับมองดูผมกินอย่างหิวกระหายสักพัก จึงเดินจากไปผมยังไม่ทันเอ่ยขอบคุณเธอเลย
หลังจากกินอิ่ม ผมจึงออกสำรวจเพื่อหาที่พักใหม่ สองข้างทางที่เดินออกมา เต็มไปด้วยถังขยะ ที่มีขยะล้นออกมากองเป็นภูเขาขนาดย่อม ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วบริเวณ เมื่อเดินมาจนสุดซอยถนน ผมสังเกตเห็นตึกแห่งหนึ่ง ถูกปล่อยทิ้งให้รกร้าง ที่ดินบริเวณรอบๆ มีต้นหญ้าขึ้นสูงเต็มไปหมด เดินสำรวจอยู่นานจนเมื่อย ตั้งใจจะใช้บริเวณนี้เป็นที่พักอาศัยอยู่ชั่วคราว สายตาก็เหลือบไปเห็นสุนัขแม่ลูกอ่อน กำลังนอนให้นมลูกกินอยู่ใต้ถุนตึก
ผมเดินเข้าไปใกล้ หวังที่จะเข้าไปดูลูกสุนัขตัวเล็กๆ แต่ทันใดนั้น แม่สุนัขก็ส่งเสียงขู่คำรามขึ้นมาเสียก่อน พร้อมกับตั้งท่าเตรียมพร้อมป้องกันอันตรายให้กับลูกของมัน ผมถอยออกมารอดูท่าทีอยู่สักพักหนึ่ง สุนัขแม่ลูกอ่อนยังคงขู่คำรามอยู่เป็นระยะ เมื่อไม่เห็นท่าทีอันตรายอะไร มันจึงหันไปเลียลูกของมัน ไม่สนใจผมอีก แต่ก็ยังมีท่าทีระวังภัยอยู่ตลอดเวลา
ผมมองดูอยู่ชั่วครู่ เห็นแล้วก็ให้นึกสะท้อนในโชคชะตาของตนยิ่งนัก เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นหน้าแม่ของตัวเองเลย ตั้งแต่จำความได้ผมก็อยู่ในบ้านกับชายสูงอายุผู้มีพระคุณคนนั้น ท่านเมตตาผมมาตลอด เลี้ยงผมมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยดุด่าหรือทำร้ายร่างกายใดๆ ปฏิบัติต่อผมเหมือนกับลูกคนหนึ่ง ทั้งๆที่ผมแค่ถูกเก็บมาเลี้ยงเท่านั้น ผิดกับลูกชายของเขาซึ่งแสดงท่าทีว่ารังเกียจอยู่ตลอดเวลา เขาชอบดุด่า และทุบตีผมอยู่เสมอเมื่อมีโอกาส ทำให้ผมต้องคอยหลบเลี่ยงไม่ให้ลูกชายของเขาเห็นอยู่เป็นประจำ
แต่วันหนึ่ง ความสุขในชีวิตเล็กๆของผมก็หมดไปอย่างรวดเร็ว เมื่อผมไม่เห็นชายผู้มีพระคุณคนนั้นอีก ทั้งๆที่ทุกเย็นเขาจะมาหาผมอยู่เสมอ หลังจากนั้น ผมเดินออกมาเมื่อรู้สึกสงสัยว่าทำไมวันนี้ถึงได้มีผู้คนมากมายนัก แล้วผมก็พบกับภรรยาและลูกชายของชายของเขาที่พากันแต่งชุดดำกำลังยืนต้อนรับคนอีกกลุ่มหนึ่งด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง ผมจึงเดินเลยออกมาอีกห้อง ก็พบกล่องไม้ค่อนข้างยาว เป็นรูปเหลี่ยมผืนผ้าอันหนึ่งตั้งอยู่ด้านใน และมีรูปใบหน้าของชายที่ผมรู้จักดีตั้งวางอยู่ข้างๆ ประสาทสัมผัสรับรู้ถึงกลิ่นจางๆ อันคุ้นเคยจากน้ำหอมที่เขาเคยใช้ ผมมองไปรอบๆ เพื่อจะหาตัวเขา แต่ก็ไม่พบ เห็นแต่เพียงชาย 3-4 คนกำลังช่วยกันขนเก้าอี้อยู่เท่านั้น ผมไม่ค่อยเข้าใจนัก ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ จึงเดินจากมาอย่างเงียบๆ
ผ่านไปหลายวันแล้ว ผมได้แต่นั่งคอยอย่างเหงาหงอยอยู่ที่เดิม ในใจหวังเพียงว่าเขาคงยังไม่ลืม และจะกลับมาหาผมอีกในวันพรุ่งนี้ จนกระทั่งภรรยาและลูกชายของเขากลับมาจากข้างนอก สองคนนั้นคุยกันไม่นาน ผู้เป็นลูกชายก็เดินตรงมาหาผมที่ลุกขึ้นหนีทันที เมื่อรู้สึกได้ถึงความไม่เป็นมิตรนั้นอย่างชัดเจน
ตาเอก นั่นลูกจะทำอะไร เธอถามลูกชายพร้อมกับมองตรงมาที่ผมด้วยสายตาเห็นใจอยู่ครู่นึง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมายนัก
ผมเกลียดมัน ในเมื่อคุณพ่อไม่อยู่แล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเลี้ยงมันไว้อีก มานี่เลยแก เขาพูดพร้อมกับพยายามไล่ต้อนผมให้จนมุม แล้วกระชากแขนผมขึ้นอย่างแรง พร้อมกับลากขึ้นมาบนรถที่ผมคุ้นเคย
เขาจอดรถในที่แห่งหนึ่ง แล้วจับตัวผมเหวี่ยงออกมาไม่เบานัก ผมจึงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด โชคยังดีที่บริเวณที่เขาโยนลงมานั้นเป็นพงหญ้าแห้ง ผมจึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากเท่าไร แล้วเขาก็ขับรถจากไปในความมืดของท้องถนน
.
เสียงล้อรถยนต์ที่เข้ามาใกล้ ดึงผมให้กลับมาในปัจจุบันอีกครั้ง ผมเบือนหน้าหนีจากภาพความสัมพันธ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของสุนัขแม่ลูกอ่อน ในใจนึกถึงแต่ชายผู้มีพระคุณคนนั้น เขาจะรู้บ้างไหม ว่าผมคิดถึงเขาเหลือเกิน
พอขยับเตรียมหันหลังเดินจากไป แม่สุนัขก็เห่าคำรามขึ้นมาอย่างดุร้าย ทันใดนั้นเอง ขณะที่ผมยังยืนอยู่ไม่ทันได้ตั้งตัว ก็มีความรู้สึกเหมือนถูกไม้หวดเข้ามาที่กลางหลังอย่างรุนแรง ผมร้องออกมาสุดเสียง ความเจ็บปวดแล่นร้าวไปทั่วทั้งตัว ตามมาด้วยเสียงไม้หวดอีกครั้ง..ผมทรุดลงไปกองกับพื้น ก่อนสติจะลางเลือน ผมมองเห็นชายอีกคนหนึ่ง กำลังหวดกระบองไปที่แม่สุนัขจนแน่นิ่ง แล้วยกร่างของมันขึ้นพร้อมกับอุ้มลูกสุนัขขึ้นมาด้วย
ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกครั้งเนื่องจากหยาดฝนที่ตกลงมาปรอยๆ ด้วยความรู้สึกปวดร้าวทั่วทั้งตัว และสังเกตว่า ตัวเองกำลังนอนอยู่ในกรงขนาดใหญ่บนรถกระบะโสโครกคันหนึ่ง ซึ่งมีสุนัขอีกหลายตัวนอนซมอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว รถวิ่งไปตามถนนเรื่อยๆ ก่อนที่จะลดความเร็วลงเพื่อรอสัญญาณไฟตรงสี่แยกแห่งหนึ่ง แสงอาทิตย์ค่อยๆหายลับไปจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับสายฝนที่เริ่มหนาเม็ดขึ้น จมูกได้กลิ่นน้ำหอมที่ไม่เคยลืมจากรถคันข้างๆ มันเป็นรถของชายผู้มีพระคุณของผมนั่นเอง และเมื่อมองเข้าไปภายในกระจกที่ถูกเปิดเอาไว้ ถ้าจำไม่ผิดผมเห็นลูกชายของเขากำลังขับรถอยู่ ข้าง ๆ เบาะรถ มีลูกสุนัขพันธุ์ดีลายจุด นั่งคู่มาด้วย
ผมมองตามรถคันนั้นจนสุดสายตา ก่อนที่จะถูกพาเข้ามาในถนนแห่งหนึ่งที่แยกออกมาจากตัวถนนใหญ่ หูแว่วเสียงสุนัขหลายตัวร้องโหยหวนมาตามสายลม พร้อมกับกลิ่นคาวเลือดเหม็นคละคลุ้งผสมกับกลิ่นเนื้อย่างไฟ ที่โชยมาจากโรงเรือนหลังหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางผืนดินโล่งกว้าง ผมหลับตาลงอีกครั้ง พร้อมกับแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่เลือนหายไปจากท้องฟ้า
*****************************
เรื่องนี้แต่งมานานแล้ว และเคยลงในถนนฯ เมื่อประมาณปี 49 ได้รับคำแนะนำจากพี่ๆนักอ่านหลายๆท่าน เลยลองหยิบมาปรับปรุงใหม่อีกครั้งให้มันสมบูรณ์ขึ้นค่ะ (ไม่รู้ว่ามันจะสมบูรณ์ขึ้น หรือทำให้งงยิ่งกว่าเดิม T-T )
รบกวนหลายๆท่าน ช่วยกรุณาแนะนำกันอีกครั้งนะคะ
อันนี้เป็นลิงค์จากอันเก่าที่เคยลงไว้ค่ะ
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2006/11/W4850952/W4850952.html
จากคุณ :
กระต่ายสีขาว
- [
20 ม.ค. 52 18:47:36
]