Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    [นิยายแปล] จอมนางคู่บัลลังก์ บทที่ 20 เขียนโดย...เฟิงน่ง

    บทที่ 1 - 18  http://my.dek-d.com//story/view.php?id=423352



    บทที่ 20


    เมืองหลวงม่อเอินแห่งตงหลินเปลี่ยนเจ้าแผ่นดินถึงสองครั้งในชั่วคืน มีเพียงผู้อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นที่ทราบว่าระหว่างเหตุอุบัติ สถานการณ์อยู่ในภาวะที่น่าอกสั่นขวัญแขวนเพียงใด

    เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ทหารหาญต่างสลายตัวไม่มีเหลือ ชาวเมืองต่างถูกขังอยู่แต่ในบ้านตลอดทั้งคืนโดยไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวใดๆ  จะทราบก็เพียงแค่ในคืนที่ผ่านมาแสงไฟสว่างเจิดจ้า เสียงฆ่าฟันดังไม่ขาดระยะ แต่ต้าหวางก็ยังคงเป็นต้าหวาง วังหลวงก็ยังคงเป็นวังหลวง

    ด้านตำหนักในได้รับการจัดการดูแลเป็นที่เรียบร้อย เหล่าขุนนางที่ถูกกักขังคุมตัวเอาไว้ต่างถูกส่งมาที่วังหลวง ตงหลินหวางได้เรียกพบเหล่าแม่ทัพทีละคน แล้วไม่เพียงแต่ไม่ได้ว่ากล่าวตำหนิเท่านั้น ตรงกันข้ามกลับปลอบขวัญและตรัสให้กำลังใจอีกด้วย อัครเสนาบดีฝ่ายขวาร่างราชโองการปูนบำเหน็จรางวัล พลิกเปลี่ยนพฤติกรรมก่อกบฏเขียนเป็นต้าหวางมีภัย เหล่าแม่ทัพต่างเสี่ยงชีวิตบุกตีเมืองเข้ามาช่วยคุ้มกันโดยไม่ครั่นคร้ามต่อความตาย

    ในใจของทุกคนต่างทราบดีว่าเรื่องจริงเป็นเช่นไร จึงพากันโขกศีรษะแซ่ซ้องอวยพรขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี

    นอกจากทหารที่ต้องปะทะด้วยตรงๆ ในตอนที่บุกตีเมืองและผู้ที่ต่อสู้ต้านทานอย่างดื้อรั้นเพียงไม่กี่รายแล้ว ผู้ที่บาดเจ็บล้มตายมีไม่มากนัก ซึ่งก็มีราชโองการสั่งให้เหล่าขุนนางไปปูนบำเหน็จอย่างงามเป็นการปลอบขวัญต่อครอบครัวของผู้ที่บาดเจ็บล้มตาย

    ส่วนเจิ้นเป่ยหวาง...จอมทัพผู้นำทัพทหารทั่วทั้งแคว้นตงหลินซึ่งเคยเลื่องชื่อลือชาไปทั่วแผ่นดิน แม่ทัพทหารต่างแคว้นเพียงยินนามก็ขวัญฝ่อ ได้จากไปไกล...


    <>::<>::<>


    บนถนนดินเหลืองสายใหญ่ ขบวนรถซึ่งไม่มีธงปักเคลื่อนขบวนไปอย่างแช่มช้า

    ในขบวนมีทั้งรถและม้า ผู้ซึ่งขี่ม้าแต่ละคนต่างมีสีหน้าเย็นชา นัยน์ตาวาบประกายกล้าในบางครั้ง เห็นได้ชัดว่าล้วนมิใช่ชนชั้นซึ่งอยู่ร่วมได้โดยง่าย รถบรรทุกสตรีและเด็กจำนวนสองคันแล่นอยู่ตรงกลาง ยังมีรถอีกสองคันที่ไม่ทราบว่าบรรทุกสิ่งใดไว้ภายใน รอยล้อรถบดลึกลงในดิน ดูแล้วหนักอึ้งอย่างยิ่ง

    รถม้าคันหนึ่งในจำนวนนี้ แม้ตกแต่งไม่หรูหรางดงาม แต่ในความเรียบง่ายกลับแสดงออกถึงความสูงศักดิ์อย่างเด่นชัด ตั้งแต่ไม้พาดหลังสัตว์หน้ารถไปจนถึงล้อรถล้วนทำจากไม้ชั้นดีเลิศอันยากจะพบพาน รูปทรงของรถเรียบง่ายโบราณทว่าโอ่อ่า

    ฉูเป่ยเจี๋ยซึ่งผ่านราตรีกาลอันยาวนานกำลังนั่งหลับตาอยู่ในรถม้าคันนี้

    เรื่องใหญ่หลวงของตงหลินได้จบสิ้นลงไปแล้ว หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ ตงหลินหวางจะไม่ระแวงว่าเขาเป็นผู้ฆ่าองค์ชายน้อยทั้งสองอีกต่อไป

    แต่บิดาได้สูญเสียบุตร พระเชษฐาได้สูญเสียพระอนุชา และตงหลินได้สูญเสียยอดขุนพลพิทักษ์แผ่นดิน

    ผลลัพธ์ที่หลงเหลือจากวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ ตงหลินจะต้องทนแบกรับไปอีกกี่ปี  แม้แต่ฉูเป่ยเจี๋ยก็ไม่กล้าคาดคิด

    และยาพิษ...ถูกผสมขึ้นด้วยมือของนาง...

    ชายหนุ่มยกสองมือขึ้น มองรอยด้านหนาตรงง่ามมือที่เกิดจากการเสียดสีกับกระบี่มานานปี

    ยังจำมือของนางได้...นิ้วเรียวยาวทั้งสิบ ขาวผ่องและนุ่มเนียน

    มือนั้นดีดพิณ เด็ดบุปผา ที่แท้ยังสามารถผสมยาได้...

    “สุดร้าย......คือหัวใจสตรีจริงๆ หรือ ?”

    นัยน์ตาดำสนิทค่อยๆ พริ้มลง

    ไม่ยอมให้ผู้ใดมองเห็นส่วนลึกของนัยน์ตา ชายหนุ่มหลับตาลงจมดิ่งสู่ห้วงภวังค์อีกครั้ง ลมหายใจค่อยๆ สม่ำเสมอ ราวกับใกล้จะหลับ

    ถนนใหญ่ขรุขระเป็นหลุมบ่อ รถม้าสะเทือนขึ้นลง ทีละก้าว...ทีละก้าว...ห่างไกลจากอดีตมากขึ้นเรื่อยๆ

    ล้อรถเหมือนจะกระแทกถูกก้อนหิน จึงเอียงวูบโดยแรง ลมหายใจสม่ำเสมอของฉูเป่ยเจี๋ยชะงักขาดช่วง ลุกขึ้นนั่งตัวตรง แล้วพลันเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จึงตวาดเสียงดังลั่น

    “หยุดรถ !”

    แหวกเปิดม่านประตูรถ ร่างสูงสง่าสะท้านเฮือกโดยพลัน

    ณ ริมทาง เงาร่างอรชรบอบบางได้ยืนหันหลังอยู่อย่างสงบ มือหนึ่งจูงม้า อีกมือหนึ่งซึ่งทิ้งห้อยลงกุมบังเหียนที่แกว่งไกวสัมผัสต้นหญ้าสูงเทียมเข่าเบาๆ

    ครั้นได้ยินเสียงขบวนรถหยุดลง ร่างบอบบางก็หันกลับมาช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าซึ่งมิได้งดงามชวนตะลึงหลง ทว่ากลับสามารถสร้างความสะท้านหวั่นไหวให้ฉูเป่ยเจี๋ยยิ่งกว่าผู้ใดทั้งสิ้น นางเอ่ยระคนทอดถอนใจเบาๆ

    “ฝ่าบาท พิงถิงมาตามสัญญาแล้วเพคะ”

    เมื่อเห็นว่าผู้คนขบวนใหญ่ตรงหน้ารวมทั้งฉูเป่ยเจี๋ยต่างนิ่งแข็งค้างไม่อาจขยับราวกับไม้สลัก ริมฝีปากแดงระเรื่อของหญิงสาวก็โค้งขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มเบาบาง

    “ขอกล่าวตามตรงโดยไม่ปิดบัง พิงถิงนึกประหวั่นอยู่ตลอดเลยเทียว ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะลงโทษหม่อมฉันเช่นไร หม่อมฉันจึงได้รอขบวนรถของฝ่าบาทอยู่ที่ริมทาง หากฝ่าบาทกับพิงถิงเฉียดผ่านกันไป นั่นหมายความว่าวาสนาระหว่างเราได้สิ้นสุดลง พิงถิงเองก็นับว่าได้ทำตามสัญญาที่รับปากไว้ว่าจะมาพบฝ่าบาทที่ตงหลินแล้ว นับแต่นี้เราสองจะไม่เกี่ยวข้องใดๆ ต่อกันอีก”

    สายตาฉูเป่ยเจี๋ยไม่คลาดคลาจากรอยยิ้มเบาบางของหญิงสาว เอ่ยเสียงหนัก

    “ข้ารู้สึกแล้ว”

    “เช่นนั้น......” หญิงสาวกล่าวอย่างชัดเจน “นับแต่นี้ป๋ายพิงถิงก็คือคนของสกุลฉู่”

    “คนของสกุลฉู่ ?”

    “ฝ่าบาทลืมแล้วหรือเพคะ ? เราได้สาบานต่อจันทรา จะไม่ทรยศกันชั่วนิรันดร์”

    ฉูเป่ยเจี๋ยเอ่ยทวนย้ำทีละคำด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ

    “สาบานต่อจันทรา จะไม่ทรยศกันชั่วนิรันดร์ ?”

    นัยน์ตาของหญิงสาวยังคงงดงามเช่นกาลก่อน

    “ฝ่าบาทลืมคำสาบานของเราแล้วหรือเพคะ ?”

    “ข้าจำได้ดี” ชายหนุ่มพยักหน้า

    “คำสาบานยังคงอยู่” หญิงสาวย่างเท้าตรงเข้าไปหา ยื่นมือออก ส่งให้ตรงหน้าของฉูเป่ยเจี๋ย กล่าวอย่างพลุ่งพล่าน “ให้พิงถิงได้ติดตามฝ่าบาทไปจนสุดหล้าฟ้าเขียว นับแต่นี้มีเกียรติหรือเหยียดหยามสุดแท้แต่ฝ่าบาท เป็นหรือตายก็สุดแท้แต่ฝ่าบาท”

    ฉูเป่ยเจี๋ยนิ่งมองมือเรียวงามขาวผ่องอันแสนคุ้นเคย อยู่ใกล้แค่เอื้อม...เพียงยกมือก็แตะถึง

    เขาเคยกุมมือนี้มาแล้วไม่น้อยกว่าพันครั้ง ทั้งเล่นเชยชมและทอดถอนชื่นชม ยังจำความอบอุ่นผุดผ่อง คล่องแคล่วและนุ่มเนียนของมือนี้ได้

    เพียงแต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า...นี่จะเป็นมือที่สับปลับเช่นกัน !

    หญิงสาวไม่ตระหนกและไม่หวั่นเกรง ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างว่าง่าย เหมือนเมื่อตอนที่หมอบกราบลงแทบเท้าเขาเป็นครั้งแรก ขับขานเพลงยอดพธูวีรชน อันการศึกมิหน่ายเล่ห์ นัยน์ตายังคงสุกสกาวใสกระจ่าง ทอประกายพร่างพราวเอื้อนวจีได้อยู่ดังเดิม

    ฉูเป่ยเจี๋ยนิ่งเงียบงันอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายเอ่ยเสียงหนัก

    “พิงถิง ตอบคำถามข้าบางข้อ”

    “ฝ่าบาทเชิญถามเถิดเพคะ”

    “ยาพิษที่ไส้ศึกของเป่ยม่อใช้ เจ้าเป็นคนผสม ?”

    “ใช่เพคะ” หญิงสาวเอ่ยตอบสั้นๆ โดยที่สีหน้าไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย

    “เจ้ารู้หรือไม่ว่า...องค์ชายแห่งตงหลิน...คือหลานแท้ๆ ของข้า ?”

    หญิงสาวจ้องมองชายหนุ่ม นัยน์ตาทอประกายใสกระจ่าง ถอนหายใจกล่าวว่า

    “ทราบเพคะ”

    “เจ้าจำได้หรือไม่ว่า เจ้าเคยสาบานว่าจะไม่ทำร้ายคนในครอบครัวของข้า ?”

    “จำได้เพคะ”

    “ข้าฉูเป่ยเจี๋ย...ไม่มีทางเป็นบุรุษที่ลืมความอาฆาตแค้นของการฆ่าผู้ร่วมสายเลือดเพื่อสตรี !”

    หญิงสาวฟังออกถึงความเคียดแค้นในคำพูดของชายหนุ่ม จึงฝืนเค้นรอยยิ้มขมขื่น

    “หม่อมฉันเข้าใจดีเพคะ ที่ฝ่าบาทพูดมา พิงถิงเข้าใจดีทั้งหมด ในเมื่อฝ่าบาทหาพิงถิงพบ พิงถิงก็สุดที่จะเลี่ยงหลบได้ จึงขอยกชีวิตให้ฝ่าบาทตัดสินลงโทษเพคะ”

    “ข้ายังมีคำถามสุดท้ายอีกข้อ” ฉูเป่ยเจี๋ยเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนจะถามเสียงเครียด “ในเมื่อเจ้ารู้ดีว่าตัวเองต้องตาย แล้วไยจึงวางก้อนหินไว้กลางทางเพื่อให้รถม้าของข้าไปสะดุด ?”

    หญิงสาวเหมือนถูกกระบี่แทงเข้าใส่หัวใจกระนั้น ร่างบางไหวโงนเงนโดยพลัน นัยน์ตาเอื้อนวจีได้จ้องมองชายหนุ่มอย่างหม่นเศร้าอยู่อึดใจใหญ่ ก่อนจะกล่าวอย่างหดหู่

    “พิงถิงคือผู้งมงาย ฝ่าบาทเองก็เป็นเพียงผู้งมงายเช่นกัน(๑) ต่อให้หม่อมฉันพูดจนสิ้นแรง ฝ่าบาทจะเชื่อคำพูดของหม่อมฉันแม้เพียงคำเดียวกระนั้นหรือ ? ความผิดพลาดได้เกิดขึ้นแล้ว ชั่วชีวิตนี้เราสองคนไม่อาจหวนกลับไปเป็นเช่นกาลก่อนได้อีก !”

    สุดจะทนข่มกลั้นได้ไหวอีกต่อไป น้ำตาร่วงพรูลงมาดั่งมุกขาดสาย หญิงสาวทรุดกายลงร่ำไห้กับพื้นดิน


    <>::<>::<>


    อาทิตย์อัสดงลับประจิม

    บนถนนดินเหลืองสายใหญ่มิได้มีซากศพถูกทิ้งไว้แต่อย่างใด

    ขบวนรถอันเงียบงันได้เพิ่มเงาร่างอันบอบบางเงียบงันขึ้นหนึ่งร่าง

    ฉูเป่ยเจี๋ยพบว่า...ที่แท้หัวใจกับมือซึ่งถือกระบี่ มิได้สัมพันธ์กันเสมอไป...


    <>::<>::<>

    จากคุณ : Linmou - [ 21 ม.ค. 52 16:36:27 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com