Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    MOT D’AMOUR : ถ้อยคำของความรัก (ตอนที่ 2)

    ตอนที่ 1 : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7440418/W7440418.html

    -------------------------------------------------------------------------

    ตอนที่ 2


    คำขอโทษของชายหนุ่มทำให้กานตาภาชะงัก มองหน้าเขานิ่งด้วยความไม่เข้าใจ

    ขอโทษอย่างนั้นหรือ... คำขอโทษของเขามีความหมายว่าอย่างไร ในเมื่อตลอดมาเขาพยายามหาทางอธิบายว่า ตนเองไม่ใช่ฝ่ายผิดต่อเธอ  

    สีหน้าของเขาเจื่อนลงเมื่อเห็นประกายวูบไหวในดวงตาของเธอ  “นี่ผมทำผิดกับกานต์อีกแล้วใช่ไหม”

    คำถามของเขาทำให้เธอต้องบอกตัวเองให้หยุดคิด และพินิจความรู้สึกที่ฉายชัดอยู่ในน้ำเสียงของเขายามนั้นบ้าง อารมณ์ที่เหมือนสายฝนเย็นเฉียบที่ซัดใจอยู่เมื่อครู่ก็ค่อยเบาบางไปเช่นเดียวกับสายฝนภายนอกที่ค่อยซาเม็ดลงอีกครั้ง เหลือเพียงม่านละอองน้ำจาง ๆ ที่โปรยจากฟ้าลงต้องพื้นดินอยู่ในความมืดภายนอก

    ทุกครั้งที่มีปัญหากัน เป็นเขาทั้งนั้นที่เป็นฝ่ายเอ่ยคำขอโทษออกมาก่อนเสมอ ยอมเป็นคนผิด แม้ไม่ใช่ฝ่ายผิด และเป็นฝ่ายรอให้เธอใจเย็นลง มีน้อยหนนักที่จะขัดคอ ขัดใจ

    “ไม่... ณต ไม่ใช่อย่างนั้น”

    ไม่ใช่เขาที่สมควรกล่าวคำคำนี้กับเธอ หากเป็นเธอต่างหากเล่าที่ต้องกล่าวคำคำนี้กับเขา แต่ไม่ว่าจะกล่าวสักร้อย พันครั้งก็คงไม่เพียงพอกับความอดทนของผู้ชายที่ยอมให้เธอแทบทุกอย่างคนนี้  

    แต่จะพูดกับเขาอย่างไรกันเล่า เมื่อในอกของเธออัดแน่นด้วยความรู้สึกที่แม้กระทั่งตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกเช่นนั้นออกมาเช่นใด...  

    เธอเอื้อมคว้าข้อมือของอีกฝ่ายยึดไว้แน่นด้วยหวั่นว่าเขาจะลุกและหลบไปให้พ้นหน้าเธออีก หากปฏิกิริยาตอบสนองที่เธอได้รับกลับมาจากเขา คือ สัมผัสจากมือใหญ่อีกข้างที่ว่างอยู่ของเขาซึ่งวางทาบลงบนหลังมือของเธอ แล้วบีบเบา ๆ

    “ผมไม่ไปไหนหรอก...” เขาเอ่ยราวกับอ่านใจเธอออก “ถ้ากานต์อยากให้ผมอยู่”

    รอยยิ้มน้อย ๆ ที่คุ้นตา และความอบอุ่นของมือที่กุมมือของเธอไว้ทำให้ความว้าวุ่นที่เกิดขึ้นชั่ววูบนั้นคลายลงได้แทบทันที เช่นเดียวกันกับทุกครั้งที่เขายืนอยู่เคียงข้างเพื่อปลอบใจเธอเมื่อหลายปีที่ผ่านมา

    “ถ้าอย่างนั้น... อยู่ด้วยกันก่อนได้ไหม อย่าเพิ่งไปไหน” เธอถามแผ่วเบา

    เจ้าของร่างสูงที่นั่งอยู่เคียงข้างเธอสบตาเธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าก่อนที่เขาจะกล่าวรับ กลับต้องหันหลังไปขานรับเสียงเรียกจากนักดนตรีหนุ่มที่ปลีกตัวจากเวทีลงมาพบ  

    ประณตหันกลับมาหากานตาภา ถอนใจเบา ๆ ก่อนจะเลื่อนมือที่วางอยู่บนมือของเธอไว้ออกไปช้า ๆ และค่อย ๆ ถอนมืออีกข้างหนึ่งที่เธอจับเอาไว้ให้พ้นไปจากมือของเธอทีละน้อย

    “ตอนนี้ คงยังไม่ได้” เขาบอก “รอหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมกลับมา”

    วินาทีที่ปลายนิ้วของเขาพลัดไปจากมือ เสียงหนึ่งในใจบอกให้เธอรั้งเขาเอาไว้ หากสิ่งเดียวที่เธอกำไว้ได้กลับเป็นความว่างเปล่า ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับที่เธอคว้าเอาไว้ในวันที่เขาผละจากมือของเธอที่กำลังจะจับมือของเขา แล้วเลี่ยงไปเดินเสียอีกข้างหนึ่งแทนยามก้าวข้ามถนนไปด้วยกันวันนั้น

    หากยามนี้ กลับยังมีอีกความรู้สึกหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นโดยไม่คาดคิด...

    นี่ใช่ไหม คือ ความรู้สึกของเขายามที่พยายามประคับประคองความสัมพันธ์แสนเปราะบางระหว่างเธอกับเขาเอาไว้จนสุดความสามารถ แต่ท้ายที่สุดก็จำต้องปล่อยมือ และจำใจให้เรื่องราวทั้งหลายจบลงทั้งที่ใจจริงไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย

    หญิงสาวมองชายหนุ่มที่ยืนสนทนากับนักดนตรีรุ่นน้อง ณ มุมหนึ่งของร้านอาหารไกลออกไป แล้วก้มลงมองมือที่กำแน่นของตนเอง...

    ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตลอดหลายปีที่เธอได้รับรู้ว่า เขาไม่มีใคร... สิ่งที่อยู่ในกำมือของเขาคือสิ่งใด...

    “กลับมาแล้วครับ” เสียงทุ้มที่ดังอยู่ข้างหูทำให้กานตาภารู้สึกตัวอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำพูดและสัมผัสจากมือที่แตะลงบนบ่าของเธอเบา ๆ ด้วยความห่วงใย “เห็นนั่งนิ่งอยู่นานเลย ไม่สบายหรือเปล่า”

    “ไม่ได้เป็นอะไรหรอก...” เธอตอบและยิ้มให้เขา “แค่คิดอะไรเพลิน ๆ อยู่เท่านั้นเอง”

    “ครับ” ชายหนุ่มรับคำสั้น ๆ นั่งลงบนม้านั่งตัวเดิม หันไปกล่าวขอบใจบาร์เทนเดอร์ที่นำเครื่องดื่มมาวางให้ตรงหน้า โดยไม่ซักความถามไถ่ถึงสิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่เลยแม้เพียงคำเดียว

    หากเป็นดนัย ชายหนุ่มรุ่นพี่ที่เธอเคยคบหาด้วย คงถามเธอต่อไปแล้วว่า เธอกำลังอะไรอยู่ และถ้าไม่ได้คำตอบ เขาก็จะรบเร้าเอาคำตอบจากเธอจนได้ ซึ่งสำหรับเธอแล้ว ใจหนึ่งก็รำคาญ แต่อีกใจกลับพึงใจอยู่ลึก ๆ ที่เขาแสดงความสนใจในสิ่งที่เธอคิด

    ท่าทีของประณตที่ตรงกันข้ามกับเขาคนนั้นแทบเป็นคนละขั้วเช่นนี้เคยทำให้เธออดเปรียบเทียบและเก็บมานึกน้อยใจในความเฉยชา ไม่เอาใจใส่ของเขาไม่ได้ ทั้งที่บางครั้งเธอเองก็ไม่คิดเล่าสิ่งที่อยู่ในใจให้ใครฟัง

    “ไม่อยากรู้ ไม่อยากถามบ้างหรือว่า คิดอะไรอยู่” เธอแกล้งถาม

    “อยากรู้อยู่เหมือนกัน แต่เห็นท่าทางกานต์ไม่อยากตอบ เลยไม่อยากถาม” คนตัวสูงที่ประคองถ้วยกาแฟร้อนไว้ระหว่างสองมือตอบตามตรง และเงียบไปนิดหนึ่งเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก “แต่จริง ๆ ผมทำไม่ถูกใช่ไหม ที่ไม่ถาม เพราะดูเหมือนผมไม่แคร์...”

    เธอส่ายหน้า “เมื่อกี้ที่ณตถามว่าไม่สบายไหม ก็รู้แล้วละว่าเป็นห่วง... ถามหรือไม่ มันไม่สำคัญหรอก”

    สิ้นประโยคนั้น เธอกลับเป็นฝ่ายชะงักนิ่งด้วยสะท้านใจกับคำพูดของตนเอง และด้วยแววตาที่หลังเลนส์กระจกใสของเขาเอ่ยถามเธอ

    ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า เขาเป็นคนที่ไม่ช่างพูด ไม่ชอบแสดงความรู้สึก แต่เธอก็ยังเอาเขาไปเปรียบเทียบกับใครอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ยุติธรรมกับเขาเลยที่ทำเช่นนั้น

    แต่เพราะเหตุใดกัน ยามนั้นเธอถึงได้ฝังใจผู้ชายที่ทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจมานักหนาไปเสียยิ่งกว่าใครอีกคนที่ไม่เคยบอกรักแต่ห่วงเธอยิ่งกว่าใครตรงนี้อีกเล่า...

    “แล้วเมื่อตะกี้ เห็นเอาอะไรไปให้น้องผู้ชายคนนั้น” เธอเปลี่ยนเรื่องสนทนา ก่อนที่ตนเองจะคิดอะไรวุ่นวายมากไปกว่านี้และก่อนที่คนข้างตัวจะทันสังเกต “เป็นกล่องใส่ไวโอลินใช่ไหม”

    “ใช่ครับ ส่วนของลูกบิดหัก ตั้งเสียงไม่ได้ ผมเลยฝากให้น้องเขาเอาไปให้ร้านที่กรุงเทพฯ ซ่อมให้ แล้วก็เอาโน้ตกับซีดีเพลงที่เขาขอให้ผมเล่นไกด์มาให้เขาด้วย” เขาตอบเรียบ ๆ หากน้ำเสียงยามเอ่ยถึงเครื่องดนตรีชิ้นโปรดกลับเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาอย่างที่ยากจะปิดบังเอาไว้อยู่ “ดีที่เอาใส่ไว้ในกล่อง ไม่งั้นคงเปียกหมด”

    เธอเอามือเท้าคาง เอียงศีรษะมองเขา พลางใช้ปลายนิ้วไล้หยดน้ำที่เกาะอยู่ข้างแก้วเครื่องดื่มของตนเองเล่น... ท่าทางอย่างนี้นี่ละ ที่ทำให้เธออดยิ้มขันปนเอ็นดูผู้ชายตัวโตคนนี้ไม่ได้...

    รอยยิ้มกระจ่างของเขาทำให้บรรยากาศเงียบเหงา หม่นหมองของคืนฝนพรำพลันสว่างและอบอุ่นขึ้นทันตา และทำให้กำแพงน้ำแข็งของกาลเวลาและความห่างเหินที่คั่นขวางระหว่างคนเคยรักที่เคยทำตัวเหมือนไม่รู้จักกันในวันเก่าละลายลงแทบหมดสิ้น

    “ดีจังเลยนะ...” กานตาภาว่า “ถ้าณตเลิกเล่นคงน่าเสียดาย ยังจำได้ดีเลยละว่า เพลงที่ณตเล่นให้ฟังเพราะทุกเพลง เวลาณตเล่นไวโอลินดูมีความสุขมากเลยรู้ไหม”

    เขาหัวเราะเบา ๆ กับคำชมนั้นอย่างเขิน ๆ โดยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธเช่นเคย  

    “แล้วน้องเขาขอโน้ตเพลงจากณตล่ะ” เธอถามต่อ “เพลงใหม่เหรอ ถึงต้องเล่นไกด์ให้ด้วย”

    “ไม่ใหม่หรอกครับ ไม่ยากด้วย เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครเขาเล่นกัน” เขาบอกยิ้ม ๆ ยกกาแฟผสมรัมขึ้นจิบ “แต่กานต์เคยฟังแล้ว เป็นเพลงแรก ๆ ที่ผมเล่นให้ฟังเลยละ”

    หญิงสาวทำเสียงหือในลำคอเบา ๆ ขมวดคิ้วน้อย ๆ “ใช่ Salut D’Amour ของเอลการ์หรือเปล่า”  

    “เกือบใช่... จะทายอีกทีไหม” ชายหนุ่มถาม หากไม่นานก็ยอมเฉลยแต่โดยดีเมื่อเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธอย่างหนักแน่น “เพลง Mot D’Amour น่ะครับ”  

    ชื่อเพลงในคำตอบของเขาฟังดูคุ้นหู แต่ครั้นพยายามนึกถึง เธอกลับพบว่าท่วงทำนองของเพลงนั้นเลือนรางจนแทบจำไม่ได้ ไม่เพียงเท่านั้น ทำนองหวานใสสมความหมายการทักทายของความรักของเพลงที่เธอเอ่ยทายในหนแรกยังแจ่มชัด แทรกทับท่วงทำนองเพลงดังกล่าวขึ้นเกือบทุกครั้ง

    “ถ้ากานต์จะจำไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอกครับ... เพราะมันไม่ใช่เพลงที่คนรู้จักมากนักหรอก สู้เพลงแรกที่ประทับใจคนตั้งแต่แรกฟังอย่าง Salut D’Amour ไม่ได้” เขาอธิบายหลังเห็นเธอนิ่งนึกอยู่นาน

    “แม้ว่า Mot D’Amour ที่แต่งขึ้นทีหลังจะมีองค์ประกอบทางดนตรีที่ประณีตกว่า Salut D’Amour มาก แต่กลับไม่ประทับใจคนฟังเท่ากับ Salut D’Amour จนในที่สุดก็กลายเป็นเพลงที่ถูกลืม...”

    “สำหรับคนที่ไม่ได้เรียนดนตรีหรือสนใจจริงจังคงรู้สึกว่าสิ่งที่ผมพูดน่าเบื่อ เข้าใจยาก ไม่เข้าท่าเลย แต่มันเป็นนิสัยเสียของผมเอง” ประณตออกปากเก้อ ๆ ด้วยรู้ตัวว่ากำลังพูดแต่เรื่องที่ตัวเองสนใจ

    “แต่ถ้าให้อธิบายด้วยเหตุผลที่ธรรมดาที่สุด...” เขาเอนหลังพิงพนัก ทอดสายตาจับยังถ้วยกาแฟในมือซึ่งเริ่มเย็นลงมากจนกระทั่งไอร้อนหอมกรุ่นที่ลอยอวลเป็นควันขาวจางหายไปหมดแล้ว ระบายลมหายใจยาว และเอ่ยขึ้นแผ่วเบาเหมือนรำพึงกับตนเองเพียงลำพัง


    “รักแรก ลืมยาก…”





    (มีต่อนะคะ)

    แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 52 14:57:36

    แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 52 01:50:31

    จากคุณ : ปิยะรักษ์ - [ 29 ม.ค. 52 01:13:48 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com