เรื่องของชีวิต...
ราสส์ กิโลหก
อากาศตอนเช้าตรู่เย็นสบายมองเห็นกลุ่มหมอกขาวขุ่น อยู่รอบบริเวณ มองเหมือนรูปภาพที่จิตกรเขียนลงบนแผ่นกระดาษ ดูมันเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวและ เดียวดาย..
ผมมีธุระบางอย่างต้องออกเดินทางไปยังจังหวัดแห่งหนึ่ง โดยพาหนะคู่ใจเจ้าเก๋งแก่อายุร่วมๆ15 ปี แต่ยังไว้ใจได้เพราะดูแลรักษาเป็นอย่างดี คงไม่พยศจนทำให้ต้องกินข้าวลิงกลางทาง ใช้ความเร็วพอสมควรตามกำลังอายุของรถ เส้นทางที่ใช้เป็นถนนคอนกรีตมีอยู่หลายเลนทำให้ไม่เป็นอุปสรรคขวางทางรถคันอื่นๆ เพราะพวกเขาสามารถแซงซ้ายแซงขวาผมได้ตลอดเวลา แต่ก็มีรถนิสัยดีบางคันพยายามขับจี้หลังให้ผมหลบไปทางใดทางหนึ่ง เหมือนกันเส้นทางเส้นนี้เป็นของบรรพบุรุษของเขาที่สร้างให้เขาใช้ได้คนเดียว...
ชั่วโมงเศษๆมาถึงอาณาเขตของจังหวัดหนึ่งแต่ไม่ใช่ปลายทางของผม จึงเข้าสู่เส้นทางอ้อมเมืองเพื่อผ่านเลยไป เท่าที่สังเกตทางอ้อมเมืองเส้นนี้เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ถ้าคนใช้เส้นทางไม่ชำนาญจะไม่รู้ว่าทางเส้นนี้เปิดใช้งานได้แล้ว คงยังหลงใช้เส้นทางที่ผ่านเข้าไปในตัวเมืองทำให้เสียเวลามากขึ้นกว่าเดิม เพราะเส้นทางที่ผ่านเมืองการจราจรจะจอแจหนาแน่น..
เขาว่าถนนไปที่ไหนความเจริญก็ตามไปเป็นเงาตามตัว เหมือนท่ออากาศที่เติมเข้าไปในปอดคนที่หายใจไม่สะดวก จากที่ดินที่ไม่มีราคาค่างวด , หรือที่ดินตาบอด พอมีทางเส้นใหม่ตัดผ่าน มันเหมือนมีส้มหล่นใส่โครมใหญ่ จากคนทำสวนทำนามีกินไปวันๆหนี้สินเต็มตัวท่วมหัว กลายเป็นเศรษฐีในพริบตา วิถีชีวิตเปลี่ยนไปเงินทองแพร่สะพัด ที่ดินอยู่มาแต่ปู่ย่าตายายเกิดร้อนขึ้นมาจนอยู่ไม่ได้ ต้องดิ้นรนขายเพราะราคามันล่อใจ ทำให้ที่ดินสองข้างทางซึ่งติดกับถนนเส้นใหม่เกิดการเปลี่ยนมือเปลี่ยนเจ้าของอย่างรวดเร็ว..
เดิมตอนที่สำรวจเส้นเวนคืนทางใหม่ๆ เจ้าของที่ดินที่ถูกแนวเขตทาง จะปรากฏชื่อ นางหมา นายเฉื่อย นายอ้น นางมา นายไป๋ นายยุ่ง นางดอก นายควาย นายเบี้ยว นางง่อย นายถั่ว ฯลฯ..
หลังจากเส้นทางแน่ชัด ชื่อต่างๆเหล่านี้เปลี่ยนมือไปหมด กลายเป็นของนายทุนขุนศึก เช่น คุณทรงศักดิ์ , คุณอรอุมา , คุณประเสริฐศักดิ์ , คุณย้งศักดิ์ , คุณวิยะดา ,พลเอกทรงพล , พลตำรวจเอกอำนาจ , พลโทเกรียงไกร ฯลฯ..
สิ่งก่อสร้างสวยๆสองข้างทางเสริมเข้ากับถนนเส้นใหม่ อาคารพาณิชย์ทั้งที่ก่อสร้างเสร็จและกำลังก่อสร้างผุดขึ้นมากมาย แลดูเพลินตา เหมือนโรงลิเกที่กำลังจัดพื้นที่ขึงฉากสร้างโรงเพื่อรองรับการแสดงของตัวลิเก
แต่มีสิ่งหนึ่งที่สะดุดตาจนอดที่จะเกิดความหมองเศร้าในอารมณ์ไม่ได้ สิ่งนั้นคือภาพของสุนัขหรือหมา ถูกรถเหยียบทับจนแบน เละ คาถนนหลายตัวที่เดียว เป็นที่น่าสังเวช ผมคิดว่าหมามันคงไม่รู้จักถนนเห็นเรียบๆขาวเหมือนที่นอนของโปรด จึงพากันไปวิ่งเล่นเดินเล่นกันสนุก เพราะตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อ ท้องแม่ก็วิ่งเล่นบริเวณนี้กันเป็นประจำอยู่แล้ว นี่แสดงว่าสมองของพวกเขายังปรับตัวจับทางไม่ถูก จึงต้องเป็นเหยื่อของรถราที่วิ่งผ่าน
ทำให้นึกถึงเด็กหรือผู้หญิงบางคนที่เห็นแสงสีจาก สิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวหลงใหลไปตามที่เห็นโดยไม่รู้ถึงภัยอันตรายที่จะตามมา กว่าจะปรับตัวปรับสมอง ให้รู้จักก็สายเกินไป กลายเป็นเหมือนสุนัขที่แบนเป็นกล้วยปิ้งอยู่กลางถนน...ก็ว่ากันไป
ไม่นานก็ขับพ้นถนนสายอ้อมเมืองเข้าสู่ถนนสายหลักเพื่อเดินทางไปยังเป้าหมายที่ต้องการ รถบนถนนเริ่มหนาแน่น สำหรับผมก็เหมือนเดิมขับไปเรื่อยๆความเร็วไม่เกิน 90 ประหยัดน้ำมันไปในตัว ขับมาจนมาทันที่รถสิบล้อคันหนึ่ง ครั้งแรกก็ไม่ได้สนใจอะไรจนเข้ามาใกล้ๆจึงสังเกตเห็นว่าเป็นรถบรรทุกสุกรหรือหมู ที่เราเอามาปิ้งย่างแล้วกินเป็นอาหารจานโปรด
บนกระบะบรรทุกเต็มไปด้วยกรงที่ใส่ตัวหมู โดยตัวกรงเป็นรูปทรงกระบอกถักด้วยหวายเส้นใหญ่ๆ กรงหนึ่งจะใส่ตัวหมู 1 ตัวคะเนดูน้ำหนักคงไม่ต่ำกว่า 100 กิโลฯ กรงและหมูที่อยู่ในกรงจะเรียงซ้อนกันเป็นแถวสูงเท่ากับความสูงของกระบะรถสิบล้อประมาณ 2 เมตรรวมจำนวนทั้งคัน น่าจะเป็นร้อยตัว
ใครเห็นก็มองออกว่าเจ้าของหมูคงไม่ใจบุญพาหมูไปเที่ยว แต่หมูเหล่านี้ต้องส่งไปที่โรงฆ่าสัตว์ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาทั่วๆไปของทุกวัน เนื่องจากสัตว์เหล่านี้เป็นอาหารของมนุษย์ เพียงแต่สภาพที่หมูนอนอัดแน่นกันในกรงแคบๆ มันสะท้อนกลับในความรู้สึกว่า พวกสัตว์เหล่านี้เหมือนเป็นสิ่งของที่ไม่มีชีวิตชีวา ที่มนุษย์จะเอาไปทำอย่างไรก็ได้ เป็นสิ่งต่ำชั้นไร้ค่าในความเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ยังนึกคิดว่าหากตายไปเกิดใหม่ขออย่าเกิดเป็นหมูเลย..
พวกหมูนอนกันสงบนิ่ง แต่ก็ได้ยินเสียงร้องออกมาพอได้ยินในบางครั้ง การเดินทางในครั้งนี้ พวกมันจะรู้ชะตากรรมของตัวเองบ้างหรือเปล่า ? ผมว่าคงมีหมูซักตัวที่ฉลาดกว่าหมูตัวอื่นๆอาจจะรู้ว่าพวกเขากำลังจะเดินทางไปสู่ความตาย และมันคงนึกว่าถ้าตายไป ชาติหน้าคงจะขอเกิดเป็นคนบ้าง..
ผมเร่งความเร็วของรถขับแซงรถบรรทุกหมู หันไปมองเจ้าคนขับรถบรรทุก ไม่รู้ตาฝาดหรือเปล่าหน้าของเค้าเหมือนหมูจริงๆๆ....
ขับรถมาได้อีกประมาณ 60 กิโลฯก็ถึงทางแยกซึ่งเป็นเส้นทางเป้าหมายของผม ทางที่แยกออกไปเป็นเส้นทางโท เป็นเพียงถนน 2 เลนคือต้องขับรถสวนกัน แต่ก็ไม่ลำบากอะไรมากเพราะรถราไม่มากนัก ผมยังคงใช้ความเร็วเหมือนเดิม
จนมาเจอรถสิบล้อคันหนึ่งวิ่งอยู่ข้างหน้าแต่เขาขับช้ากว่าผม พอเข้าไปใกล้ปรากฏว่าบนรถมีควายตัวใหญ่สีดำเป็นมันแต่ละตัวอ้วนล่ำสัน ยืนเบียดเสียดกันจนเต็มพื้นที่ของกระบะรถ บางตัวที่อยู่ตรงกระบะตอนท้ายรถยังหันมามองผมส่งสายตามาทักทาย ยังนึกว่าเรามาเที่ยวสวนสัตว์หรืออย่างไร ?
ควายหรือเจ้าทุยของคุณรวงทอง แทนที่จะยืนเล็มหญ้าเขียวๆเคี้ยวเอื้องอยู่ในท้องนา ที่กว้างใหญ่ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชหญ้าและมีนกเอี้ยงช่วยเลี้ยงอยู่บนหลัง กลับต้องมายืนเบียดกันบนพื้นที่แคบๆบนรถสิบล้อ ถ้าเมื่อยก็นั่งไม่ได้ ลักษณะการยืนบนรถเจ้าของจัดให้ยืนสลับกันเป็นแถว คือตัวหนึ่งหัวไปทางหนึ่งถัดมาอีกตัวจะให้หันหัวไปอีกทาง จนเต็มมาถึงกระบะท้ายรถ ผู้โดยสารควายไม่มีโอกาสได้คุยกันเพราะหน้าแต่ละตัวจะไปอยู่ตรงบั้นท้ายของอีกตัว.
เวลารถเบรกหรือจังหวะเข้าโค้งแต่ละครั้ง กลุ่มควายเหล่านี้ก็จะเซไปตามแรง เหวี่ยงของรถ ที่จมูกของควายทุกตัวจะมีเชือกสนสะพายเอาไว้ เวลารถกระชากแต่ละทีมันจะกระตุกเชือกไปด้วย เนื้อตรงจมูกอ่อนๆโดนเชือกถูและกระตุก ควายคงเจ็บปวดไม่เบาที่เดียว ผมเห็นที่เขาของควายมีสีแดงทาเอาไว้ด้วย คิดว่ามันคงเป็นสัญลักษณ์ของคำพิพากษาให้ควายไปเข้าแดนประหาร...เศร้าจริงๆๆเจ้าทุย..เพื่อนฉัน..
ผมตัดความคิดในหัวสมองที่ปวดตุ๊บๆๆรีบขับแซงออกไป ไม่อยากหันไปมองคนขับ อาจจะเห็นเขางอกที่หัวของเจ้าคนขับ..
อีแก่ของผมยังทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ ไม่มีวี่แววความผิดปกติใดๆ ขับมาได้พักใหญ่ผมรู้สึกปวดท้องฉี่ คิดว่าจะมองหาปั๊มน้ำมันเพื่อจัดการกับธุระเบาๆ ขับมาสักพักแต่ก็ยังไม่เห็นวี่แวว หากจะรอให้เจอปั๊มน้ำมันคงไม่ไหว มองดูสองข้างทางไม่ค่อยมีบ้านเรือนผู้คนมีแต่ท้องทุ่งท้องนา ตัดสินใจมองหาที่เหมาะๆริมทาง เพื่อปลดปล่อยน้ำเสียจากไต..
ต้นไม้ใหญ่ข้างทาง 2-3 ต้นเกาะกันเป็นกลุ่มทำให้บริเวณนี้ดูรกครึ้ม และร่มเย็น ที่สำคัญมองไม่เห็นมนุษย์ในรัศมี 500 เมตรผมลดความเร็วเลี้ยวหัวรถเข้าจอด ดับเครื่องแล้วจัดการดึงสลักภายในรถเพื่อเปิดฝากระโปรงรถเป็นการระบายความร้อนหลังจากเดินทางมาหลายชั่วโมง เห็นบรรยากาศดีๆเลยคิดจะนั่งพักซักครู่..
จัดการธุระส่วนตัวจนตัวเบาสบายดีแล้ว ผมเอาเสื่อผืนเล็กๆ,น้ำเปล่า และของขบเคี้ยวหลายอย่าง เดินหาที่เหมาะๆใต้ต้นไม้ใหญ่ เพื่อจะปูเสื่อนั่งพักให้สบายใจ อากาศดีจริงๆลมเย็นพัดผ่าน ทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นทันที เหมือนร่างกายได้รับแร่ธาตุจากลมที่พัดผ่าน ..
แกะถุงอาหารหยิบของออกมากิน หยิบของกินใส่ปากส่วนสายตาก็มองไปรอบๆตัวดูนั่นดูนี่จนเพลิน ขณะที่กวาดสายตาลงที่พื้นดิน มองเห็นมดตัวเล็กๆวิ่งกันไปมาหลายตัว แมลงตัวเล็กๆก็มี พวกมันไม่อยู่นิ่ง เดินไปเดินมาตลอด พวกมันคงออกมาหากินเพราะสิ่งมีชีวิตต้องกินอาหาร ถ้าไม่มีอาหารกินก็อดตาย
ผมนั่งเพ่งมองดูด้วยความสนใจ บ้านของพวกมันอยู่ที่ไหนกัน มันคงมีครอบครัวมีลูกมีเมียเหมือนเรา นี่ก็คือเป็นสิ่งมีชีวิต หนึ่งตัวก็หนึ่งชีวิต เหมือนเรา 1 คนก็หนึ่งชีวิต เท่ากัน ต้นไม้ก็สิ่งมีชีวิตเหมือนกันเพราะสามารถเติบโตได้ ออกลูกได้ ผมหันไปมองที่ต้นไม้ข้างๆตัวยังคิดว่าเจ้าต้นไม้ก็คงมองผมเหมือนกัน ... เอ๊ะ ! ..อากาศดีเกินไปเลย ฟุ้งซ่านไปกันใหญ่...เดินทางต่อดีกว่า..
หลังจากได้พักทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นมาก หายจากอาการเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว จึงเริ่มออกเดินทางต่อ ขับรถมาได้เกือบชั่วโมง จนถึงช่วงหนึ่งมองไปข้างหน้าเห็นเป็นโค้งหักข้อศอก ผมรีบลดความเร็วลงตามหลักการขับรถให้ปลอดภัย พอมาถึงจะเข้าทางโค้งซึ่งเป็นทางลาดลงเขา..
พอมองไปข้างหน้าผมตกใจ เพราะเลยโค้งลงไปเป็นทางลาดลงต่ำ ที่บนถนนมีรถตำรวจและรถมูลนิธิต่างๆจอดอยู่กลางถนน แสงไฟกระพริบสีแดงๆมองเห็นแต่ไกล คิดว่าคงมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นแน่นอนและคงมีการตายเกิดขึ้น มีรถคันอื่นๆประเภทไทยมุงจอดอยู่ข้างทางหลายสิบคัน คงเป็นพวกชอบดูความ ชิกหายของคนอื่น ..
ผมใจสั่นทำให้มือไม้สั่นตามไปด้วยพยายามประคองให้ขับรถไปได้ มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิคอยช่วยโบกรถให้ผ่านไป ช่วงที่ผ่านจุดเกิดเหตุผมพยายามไม่มองไปที่ถนน แต่สายตาก็เหลือบเห็นผ้าขาวที่คลุมตัวคนตายอยู่บนถนน ซึ่งมีอยู่หลายศพที่เดียว ข้างถนนก็มี..ส่วนรถต้นเหตุเป็นรถกระบะหกล้อพลิกคว่ำอยู่ข้างทาง ตัวรถพังยับเยิน ถ้าให้เดาพวกที่ตายคงนั่งมาในกระบะหลัง พอรถเสียหลักคว่ำมันก็เหมือนคนที่ตกจากต้นไม้สูงๆลงสู่พื้นเพราะไม่มีอะไรป้องกันให้เลย..ตายสถานเดียว รถออกแบบมาให้บรรทุกของแต่พวกเราเอามาบรรทุกคน..
ขับพ้นมาได้ ความเร็วตอนนี้ผมใช้ที่ 70 ก็พอ ภาพคนตายมันยังติดตาอยู่ ความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ไม่ว่าใหญ่โตคับฟ้ามาจากไหน..
รถบรรทุกหมูหรือควายพาไปสู่ความตายโดยที่หมูและควายคงไม่รู้ ผมว่าคนเราทุกคนบนโลกนี้ เปรียบเหมือนนั่งกันอยู่บนรถบรรทุกเหมือนกัน เพียงแต่เราไม่รู้แบบเดียวกับหมูหรือควายว่า กำลังจะเดินทางไปไหน และมีเทวดาหรือพญามัจจุราช ขับรถตามหลังรถบรรทุก กำลังมองดูเราเหมือนที่ผมมองเห็นรถบรรทุกหมูหรือควาย นั่นเอง....??
แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 52 08:15:36
แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 52 08:13:00
แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 52 08:04:32
แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 52 18:21:15
แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 52 18:14:24
แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 52 16:42:57
แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 52 05:54:36
จากคุณ :
สวนดอก
- [
9 ก.พ. 52 05:51:12
]