Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    เถ้าแก่ชีมกิมหยงกับคุณละม้าย

    เถ้าแก่ชีกิมหยงกับคุณละม้าย

    หลายปีก่อนได้เดินกลับบ้านร่วมกับพี่สาวและพี่ชาย
    หลังจากไปเรียนภาษาจีนกับครูจีนคนหนึ่ง
    สมัยนั้นต้องแอบ ๆ เรียน และเรียนแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ
    เพราะรัฐบาลรังเกียจภาษาจีน หาว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์
    และโรงเรียนภาษาจีนในหาดใหญ่ก็ถูกปิดกิจการไปแล้ว
    ผ่านไปทางถนนดินลูกรังมีสภาพเป็นเนินเล็ก ๆ
    มีการปลูกผักอยู่รอบ ๆ ทางเดินที่จะตัดออกไป
    ถนนศรีภูวนารถ(แถว ๆ ไดอาน่า) ปัจจุบัน

    ข้างทางเจอฮวงจุ๊ยขนาดใหญ่
    มีสระบัวและลำคลองไหลผ่านข้างหน้าฮวงจุ๊ย
    (คลองเตยสมัยก่อน น้ำจะสะอาดกว่าปัจจุบันเหมือนสภาพฝนตกใหม่ ๆ
    ในตอนนี้ที่เป็นทางระบายน้ำฝนเป็นส่วนใหญ่)
    พี่สาวกับพี่ชายเลยเล่าว่า เคยไปว่ายน้ำแถวหน้าฮวงจุ๊ย
    แต่มีจะมีคนหรือคนงานมาไล่ไม่ให้ว่ายน้ำแถวนั้น
    ตอนนั้นยังเด็กมากและว่ายน้ำไม่เป็น
    ก็เลยไม่สนใจมากนักเลยเดินผ่านกลับบ้านไป

    หลายปีต่อมาจึงทราบว่าฮวงจุ๊ยนั้นคือของเถ้าแก่ชีกิมหยง
    แต่ภายหลังลูกหลานได้รื้อฮวงจุ๊ยออกมา
    เพื่อเอาที่ดินบริเวณนั้นมาทำบ้านจัดสรรขาย
    แล้วย้ายหลุมศพเถ้าแก่ชีกิมหยงไปฝังที่อื่นแทน
    ทราบจากลูกสาวคนหนึ่งของแกว่า
    มีการรื้อฮวงจุ๊ยออกมาแล้ว  ศพของเถ้าแก่ชีกิมหยงต้อง
    วางตากแดดตากฝนอยู่เป็นอาทิตย์
    (ภาคใต้สมัยก่อน-ปัจจุบัน ถ้าในหนึ่งอาทิตย์ฝนไม่ตกถือว่าแล้งแล้ว)
    กว่าจะมีการย้ายและนำไปฝังที่อื่นแทน
    (ธรรมเนียมจีนการย้าย/ฝังศพ ต้องมีการดูวันเวลา
    เพื่อไม่ให้ชงหรือเซียะ ไม่ก่อผลดีกับลูกหลานคนอื่น)
    นี่คือเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นหาดใหญ่
    ที่ทำให้คนเก่าคนแก่  มักสั่งลูกหลานไม่ให้ฝังศพตนเองไว้
    ในที่ดินสวนยางพาราของตนเอง
    เพราะกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนเถ้าแก่ชีกิมหยง

    โครงการบ้านจัดสรรบนที่ดินของเถ้าแก่ชีกิมหยง
    ก็มีปัญหามากมายตั้งแต่การจองบ้าน การขายบ้าน
    และที่ร้ายที่สุดคือหุ้นส่วนคนหนึ่ง
    มีการเบิกเงินก้อนหนึ่งกว่าสิบห้าล้านบาท
    แล้วหนีหายไปที่อื่นเลย  ทำให้ติดหนี้ติดสินบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง
    ทำขายใช้หนี้แต่อย่างเดียว (ดอกเบี้ยตอนนั้นร้อยละสิบห้าต่อปี)
    หรือเดือนละเกือบสองแสนบาท เรียกว่า
    สร้างเสร็จช้าโอนช้าก็จ่ายแต่ดอกเบี้ยอย่างเดียว
    สมัยนั้นขายบ้านหลังละห้าแสนถึงหกแสนบาทก็ถือว่าแพงแล้ว
    สุดท้ายที่ดินแปลงใหญ่ของเถ้าแก่ชีก็หมดสภาพไป
    เหลือแต่ชื่อภริยาเถ้าแก่ชีมกิมหยง (ถนนละม้ายสงเคราะห์)
    เป็นชื่อถนนบนบริเวณที่ดินเดิมของเถ้าแก่ชีกิมหยง
    ลูกสาวแกก็พยายามแก้ไขหนี้สินจนวาระสุดท้ายก็ถูกยิงตาย
    โดยไม่ทราบสาเหตุและคนยิงแต่อย่างใด

    เถ้าแก่ชีกิมหยงกับคุณละม้าย
    เป็นคนที่มีที่ดินมากที่สุดในหาดใหญ่สมัยหนึ่ง
    เพราะพ่อเถ้าแก่ชีเป็นผู้รับเหมาสร้างทางรถไฟสายใต้บางช่วง
    ร่วมกับขุนนิพัทธ์จีนนคร  ที่เป็นหัวหน้างานในการหาคนงานจีน
    โดยคนงานจีนเป็นกรรมกรที่มารับเหมาแรงงานสร้างทางรถไฟสายใต้ช่วงหนึ่ง
    เมื่อเถ้าแก่ชีแต่งงานกับคุณละม้ายซึ่งเป็นคนไทยก็ซื้อที่ดินเก็บไว้จำนวนหนึ่ง
    และบุกเบิกที่ดินไว้ส่วนหนึ่ง เพราะมีคนงานคนเก่าคนแก่ช่วยบุกเบิกส่วนหนึ่ง
    สมัยนั้นการจับจองที่ดินก็ไม่ยุ่งยากอะไรมาก
    เพียงแต่ไปแจ้งอำเภอกับกำนันว่าจะจองที่ดินบริเวณไหน
    ก็ปักหลักเขตและบอกเนื้อที่ดินจะทำประโยชน์โดยประมาณ
    โดยที่ดินจับจองก็ต้องไม่ทับซ้อนที่คนอื่นหรือที่สาธารณะ
    ใครสามารถครอบครองและทำประโยชน์ได้ครบสามปีขึ้นไป
    ก็สามารถขอออกเอกสารสิทธิ์ได้เลยเป็นตราจองรับรองว่าทำประโยชน์

    ที่ไหว้ศาลเจ้าแป๊ะกง  ที่ถนนเชื่อมรัฐหาดใหญ่
    แกก็บริจาคให้  มีรูปถ่ายทั้งคู่ติดอยู่ในศาลเจ้า
    โรงเรียนกุลบุตรและกุลธิดา เครือซาเลเซียนในหาดใหญ่สองโรงเรียน
    (โรงเรียนแสงทองวิทยาและโรงเรียนธิดานุเคราะห์)
    ก็เป็นที่ดินที่แกบริจาคให้ประมาณว่าก่อนปี 2500
    ที่ดินในหาดใหญ่ยังไม่แพงมาก และพลเมืองไทยยังน้อยอยู่มาก
    และโรงเรียนศรีนครตรงกันข้ามกับโรงเรียนกุลบุตรเครือซาเลเซียน
    แกก็บริจาคให้เช่นกัน  (มีรูปปั้นทั้งสองคนประดิษฐานไว้)

    แต่เดิมโรงเรียนศรีนครนี้สอนภาษาจีน  แต่ถูกรัฐบาลสฤษดิ์  สั่งปิดกิจการ
    นักเรียนเลยต้องโยกย้ายไปเรียนที่อื่นอีกหลายแห่ง
    มีช่วงหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดประมาณก่อนปี พ.ศ.2515 ก่อนหน้านี้ซักสองสามปี
    ลูกหลานของเถ้าแก่ชีคนหนึ่งจะขอนำที่ดินโรงเรียนแห่งนี้คืน
    เพื่อไปทำการจัดสรรค์ต่อ  เพราะถือว่าไม่มีการเรียนการสอนมากว่าสิบปีแล้ว
    และอาคารเรียนก็เป็นที่พักของคนยากไร้ หาเช้ากินค่ำ
    (ถีบสามล้อ) เก็บของเก่า หรือ คนเป็นโรคร้าย(โรคเรื้อน)
    หรือภาษาจีนไม่ทราบภาษาไหนเรียกว่า ปั้ดไท่ก่อ (ถ้าจำไม่ผิด)
    สภาพสนามบอลก็เป็นปลักหรือหนองหญ้า  มีหญ้าคาขึ้นแน่นหนา
    และบางครั้งก็มีคนไปจับปลา  หรือขุดดินหาปลา มักได้ปลาไหลจำนวนมาก
    เพราะอยู่ใกล้กับที่ผมไปเรียนภาษาจีน  และไปยืนดูตอนเขาขุดหาปลากัน
    เด็กนักเรียนโรงเรียนฝั่งตรงข้ามมักจะนัดแนะกันไปชกต่อยกันที่นั่น
    ช่วงสอบเสร็จประจำภาคหรือหลังเลิกเรียนประจำวัน กรณีหาข้อยุติความขัดแย้ง
    ผมก็เคยไปใช้บริการแถวนั้นในบางครั้ง
    กลับบ้านก็มักจะถูกแม่ตีซ้ำเพราะหน้าตาบวมปูดกลับมา
    หรือบางครั้งครูโรงเรียนก็ไปจับตัวมาทำภาคทัณฑ์ที่โรงเรียน
    ทั้งนักมวยและนักเรียนที่ตามไปเป็นกองเชียร์

    เมื่อลูกเถ้าแก่ชีคนหนึ่งจะขอนำที่ดินโรงเรียนศรีนคร
    คืนกลับมาให้กองมรดกเถ้าแก่ชี  เพื่อนำไปจัดสรรค์ต่อ
    ทางกลุ่มคนจีน ศิษย์เก่าโรงเรียนแห่งนี้  และบทบาทมากที่สุดคือ
    สมาคมคนจีนแต๊จิ๋ว  ก็ต้องแก้เกมส์
    โดยรีบเร่งพัฒนาอาคารเรียนเป็นการใหญ่
    หาวัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอนใส่เข้าไปในอาคารเรียน
    และไปซื้อกิจการโรงเรียนราษฏร์แห่งหนึ่งที่ทุ่งลุง
    สภาพใกล้จะปิดกิจการแล้วมาทำการเรียนการสอนที่แห่งนี้
    พร้อมให้มีรถประจำทางรับส่งเด็กนักเรียนจากหาดใหญ่ไปทุ่งลุง
    ทำให้เงื่อนไขการไม่เป็นโรงเรียนหมดไป
    พร้อมกับเริ่มรับสมัครนักเรียนชุดใหม่ ๆ เข้ามาสบทบการเรียน
    โดยการเก็บค่าเล่าเรียนเล็กน้อยหรือให้เรียนฟรี
    โดยสมาคมมูลนิธิของชาวจีนช่วยสนับสนุนค่าเล่าเรียน
    จนมีการพัฒนาเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน

    ประเมินกันคร่าว ๆ ว่า สมบัติของเถ้าแก่ชีกิมหยงกับคุณละม้าย
    ที่ได้บริจาคให้กับโรงเรียนทั้งสามแห่งในหาดใหญ่
    ถ้ายังคงอยู่ปัจจุบันไม่น่าต่ำกว่าห้าร้อยล้านบาท
    เฉพาะราคาประเมินของสำนักงานที่ดินอย่างเดียว
    ยังไม่รวมรายได้จากธุรกิจของครอบครัวคือ
    โรงภาพยนต์คิงส์(ถ้าจำไม่ผิด) ตลาดชีกิมหยง (โรงภาพยนต์เฉลิมไทยในอดีต)
    ปัจจุบันเป็นร้านขายสินค้าข้างบน ข้างล่างเป็นตลาดช่วงเช้า
    ทั้งสองแห่งหลังนี้ได้ขายกิจการไปหมดแล้ว

    นี่ก็เป็นสัจจธรรมข้อหนึ่ง
    คือ สมบัติผลัดกันชม
    หรือ สม+วิบัติ  คือ สะสมไว้รอวันวิบัติ แตกสลายไปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
    โจทย์ดังกล่าวก็น่าจะตอบปัญหาที่ว่า
    ทำไมบิดามารดาทำบุญไว้มากมาย
    แต่สุดท้ายเหลือแต่รูปถ่ายและอนุสาวรีย์
    แล้วทรัพย์สมบัติที่มากมายทำไมถึงหายไปไหน
    ก็น่าจะพิสูจน์ได้ว่า กรรมใดใครก่อคนนั้นรับไป
    ไม่ได้ตกทอดสืบสายให้กับทายาทหรือลูกหลานมากนัก
    เพราะต่อให้พ่อแม่สร้างสมบัติไว้มากมาย
    แต่ลูกหลานไม่มีปัญญารักษาก็เท่านั้นเอง
    เป็นธรรมชาติ  ธรรมดา
    เฉกดังท่านพุทธทาสกล่าวไว้
    สมัยไปนั่งฟังท่านเทศน์ที่สวนโมกข์

    เขียนไว้เป็นความทรงจำก่อนที่จะเลือนหายไป
    ถึงบุคคลในตำนานของบ้านเกิด

    แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 52 09:48:33

    จากคุณ : ravio - [ 14 ก.พ. 52 09:24:29 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com