Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    อีกเรื่อง...ที่พิสูจน์ไม่ได้ 12 รอยกรีดที่แขนซ้าย

    อีกเรื่อง...ที่พิสูจน์ไม่ได้ 12 รอยกรีดที่แขนซ้าย

    เรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายของประสบการณ์อันน่าสะพรึงและหาคำตอบไม่ได้ที่ผมประสบพบกับตัวเอง และสำหรับเหตุการณ์นี้ มันไม่ใช่ความหวาดกลัวที่ทำให้ขนหัวลุก มันไม่ใช่เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดอาการกระตุกขวัญสั่นประสาท

    หากแต่ในครั้งนี้มันกลับเป็นความสะพรึงอีกรูปแบบหนึ่งที่แตกต่างออกไปจากครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา สิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจมันเป็นความกังวลมากกว่าที่จะเรียกว่าความหวาดกลัว

    ...ความกังวลที่ว่า...จะได้พบกับอะไรแบบนั้นซ้ำอีกครั้ง...และอีกครั้ง...ในตอนเช้าที่ลืมตาตื่นขึ้นมา...

    .......................................

    ด้วยเหตุการณ์บางอย่างอันไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตก่อนพ้นวัยเบญจเพศเล็กน้อย ทำให้ผมจำต้องมาพำนักอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งหนึ่งในเขตปริมณฑล

    มันเป็นหอพักปูนชั้นเดียวที่เรียงรายด้วยห้องจำนวนห้าห้องที่ด้านหนึ่งของระเบียงทางเดินโดยที่อีกด้านหนึ่งถูกปล่อยให้เป็นที่โล่ง

    ตัวหอพักถูกยกให้สูงจากพื้นดินพื้นหญ้านอกอาณาเขตตัวอาคาร หินกรวดและต้นไม้ขนาดย่อมถูกนำมาจัดเรียงไว้โดยรอบอาจจะเพื่อความสวยงาม และกำแพงสูงที่ล้อมอยู่เป็นตัวกำหนดอาณาเขตของหอพักแห่งนี้

    หากจะว่าไป ที่ผมบอกว่าเป็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยนั้นก็อาจจะไม่ถูกต้องนักเสียทีเดียว เพราะในความเป็นจริงเมื่อหลายปีก่อนผมเคยพยายามมาพักอยู่ที่นี่ครั้งหนึ่งแล้ว เพียงแต่ไม่ใช่ห้องที่ผมกำลังจะเข้าพักในเวลานี้เท่านั้น

    และในครั้งนั้น หลังจากที่ผมพยายามข่มตาให้หลับเพียงครึ่งชั่วโมงในช่วงเที่ยงวันเท่านั้น ผมก็ตัดสินใจเก็บข้าวของย้ายออกในทันที

    ...ทั้งๆ ที่เป็นห้องปรับอากาศ แต่กลับรู้สึกร้อนอย่างบอกไม่ถูก ทุกครั้งที่หลับตาจะรู้สึกได้ถึงสายตาไม่เป็นมิตรที่จับจ้องอย่างไม่วางตา...

    ในครั้งนี้เมื่อผมจำต้องเข้ามาพักที่นี่อีกครั้ง ผมจึงสำรวจบริเวณโดยรอบเพื่อให้เกิดความคุ้นเคย แต่ความรู้สึกบางอย่างก็เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่ผมเดินเข้าไปในห้องครัวของหอพัก

    ...ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่ความรู้สึกบอกว่าอย่าพยายามเข้ามาที่นี่จะดีกว่า และหลังจากนั้นทุกครั้งที่เข้ามาผมจะรู้สึกขนลุกบอกไม่ถูกในบริเวณนี้...

    เมื่ออาศัยอยู่มาได้สักระยะ เรื่องเล่าต่างๆ ของหอพักแห่งนี้ที่ผมไม่ค่อยอยากจะรับรู้สักเท่าใดก็หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย และหนึ่งในเรื่องเล่านั้นก็เป็นบริเวณห้องครัวเสียด้วย

    ...ตอนดึกๆ หากเดินไปห้องครัว อย่ามองไปที่ต้นมะม่วงต้นนั้นเชียวนะ ผู้หญิงที่นั่งอยู่บนกิ่งมะม่วงต้นนั้นมานานแสนนานจะออกมาทักทายผู้มาอยู่ใหม่...

    ...รู้รึเปล่า...ที่ดินที่ปลูกหอพักหลังนี้ เมื่อก่อนเคยเป็นสุสาน...

    ...มีคนเคยเห็นผู้พักคนก่อนเดินไปเดินมาอยู่ตรงระเบียงด้วยนะ แต่รู้มั้ย ที่สำคัญน่ะ เค้าเสียไปนานแล้วนี่สิ...

    ในช่วงแรกของการพักอาศัยในที่แห่งนี้ อาการข่มตาให้หลับเกิดขึ้นแทบจะทุกคืน ความรู้สึกเดิมๆ ที่เหมือนมีใครยืนจ้องยังคงตามมารบกวนเป็นระยะ

    ...ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว...หากผมรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้แล้วล่ะก็ ผมคงจะรู้สึกว่าเรื่องผ่านพ้นไปช่างเป็นเรื่องเล็กน้อยเสียจริงๆ...

    หนึ่งสัปดาห์ สองสัปดาห์ และหลายสัปดาห์ผ่านไป ดูเหมือนทุกอย่างจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง ผมเริ่มคุ้นชินกับความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองจนกลายเป็นไม่ใส่ใจกับมัน

    “ก๊อกๆๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นในช่วงดึกคืนหนึ่ง ผมแปลกใจอยู่เหมือนกันที่จะมีใครมาเรียกในยามวิกาลเช่นนี้ เพราะโดยปกติผู้อาศัยที่นี่จะไม่ค่อยไปมาหาสู่กันสักเท่าใด แต่กระนั้นผมก็ยังลุกขึ้นไปเปิดประตู

    หลังบานประตูนั้นว่างเปล่า ผมชะโงกหน้าออกจากห้องซ้ายทีขวาทีเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจ และมันก็ยังคงว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น

    ...ผมปิดประตูห้องไม่ได้ใส่ใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าใดนัก...

    “ก๊อกๆๆ” ในคืนถัดมาเสียงเคาะประตูก็กลับมาอีกครั้งและทุกอย่างก็เป็นเหมือนคืนก่อนที่ผ่านมา

    ...ผมเดินไปเปิดประตู ภายนอกว่างเปล่า...

    ที่แตกต่างออกไปก็คือผมเริ่มครุ่นคิดอะไรบางอย่างรวมถึงสายตาเหลือบไปมองนาฬิกาซึ่งขณะนั้นเข็มชี้เวลาไปที่สองทุ่ม

    “ก๊อกๆๆ” ที่เวลาสองทุ่มอีกเช่นเคย ผมเดินไปเปิดประตูหลังได้ยินเสียงเคาะเป็นคืนที่สาม แต่ผลก็ยังคงเหมือนสองคืนที่ผ่านมา

    “ก๊อกๆๆ” และก็เป็นเวลาสองทุ่มอีกครั้งกับเสียงเดิม ผมเดินไปเปิดประตูด้วยอารมณ์ขุ่นมัวก่อนจะเดินออกไปตรวจสอบระเบียงทางเดิน คำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ

    ...ใครกัน...

    และก็เป็นเช่นเดียวกับคืนก่อนๆ ความว่างเปล่าตรงหน้ายังคงทำให้คำถามของผมไม่ได้รับคำตอบอยู่นั่นเอง

    “ก๊อกๆๆ” “แกร๊ก” ในทันทีที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมซึ่งยืนเตรียมพร้อมรอหาคำตอบอยู่หลังบานประตูหมุนลูกบิดและเหวี่ยงประตูออกแทบจะในทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะนั้น ก่อนจะชะโงกหน้าออกไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

    และอีกเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ผมก็เหวี่ยงประตูปิดแทบจะในทันทีเช่นกัน ความว่างเปล่าในคืนนี้ ทำให้ผมไม่อยากรู้คำตอบสำหรับคำถามในใจของผมอีกต่อไป

    ...ด้วยความเร็วในการเปิดประตูขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะมีใครมาเคาะประตูแล้ววิ่งไปแอบที่ไหนได้...

    .......................................

    “สวบ...สวบ...สวบ” เสียงเดินย่ำพื้นหญ้าดังอยู่นอกหน้าต่างตรงบริเวณหัวนอนของผมพอดิบพอดี ผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการงัวเงีย และด้วยนิสัยที่ตื่นขึ้นมาจะต้องดูนาฬิกาทำให้ผมทราบว่าขณะนี้เป็นเวลาตีสามแล้ว

    ผมลุกขึ้นนั่งหันไปทางหน้าต่าง ขณะนี้มีเพียงกระจกใสและผ้าม่านหนาผืนเดียวเท่านั้นที่กั้นผมกับบรรยากาศภายนอกออกจากกัน

    ...จะเปิดม่านออกดูดีมั้ยเนี่ย แต่หอนี้เป็นที่พักเฉพาะที่คนอื่นไม่สามารถเข้ามาได้อยู่แล้ว แล้วอีกอย่างเวลาขนาดนี้แล้วใครจะยังมาเดินทำอะไรอยู่อีก...

    ...ถ้าเปิดม่านออกไป แล้วเจอสายตาของใครบางคนกำลังจ้องเข้ามาล่ะ...

    หลังจากคิดกลับไปกลับมา ความกลัวที่มักชนะความกล้าก็ทำให้ผมตัดสินใจลืมเรื่องทุกอย่างและล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

    .......................................

    “ปี๊บๆๆๆ.....ๆๆๆๆ” ผมกดปิดเสียงนาฬิกาปลุกก่อนจะงัวเงียลุกขึ้นอาบน้ำในเช้าวันหนึ่ง

    ...อูยยยย...แสบแฮะ...

    ผมพลิกแขนซ้ายที่เพิ่งถูสบู่เมื่อสักครู่ขึ้นมาดู และพบว่าเกิดอะไรบางอย่างขึ้นที่แขนข้างนั้น มันเป็นรอยกรีดยาวประมาณหนึ่งนิ้วที่ไม่คมเท่ากับรอยมีดกรีด แต่ก็ลึกพอที่จะทำให้เลือดไหลออกมาได้จำนวนสามรอย

    “โดนอะไรก็ไม่รู้เนี่ย ตั้งสามแผล แสบชะมัด” ผมพูดพร้อมกับแสดงบาดแผลทั้งสามรอยนั้นให้เพื่อนที่ทำงานดู

    “โห โดนขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก สงสัยจะขี้เซาเอามากๆ” เพื่อนๆ ต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกัน และนั่นเองทำให้ผมกลับไปตรวจสอบสภาพที่นอนและสิ่งของต่างๆ ที่รายล้อมอยู่รอบๆ เตียง

    ...และในเย็นวันนั้นผมก็พบว่าไม่มีที่ไหนเลยที่จะทำให้ผมเป็นแผลขนาดนี้ได้...

    .......................................

    ประมาณสองสัปดาห์หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนจะเป็นปกติดี แผลที่แขนซ้ายนั้นก็หายเป็นปกติพร้อมๆ กับที่ผมลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเรียบร้อยแล้ว

    และผมคงจะลืมเรื่องนี้ตลอดไป หากไม่พบว่าในเช้าวันต่อมาที่ผมตื่นขึ้น รอยแผลรอยใหม่ที่แขนซ้ายได้เกิดขึ้นอีกครั้ง

    ...เป็นแผลลักษณะคล้ายรอยกรีดยาวเช่นเดิม แต่คราวนี้มีเพียงหนึ่งรอยเท่านั้น...

    เป็นอีกครั้งที่ผมเอาแผลที่เกิดขึ้นไปให้เพื่อนร่วมงานดูและยังคงพูดคุยกันเล่นดังเช่นคราวแรก หากแต่ในคราวนี้ใจผมกลับเริ่มคิดถึงเรื่องที่ไม่แม้แต่อยากจะนึกถึงขึ้นมาเสียแล้ว

    เช้าในอีกสองสัปดาห์ต่อมาหลังจากที่รอยแผลครั้งที่สองหายเป็นปกติ รอยแผลใหม่ก็เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สาม รอยกรีดแบบเดิมที่แขนซ้ายข้างเดิม

    ความกังวลที่เป็นทุนเดิมเริ่มสั่นคลอนประสาท รอยแผลนี่เกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมมันไม่เคยเกิดซ้ำถ้าแผลเก่าไม่หาย และแผลใหม่จะเกิดขึ้นทันทีหลังจากแผลเก่าหายสนิท

    เพื่อนร่วมงานนำพระมาให้ผมตั้งไว้ที่หัวเตียงและแนะนำให้ผมสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน แต่ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม แผลใหม่ยังคงเกิดขึ้นในเช้าที่แผลเดิมหาย

    ...พรุ่งนี้จะเป็นอีกรึเปล่านะ...

    ความกังวลที่เกิดขึ้นในทุกคืนที่รอยกรีดเดิมหายดี ความคิดถึงเรื่องในเช้าวันถัดไปที่เหตุการณ์จะเหมือนเดิมอีกครั้ง
    .......................................

    เหตุการณ์รอยกรีดที่แขนซ้ายนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ และดำเนินอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาไม่ต่ำกว่าสามถึงสี่เดือน จนกระทั่งหนึ่งในเพื่อนร่วมงานนำสายสิญจน์จากวัดแห่งหนึ่งมาให้ผมผูกข้อมือ และหลังจากนั้นก็ดูเหมือนทุกอย่างจะดีขึ้น

    ...รอยกรีดที่เคยเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้นไม่เกิดขึ้นอีกเลย...

    เรื่องน่าจะจบลงเพียงเท่านั้นหากไม่เพียงแต่ในเช้าวันหนึ่งที่ผมอาบน้ำและพบว่าสายสิญจน์ที่ผูกอยู่นั้นขาดเสียแล้ว

    ...และรอยกรีดนั้นก็กลับมาอีกครั้งในเช้าวันถัดมานั่นเอง...

    เมื่อเพื่อนนำสายสิญจน์เส้นใหม่มาให้ผูก ทุกอย่างก็เป็นปกติอีกครั้งเมื่อรอยแผลเก่าหาย

    ...และก็เป็นอีกครั้งที่มันกลับมาเมื่อสายสิญจน์ขาดอีกครั้ง...

    ในที่สุดผมจึงตัดสินใจเดินทางไปที่วัดแห่งนั้นและนำสายสิญจน์กลับมาด้วยตัวเอง หากแต่ในคราวนี้ผมใช้วิธีนำสายสิญจน์เส้นนั้นใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายของผมแทนการผูกข้อมือเพราะเกรงว่าจะขาดอีก

    และหลังจากวันนั้นเหตุการณ์รอยกรีดที่แขนซ้ายก็ไม่เคยปรากฏอีกเลย รวมถึงนับจากนั้นดูเหมือนว่าเหตุการณ์แปลกๆ ที่มักจะเกิดอยู่รอบๆ ตัวผมก็หยุดลงดื้อๆ เช่นกัน

    ...ผมไม่เคยพบเห็นอะไรแปลกประหลาดที่ชวนขนหัวลุกอีกเลย...

    หากจะนับเวลาที่ผมได้ประสบกับเรื่องแปลกประหลาดเหล่านี้ก็ประมาณสิบสามปี ซึ่งนานมากทีเดียวสำหรับผม

    จนปัจจุบันนี้ผมเองก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่าจู่ๆ ทำไมเรื่องต่างๆ จึงได้เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นผมเองก็ไม่เคยพบเคยเห็นเหตุการณ์หรือเรื่องราวใดๆ มาก่อนเลย

    ...แล้วจู่ๆ มันก็เกิดขึ้นกับตัวผมในวันหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นอีกสิบสามปีมันก็หายไป...

    แน่นอนว่าจนถึงทุกวันนี้สายสิญจน์เส้นนั้นก็ยังคงอยู่ในกระเป๋าสะพายของผม และผมก็ยังคงไปทำบุญที่วัดแห่งนั้นอยู่เป็นประจำ

    ...ซึ่งผมก็หวังไว้ว่าสายสิญจน์เส้นนี้จะช่วยให้ผมไม่ต้องพบกับเหตุการณ์ประหลาดอันชวนขนหัวลุกที่พิสูจน์ไม่ได้ใดๆ อีกนับจากนี้ตลอดไป...

    จากคุณ : KTH - [ 22 ก.พ. 52 20:38:52 A:61.91.163.215 X: TicketID:187608 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com